ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กล่าวได้ว่าอุณหภูมิทางการเมืองที่กำลังปะทุเดือดอยู่ขณะนี้นั้นเพิ่มดีกรีร้อนแรงเกือบถึงขีดสุดแล้ว เพราะหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สภาฯระงับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ไว้ก่อน เนื่องจากเห็นว่าอาจจะเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และถือเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่ระบุในคำร้องทั้ง 5 คำร้อง ซึ่งขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ในการยับยั้งการออกกฎหมายดังกล่าว พลพรรค 'คนรักแม้ว' ก็พากันเดือดดาลวิ่งพล่านหาทางออกกันอย่างบ้าคลั่ง เพราะไม่ว่าจะเลือกเดินทางซ้ายคือปฏิบัติตามคำสั่งศาล หยุดดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือเลือกเดินทางขวาคือเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนข้อกฎหมาย ก็ดูจะเสียหายไม่แพ้กัน !!
เนื่องจากหากยอมทิ้งกฎหมายที่ทุ่มเทผลักดันกันมาเนิ่นนานนั้น นอกจากจะเป็นการเสียแรงเปล่า แล้วยังเสียแผนเสียการณ์ใหญ่ที่ตั้งใจจะปูทางเพื่อวางโครงสร้างสู่ 'รัฐไทยใหม่' ที่สำคัญยังสร้างความขัดเคืองใจให้แก่ 'นายใหญ่ทักษิณ' ที่ฝันจะพลิกฟ้าคว่ำดินเพื่อป่ายปีนขึ้นไปเป็นใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้ ให้จงได้
แต่ครั้น ส.ส.เพื่อไทยจะดึงดันลงมติร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 ต่อไป ก็เท่ากับเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ และเข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งอาจมีความผิดถึงขั้นเป็นกบฏ และมีโทษทางอาญา ดังนั้นหากเลือกเดินทางนี้ก็ต้องถึงขั้นยอมพลีชีพกันทีเดียว
ดังนั้นเกมแรกที่ ส.ส.เพื่อไทยเลือกเล่นเพื่อต่อกรกับศาลรัฐธรรมนูญก็คือพากันดาหน้าออกมาโต้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยโดยตรง โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญมาตรา68 ให้ผู้ร้องยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบ จากนั้นอัยการสูงสุดจึงทำหน้าที่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการอีกทอดหนึ่ง ขณะที่ทางด้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมายืนยันว่าศาลมีอำนาจวินิฉัยเพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ได้กำหนดวิธียื่นคำร้องไว้ 2 ช่องทาง คือ 1. ให้ผู้ยื่นคำร้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง แล้วอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และช่องทางที่ 2. ผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการได้เลย
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากผู้ร้องสามารถยื่นผ่านศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงดังคำชี้แจงของศาลรัฐธรรมนูญ(อ่าน...ตุลาการแผลงฤทธิ์ หยุด“ระบอบทักษิณ”ปกป้อง “สถาบัน”-พิทักษ์ “รธน.” หน้า 7)
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่างานนี้ระบอบทักษิณเจอของหนัก เพราะนอกจากจะมีแนวโน้มว่าการแก้รัฐธรรมนูญอาจสะดุดล้มครืนไม่เป็นท่าแล้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทยยังอาจได้รับโทษทั้งทางอาญาและโทษทางการเมืองด้วย เนื่องจากนักกฎหมายหลายท่านออกมายืนยันตรงกันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้นั้นถือว่าเป็นการการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ และเข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งอาจมีความผิดถึงขั้นเป็นกบฎ มีโทษทั้งทางอาญาแล้ว อาจนำไปสู่การถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลาถึง 5 ปี ด้วย เนื่องจากเป็นการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยมิชอบ
เมื่อต้องมา 'เจอตอ' เช่นนี้ทำเอา เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงอย่าง 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' ถึงกับสติแตก สั่ง 'สู้ตาย' ให้ ส.ส.เพื่อไทย และบรรดาลิ่วล้อเดินหน้าท้าชนทุกรูปแบบ เพื่อสานฝันในการสร้างขุมอำนาจผ่านกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญอันจะนำไปสู่การสร้าง 'รัฐไทยใหม่' ให้จงได้ เพื่อที่เขาจะได้สามารถรวบอำนาจไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ อีกทั้งยังสามารถล้มล้างหรือลดทอนอำนาจขององค์กรอิสระต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการแผ่บารมีและการแสวงประโยชน์ของระบอบทักษิณอย่างที่ 'เหลิม บางบอน' เคยลั่นวาจาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราปรามการทุจริตแห่งชาติ) ศาลปกครอง หรือแม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงต้องเรียกประชุมด่วน พร้อมกับมีมติให้ ส.ส.เพื่อไทยเดินหน้าลงมติแก้ร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 ชนิดที่ไม่สนใจว่าจะมีความผิดใดๆตามมา
อย่างไรก็ดี ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทยกระเหี้ยนกระหือดึงดันอยากให้มีการลงมติแก้ร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 ให้จงได้ แต่หัวเรือใหญ่ในสภา อย่าง 'สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์' ประธานสภาผู้แทนราษฎร์ ยังไม่กล้าตัดสินใจ โดยจะรอฟังความคิดเห็นจากที่ประชุมร่วม 2 สภาในวันศุกร์ที่ 8 มิ.ย.นี้ ก่อน ว่าสภาสามารถดำเนินการลงมติแก้ร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 ต่อไปได้หรือไม่
ทั้งนี้ นอกจากจะสายตรงสั่งการไปยังพลพรรคเพื่อไทยให้เร่งเดินเกมผลักดันกฎหมายให้ผ่านสภาแล้ว ทักษิณยังต้องก้มลงเลียน้ำลายที่ได้ถ่มถุยทิ้งไปแล้ว โดยบากหน้าหันกลับมาอ้อนวอนปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงให้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง เพราะหวังใช้พลังมวลชนในการกดดันศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้เลิกขัดขวางการลงมติร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ 'นายใหญ่แห่งดูไบ' ได้ถีบหัวส่งลอยแพคนเสื้อแดงไปแล้ว โดยโฟนอินพูดคุยกับไพร่แดงในทำนองว่าขอให้คนเสื้อแดงหยุดเคลื่อนไหวได้แล้ว ขอให้ กดดันเรียกร้องในทุกกรณี แม้แต่การเรียกร้องความเป็นธรรมให้มีการหาตัวผู้ที่สั่งฆ่าคนเสื้อแดงมาลงโทษ โดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดความปรองดองในบ้านเมือง เหล่าไพร่แดงจึงจำเป็นต้อง 'เสียสละ' และจะโฟนอินเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งการประกาศลอยแพคนเสื้อแดงครั้งนั้นได้สร้างเจ็บช้ำให้เหล่าเรดเชิ้ตไม่น้อยทีเดียว เพราะพวกเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าถูก 'หลอกใช้' ทั้งที่ที่ผ่านมาเขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ปฏิบัติการ 'พานายใหญ่กลับบ้าน' บรรลุผล ถึงขั้นยอมเจ็บยอมตายถวาย.กันเลยทีเดียว
แต่ล่าสุด นช.ทักษิณ กลับหวนมาโฟนอินปลุกระดมเสื้อแดงอีกครั้ง โดยโฟนอินเข้ารายการ ความจริงวันนี้ ของ 3 เกลอ และสั่งให้มวลชนเตรียมหน้าสู้เต็มที่เพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญที่บังอาจขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ของ ส.ส.เพื่อไทย แต่ประเด็นที่ใครได้ยินได้ฟังก็ต่างหัวร่องอหาย คือข้ออ้างที่บอกให้แดงเลิกปรองดอง เพราะเฮียแม้วเพิ่งรู้ว่ายังมีเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่ยังถูกจองจำอยู่ในคุก
“ไม่คิดจะทอดทิ้งคนเสื้อแดง และยังส่งคนไปช่วยเหลือตลอดเวลา เพราะมีหน้าที่สนับสนุน เราหัวใจถึงกัน ไม่ทิ้งกัน ที่พูดว่าอยากให้ปรองดองเพื่อให้ประเทศเดินหน้า แต่วันนี้เห็นแล้วว่าคนเสื้อแดงยังติดคุกอยู่หลายคน เพราะศาลไม่ให้ประกัน ดังนั้นเราต้องไม่ทะเลาะกันเอง ต้องช่วยกันเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา แม้จะมีนักเลือกตั้ง แต่ไม่รักประชาธิปไตย จนกลัวว่าไทยจะเป็นเผด็จการแทนที่พม่า เราจะไม่ยอมถอย จะสู้ต่อไป รับรองว่า เที่ยวนี้ความสามัคคีพวกเราจะเป็นปึกแผ่น และหากได้กลับบ้านแล้วก็ต้องตอบแทนบุญคุณพี่น้องเสื้อแดง” คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โฟนอินเข้ารายการ ความจริงวันนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้สภาฯ ชะลอการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3
นอกจากนั้นในการโฟนอินเข้ามาครั้งล่าสุดของทักษิณยังเปิดประเด็นโจมตีการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญว่า “ กรณีศาลรัฐธรรมนูญทำให้เห็นชัดเจนว่า กติกาบ้านเมืองไม่เหลือแล้ว ไม่รู้เอาอำนาจมาจากไหน แต่ได้สอบถามจนได้ความว่าศาลรัฐธรรมนูญเขียนระเบียบขึ้นเอง และนำระเบียบขึ้นมาอยู่เหนือกฎหมาย เพิ่งเคยเห็น ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะกติกาไม่เหลือแล้ว ใช้สองมาตรฐานอย่างนี้ไม่มีทางเลิกแตกแยก ความแตกแยกมีแต่จะเลวร้าย เดิมคิดว่ามีนายกฯ ผู้หญิงแล้วจะไม่ทะเลาะกับใคร แต่ผู้ชายมีความเป็นผู้หญิงมากกว่า มาชวนทะเลาะ ถ้าเล่นกันอย่างนี้ต้องบอกประชาชนว่า จะยอมให้เขาปล้นอีกหรือ ขอให้ช่วยกัน วันนี้ความขัดแย้งในบ้านเมืองที่คิดว่าจะจบ อุตส่าห์หวังว่าจะมีความปรองดอง เริ่มตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญ แปรญัตติกันมา 10 กว่าวัน ไม่มีอะไรนอกจากกลัวทักษิณ กลัวผีทักษิณอย่างเดียว นี่ขนาดยังไม่ตาย ”
ขณะเดียวกัน 'นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' น้องสาวสุดที่รักของ นช.ทักษิณ ก็ช่วยพี่ชายด้วยการเดินสายเอาเอาใจเสื้อแดงอีกแรงหนึ่ง โดยเร่งลงพื้นที่แจกจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วม ซึ่งค้างคามานาน เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้เอาใจใส่ และเป็นประเด็นที่ทำให้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยในสายตาเสื้อแดงในช่วงกลายเดือนที่ผ่านมานั่นหล่นวูบหดหายไปอักโข เพราะแน่นอนว่าหากเสื้อหมดรักหมดใจการปลุกระดมให้ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือทักษิณเหมือนที่ผ่านมาก็คงเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้ ขณะที่ทักษิณเดินเกมโฟนอินปลุกระดมเสื้อแดงให้ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวกดดันศาลแล้ว บรรดาลิ่วล้อก็ไม่รอช้าเร่งจัดตั้งมวลชนระดมคนเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพตามประสงค์ของนายใหญ่ทันที ซึ่งงานนี้เรียกว่าทักษิณนั้น 'ทุ่มหมดหน้าตัก' สั่งจัดทัพใหญ่ เช็คตัวเลขกันเป็นรายจังหวัด พื้นที่ไหนสายใครต้องจ่ายกันให้เต็มที่ เพื่อที่จะระดมเสื้อแดงรากหญ้าออกมาให้ได้มาที่สุด โดยจัดชุมนุมแบบดาวกระจาย ทั้งเคลื่อนพลมายังกรุงเทพฯเพื่อชุมนุมโอบล้อมหน้ารัฐสภา เพื่อใช้มวลชนเป็นกำแพงเหล็กกล้าในการโอบอุ้มสนับสนุน ส.ส.เพื่อไทย ในการลงมติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในวาระ 3 และอีกส่วนหนึ่งก็ให้ชุมนุมที่หน้าศาลากลางทุกจังหวัดตามปฏิบัติการ 'ป่าล้อมเมือง'
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือนอกจากการระดมมวลชนที่เป็นชาวบ้านแล้ว การชุมนุมครั้งนี้ทักษิณยังสั่งให้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกจดหมายเวียนไปยัง กลุ่มเจ้าหน้าที่และลูกจ้างในสังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ฯ ต่างๆ ในภาคเหนือ ตลอดจนลูกจ้างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อสั่งการให้หัวหน้าหน่วยงานเกณฑ์เจ้าหน้าที่เข้ามาร่วมชุมนุมในกรุงเทพ จังหวัดละไม่ต่ำกว่า 100 คน แต่หากมีจำนวนเข้าหน้าที่มากกว่านั้นก็ให้ขนมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็คือคนกลุ่มเดียวกับที่คนเสื้อแดงที่กระจายอยู่เต็มสวนสัตว์ดุสิตในช่วงบ่ายวันที่ 7 มิ.ย.นั้นเอง ซึ่งจากการสอบถามของผู้สื่อข่าวพบว่าบางคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเดินทางมาชุมนุม เรื่องอะไร รู้แต่แต่ว่าหัวหน้าสั่งให้เดินทางมาเท่านั้น
นอกจากการชุมนุมกดดันศาลแล้ว ก็ยังให้คนเสื้อแดงร่วมลงชื่อถอนถอนศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างแรงกดดันอีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดแล้วกล่าวได้ว่าหมากเกมเริ่มโน้มเอียงมาทางด้านพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง เมื่ออัยการสูงสุดมีมติเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ไม่ส่งคำร้อง กรณีที่บุคคลและคณะบุคคล 5 ราย ยื่นหนังสือพร้อมหลักฐานให้อัยการสูด สุดตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ 416 ส.ส. - ส.ว. เสนอแก้รธน. มาตรา 291 เพื่อยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการ ตาม รธน.มาตรา 68 ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ซึ่งส่งผลให้พรรคเพื่อไทยสามารถนำมติดังกล่าวไปอ้างถึงความชอบธรรมในการลงมติร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ต่อไปได้ ขณะที่มวลชนเสื้อแดงก็ต่างอกมาโห่ร้องพร้อมประกาศชัยชนะ
แน่นอน คงไม่ต้องถามว่า อัยการสูงสุดเลือกที่จะยืนอยู่ข้างใคร เพราะมีข้อเท็จจริงออกมายืนยันแล้วว่า ก่อนหน้าที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น ผู้ยื่นคำร้องดังกล่าวได้ไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น โดยมีถึง 3 คำร้องที่ระบุว่า ได้ยื่นต่ออัยการสูงสุดตั้งแต่ก.พ.และมี.ค. ที่ผ่านมา
กล่าวคือคำร้องของนายวันธงชัย ที่อ้างว่ายื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตั้งแต่ 23 ก.พ. คำร้องของนายวรินทร์ ระบุว่ายื่นคำร้องกล่าวโทษต่ออัยการสูงสุดให้รวบรวมข้อเท็จจริงเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยพลัน เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ต่อมา 3 เม.ย. ได้มีหนังสือสอบถามถึงผลการดำเนินการ จนวันที่ 15 พ.ค. อัยการสูงสุดเชิญไปสอบปากคำ จนถึงขณะยื่นศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้รับแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการของอัยการสูงสุดแต่อย่างใด และคำร้องของนายบวร ระบุว่าได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดวันที่ 6 มี.ค. ต่อมา 14 พ.ค. อัยการสูงสุดได้เชิญไปให้ถ้อยคำ แต่ยังไม่ทราบผลการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร
มีเพียงคำร้องของพล.อ.สมเจตน์ และนายวิรัตน์ นั้นอ้างว่าได้ยื่นต่ออัยการสูงสุดวันที่ 29 พ.ค.ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากนับระยะเวลาตั้งแต่นายวันธงชัย นายวรินทร์ และนายบวร ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด จนถึงวันที่บุคคลทั้ง 3 ใช้สิทธิยื่นตรงต่อศาลฯและมีคำสั่งรับไว้พิจารณาคือวันที่ 1 มิ.ย. รวมเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนที่อัยการฯพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ซึ่งคณะตุลาการฯก็มีการพูดคุยกันถึงการทำงานที่ค่อนข้างล่าช้าของอัยการสูงสุด และเห็นว่าหากอัยการสูงสุดหรือผู้ร้อง ส่งหรือยื่นคำร้องเรื่องนี้มาแต่เนิ่นๆ ศาลก็ไม่น่าจะตกอยู่ภาวะที่ถูกกระแสต่อต้านมากขนาดนี้ เพราะจะมีเวลาในการดำเนินการและก็จะทำให้ศาลมีเวลาในการดำเนินการและทำความเข้าใจกับสังคม
ถึงตรงนี้ ด้วยสถานการณ์ที่ดำเนินไปเช่นนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 จะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น คงไม่มีคำสั่งให้คนเสื้อแดงปักหลักชุมนุมค้างคืนเพื่อกดดันหน้ารัฐสภา ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคำสั่งให้ชายฉกรรจ์เข้ามาตรึงกำลังพร้อมปฏิบัติการตามคำสั่ง ยิ่งเมื่อมีแรงหนุนจากอัยการสูงสุดที่มีความเห็นฆ่าตัดตอนคดีก่อนที่จะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยแล้ว ก็ยิ่งมองไม่เห็นว่า นช.ทักษิณจะกลับหลังหันได้อย่างไร เพราะสรรพกำลังและกองหนุนพรั่งพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นนี้
แต่ท้ายที่สุดแล้ว คงต้องวัดใจกันอีกครั้งว่า “ค้อนปลอมตราดูไบ” นายสมศักดิ์ เกียรติ์สุรนนท์ จะตัดสินใจเช่นไร ? จะเดินหน้าลงมติรัฐธรรมนูญวาระ3 ตามเสียงเชียร์ที่รายล้อมอยู่หรือไม่ ?
แต่ที่แน่ๆ คือรัฐธรรมนูญแห่งรัฐไทยใหม่กำลังใกล้จะกลายเป็นความจริงตามความปรารถนาของผู้เป็นประมุขในอีกไม่ช้าไม่นานนี้อย่างแน่นอน