ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา คงไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ยิ่งใหญ่และมีความหมายมากไปกว่า การเปิดฉากการแสดงของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) และราชอาณาจักรกัมพูชา
ทั้งนี้ ต้องบอกว่า ทุกคำพูดและทุกความเคลื่อนไหวของนักโทษชายหนีคดีในยามที่ประกาศศักดาสำแดงความยิ่งใหญ่ล้วนแล้วแต่มีนัยสำคัญต่อความเป็นไปของประเทศไทยทั้งสิ้น
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงจำเป็นที่จะต้องถอดรหัสคำพูดออกมาเพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ เพราะทำท่าจะไม่มีใครหยุดยั้งความยิ่งใหญ่และความอหังการของชายชื่อทักษิณได้อีกต่อไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวลีเด็ดที่ดูเหมือนว่า นช.ทักษิณจะตั้งใจมาบอกต่อชาวโลกให้ได้รับรู้ว่า “ช่างแม่มัน” นั้นเขาหมายถึง “ช่างแม่ใคร” ?
**ปรองดองvsป๋าเปรม คนเสื้อแดงตายต้องเสียสละ
คำพูดแรกที่เชื่อว่า นช.ทักษิณตั้งใจให้เป็นข่าวเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่อง “การปรองดอง” เพราะทันทีที่เขาถึง สปป.ลาวและให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกที่โรงแรมดอนจัน พาเลซ นช.ทักษิณก็เอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นประเด็นแรก โดยประกาศชัดเจนว่า พร้อมจะปรองดองอย่างไม่มีเงื่อนไข ขณะเดียวก็ทิ้งทุ่นระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ด้วยว่า ความสำเร็จของการปรองดองนั้นขณะนี้คืบหน้าเพียงแต่ติดปัญหาอยู่ที่คนไม่กี่คนเท่านั้น
“เรื่องการปรองดอง ทุกฝ่ายก็ยื่นมือมา อยากให้มีความปรองดองเกิดขึ้น แต่คนที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบมีไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนตัวพร้อมที่จะปรองดองไม่มีเงื่อนไข อยากให้บ้านเมืองดี เห็นความสามัคคี การคุยเรื่องปรองดองต้องคุยกับใครก็ได้ที่เป็นคน ถ้าเป็นเสือคงคุยไม่ได้”
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ คนที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบซึ่ง นช.ทักษิณบอกว่ามีไม่กี่คนนั้น นช.ทักษิณหมายถึงใคร
แน่นอน บุคคลที่สังคมพุ่งเป้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ย่อมหนีไม่พ้น “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพราะก่อนหน้านี้ทุกอากัปกิริยาและความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงล้วนแล้วแต่พุ่งเป้าไปที่ประ
ธานองคมนตรีทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นคงไม่เห็นคนเสื้อแดงยกพลไปบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์
ทว่า ดูเหมือน ณ เวลานี้ พล.อ.เปรมจะไม่ใช่ม้าในสายตาของ นช.ทักษิณ อีกต่อไป เพราะเขาประกาศด้วยเสียงที่ดังและฟังชัดว่า “ผมไม่ใช่คู่กรณีของท่าน”
จากนั้น นช.ทักษิณก็ต้องย้ำอีกครั้งในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทย ในวันที่สอง (วันนี้ 13 เมษายน) ที่โรงแรมกรีนปาร์ค สปป.ลาว ภายหลังการรับประทานอาหารเช้าว่า “ป๋าเปรมเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักท่าน ตอนที่อยู่ไปกราบเคารพท่านเป็นประจำ ปีนี้ท่านอายุมากแต่ท่านยังแข็งแรง ยังอิจฉา ถ้าผมอายุน้อยกว่าท่านหน่อย จะแข็งแรงเท่าท่านหรือไม่ สุขภาพดีมาก ก็ฝากกราบความปรารถนาดีให้ท่านสุขภาพดีต่อไป เพราะสุขภาพท่านดีมาก ทั้งสุขภาพกายและจิต เป็นการรักษาสุขภาพที่เราน่าเอาอย่าง”
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญยิ่งของ นช. ทักษิณที่มีต่อ พล.อ.เปรม
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการพบกันถึง 2 ครั้ง 2 คราในช่วงเวลาห่างกันไม่ถึง 1 เดือนระหว่าง “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี น้องสาวสุดที่รักกับ พล.อ.เปรม
19 มกราคม 2555 พล.อ.เปรม และ น.ส.ยิ่งลักษณ์เคยพบกันครั้งแรกในงานเลี้ยงรับรอง เนื่องในวันกองทัพบก ครบรอบ 420 ปี ประจำปี 2555 ซึ่งบรรยากาศของงานในวันนั้นก็เป็นไปอย่างราบรื่น และสะท้อนรหัสยะทางการเมืองที่สำคัญอยู่ไม่น้อย
ส่วนการพบกันครั้งที่สองเกิดขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ณ ทำเนียบรัฐบาล ในงานที่ใช้ชื่อว่า “รักประเทศไทย เดินหน้าประเทศไทย”
ใช่หรือไม่ที่การพบกันของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นตัวแทนของ 2 ขั้วอำนาจทางการเมืองที่ทรงพลังที่สุดในสยามประเทศ ผู้เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายอำมาตย์
และผู้นำฝ่ายไพร่ จะเป็นที่มาของประโยคสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกจากปาก นช.ทักษิณว่า “ผมไม่ใช่คู่กรณีของท่าน”
จากนั้นก็นำมาซึ่งคำชมอย่างออกหน้าที่ นช.ทักษิณมีให้กับโคลนนิงผู้น้องว่า “ขอให้กำลังใจ ขอให้เข้มแข็ง ดำรงแนวทางนี้ต่อไป”
และไม่เช่นนั้น สังคมไทยคงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพ พล.อ.เปรม เปิดบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ให้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พาผู้นำเหล่าทัพ รวมทั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ารดน้ำดำหัวเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา
แต่ที่เด็ดที่สุด ซึ่งแม้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าหรือไม่ก็คือ หลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปยังพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.ลำพูน “พระราชปัญญาโมลี” รักษาการเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดลำพูนจู่ๆ ก็กล่าวทำนายทายทักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขึ้นมาว่า “หน้านายกฯ เหมือนน้องสาวป๋าเปรม หน้าแป้นๆ เลย มีลักษณะหน้าถอดแบบและคล้ายป๋าเปรมมาก”
คำพูดของพระราชปัญญาโมลีประหนึ่งต้องการทำให้สังคมเข้าใจว่า เวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายอำมาตย์และไพร่นั้นกำลังดำเนินไปด้วยดี ถึงขนาดเปรียบเทียบว่า นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นเครือญาติคือน้องสาวของ พล.อ.เปรมเลยทีเดียว
คำถามที่ตามมามีอยู่ว่า ถ้าไม่ใช่ พล.อ.เปรม แล้วใครคือคนที่ไม่อยากเห็นการปรองดองเกิดขึ้น มีใครที่มีบารมีล้นฟ้าเพียงพอที่จะขัดขวางการปรองดองได้บ้าง ซึ่ง นช.ทักษิณยืนยันชัดเจนว่ามีจริง พร้อมทิ้งปริศนาเอาไว้ให้ขบคิดด้วยว่า คนที่ไม่อยากให้เกิดการปรองดองคือคนที่ได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งและไม่อยากให้ความขัดแย้งจบ
ทั้งนี้ ความชาญฉลาดของ นช.ทักษิณก็คือการทำสงครามทางจิตวิทยาเพื่อให้เห็นว่า การเดินทางกลับประเทศไทยของเขาคือการนำไปสู่ความสงบสุขของบ้านเมือง เรียกว่าเป็นการทั้งขู่และชี้ช่องทางสว่างในคราเดียวกัน ขณะเดียวกันก็ตั้งใจที่จะทำให้สังคมเห็นว่า คนที่ขัดขวางการปรองดอง คนที่ขัดขวางการเดินทางกลับประเทศไทยของเขาคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากความขัดแย้ง
และเป้าแรกที่เขาชี้ให้สังคมได้เห็นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรค
เพราะเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการเจรจาเรื่องปรองดองตอนนี้ติดขัดตรงไหน นช.ทักษิณตอบทันทีอย่างไม่ลังเลว่า “ต้องถามหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์”
เป็นไปได้หรือไม่ที่ความขัดแย้งระหว่างไพร่กับอำมาตย์ ณ เวลานี้เป็นที่สิ้นสุดลงแล้ว จะมีก็แต่ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์คอยขัดแข้งขัดขาอยู่เท่านั้น
ส่วนคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตและทำท่าว่าจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการปรองดอง อย่างเช่นกรณีนางสาวกมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่งการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์นั้น นช.ทักษิณก็มีคำตอบเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า “เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ”
**ช่างแม่มัน-เหยียบไทยอย่างเท่ๆ ปีนี้
แน่นอน แม้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า เป็นใคร แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งก็คือ การเคลียร์ผู้ที่ขัดขวางการปรองดองใกล้จะจบสิ้นเต็มที่แล้ว ไม่เช่นนั้น นช.ทักษิณคงไม่ประกาศด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม หลังจากนั้นไม่นานนักในการกล่าวทักทายกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้าร่วมชุมนุมในงาน “ตุ้มโฮมประชาธิปไตยส่งใจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ” ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโปรแกรมสไกป์มายังสนามกีฬาจังหวัดหนองคายว่า อีกไม่นานเกินรอจะเดินทางกลับประเทศไทยได้
ที่สำคัญคือเขาตอกย้ำเป็นครั้งที่ 2 ว่า จะกลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ
“อยู่แค่ลาวข้ามมาเมืองไทยไม่ได้ ไปได้ทุกที่ทั่วโลก แต่ไปไม่ได้ประเทศไทย หมายความว่ายังไง แต่รู้สึกใกล้ชิดกับพี่น้อง คิดว่าคงไม่นานเกินรอ....คนไทยร้อยละ 95 อยากเห็นความสามัคคี ประเทศไทยหยุดพัฒนามานานหกปี เมื่อไหร่ความขัดแย้งยุติ บ้านเมืองจะไปฉลุย ทำงานให้พี่น้องได้รับประโยชน์สุข คิดให้บ้านเมืองก้าวไปด้วยดี ผมน่าจะกลับเมืองไทยปีนี้นะครับ”
พร้อมระบุชัดๆ ถึงความเท่ด้วยว่า “ถ้าเท่ต้องผุกเนกไทใส่สูทเดินลงจากเครื่องบิน”
เชื่อว่า คำพูดของ นช.ทักษิณเที่ยวนี้คงไม่ใช่แค่การปราศรัยเพื่อปลุกขวัญคนเสื้อแดงเท่านั้น หากแต่เป็นความจริงที่มีรูปธรรมซึ่งสามารถจับต้องได้ เพราะหลังจากนั้น เขาก็เฉลยคำตอบออกมาให้เห็นว่า มีการเตรียมการกลับประเทศอย่างเท่ๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
“มีเงื่อนไขหลายอย่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นบทสุดท้าย ก่อนจะถึงบทสุดท้ายต้องมี บท 1-2-3-4-5 ไปเรื่อยๆ”
จากรหัสคำพูดของ นช.ทักษิณทำให้เห็นชัดเจนว่า ขณะนี้การเดินทางกลับบ้านอย่างเท่ๆ ของเขาอยู่ระหว่างดำเนินการด้วยมาตรการต่างๆ ซึ่งเท่าที่สังคมได้เห็นรูปธรรมชัดเจนก็อย่างเช่นการพบปะกันระหว่าง พล.อ.เปรมและนางสาวยิ่งลักษณ์ การกลับหลังหันของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช.(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ที่เปลี่ยนสถานะเป็นประธาน คชม.(คนใช้แม้ว) เป็นต้น
แน่นอน นั่นคือมาตรการแรกๆ จากนั้นก็นำไปสู่การออก พ.ร.บ.ปรองดองเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมให้เกิดขึ้นในสังคม ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมลบล้างความผิดทั้งหลายทั้งปวงของเขาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยมีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นหัวหอกในการผลักดันกฎหมายทั้งหลายทั้งปวง จากนั้นก็นำกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและนำไปสู่การสั่งให้ ส.ส.ในสังกัดชูรักแร้ผ่านกฎหมายด้วยข้ออ้าง “เสียงข้างมาก” ดังที่มีการแย้มไต๋ออกมาให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นเป็นลำดับว่า ส.ส.คือตัวแทนของปวงชนชาวไทย
แต่สิ่งที่ นช.ทักษิณจะต้องเคลียร์ให้ได้ก็คือการกลับบ้านอย่างเท่ๆ นั้นหมายถึงอะไร
ใช่เป็นการกลับอย่างเท่ๆ โดยที่ไม่ต้องติดคุกทั้งๆ ที่มีคำพิพากษาของศาลเป็นที่สุดแล้วหรือไม่
ใช่เป็นการกลับอย่างเท่ๆ โดยต้องการเงิน 4.6 หมื่นล้านซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาเป็นที่สุดให้ยึดทรัพย์ไปแล้วหรือไม่ เพราะมีสิ่งบ่งบอกที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขที่สำคัญ ไม่เช่นนั้นแล้ว “เฒ่าวังน้ำเย็น” อย่างนายเสนาะ เทียนทอง คงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากเปรยถึงกรณีดังกล่าวว่า ถ้า นช.ทักษิณต้องการจะกลับประเทศไทย ต้องยอมที่จะไม่ทวงทรัพย์สินก้อนมหึมาก้อนนี้กลับคืนมา
และใช่เป็นการกลับอย่างเท่ๆ โดยต้องการกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองเหมือนเช่นที่ผ่านมาหรือไม่
เพราะในการปราศรัยที่ลานวัฒนธรรม เมืองเสียมราฐ นช.ทักษิณประกาศอย่างชัดเจนถึงการเดินทางกลับไทยว่า “เชื่อว่าไม่นานเกินรอ ไม่นานแน่ เพราะวันนี้มันปรากฏชัดเจนแล้วครับ เรื่องกล่าวหาทั้งหลายมันไม่จริง มันเป็นการทำขึ้นมา” ซึ่งจะแปลความหมายเป็นอย่างอื่นไปมิได้ว่า ข้อกล่าวหาและคดีความทั้งหลายที่ศาลมีคำพิพากษาออกมานั้น เป็นเรื่องที่ไม่จริง ดังนั้น เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรับโทษตามกฎหมายของบ้านเมือง
“ผมจะกลับทั้งทีต้องเท่ๆ เพราะผมไม่ใช่ผู้ร้าย พระเอกต้องกลับเท่หน่อยสิ หนังไทยเขากล่าวหากันโอ้โหกว่าจะจบเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่ เล่นเอาสะบักสะบอมกัน วันนี้ผมโดนกล่าวหาสะบักสะบอม แต่พี่น้องตัดสินแล้ว 265 เสียง” นช.ทักษิณย้ำชัยชนะของเขาที่มีต่อศัตรูให้เห็นอย่างชัดเจน
แต่ที่เด็ดที่สุดในการทัวร์สงกรานต์ลาว-เขมรของ นช.ทักษิณในครั้งนี้ก็คือการที่เขาตัดสินใจร้องเพลง “Let it be” ร่วมกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบนเวทีลานวัฒนธรรมเมืองเสียมราฐต่อหน้าสาวกเสื้อแดงเรือนหมื่นที่แห่แหนกันมาประกาศตัวเป็นข้าทาสแห่งรัฐไทยใหม่
ที่ว่าเด็ดไม่ใช่การที่ นช.ทักษิณร้องเพลงอมตะเพลงนี้ หากแต่เป็นความเด็ดที่เขาแปลและร้องท่อนฮุกของเพลงนี้จากภาษาฝรั่งเป็นภาษาไทยว่า “ช่างแม่มัน”
นช.ทักษิณแปลอังกฤษเป็นไทยระหว่างการร้องเพลงนี้ว่า “เพลงนี้เป็นเพลงของวงเดอะบีทเลิทส์ ซึ่งแปลว่า ช่างแม่มัน เป็นเพลงของคนเก็บกด เพราะอยู่ต่างประเทศมานาน หาทางออกไม่เจอ จึงช่างแม่มัน” พร้อมตอกย้ำท่อนฮุกที่ ร้องว่า Let it be หลายครั้งว่า “ช่างแม่มันๆๆๆ” จนมาถึงตอนจบ นช.ทักษิณยังได้ร้องด้วยว่า “หากใครจะขวางปรองดองก็ช่างแม่มัน ใครจะขวางรัฐธรรมนูญก็ช่างแม่มัน”
นช.ทักษิณกำลังส่งสัญญาณถึงใคร และทำไมถึงเจตนาเผยแพร่คำว่า “ช่างแม่มัน” หลายต่อหลายครั้งๆ
“แม่” ที่นช.ทักษิณกล่าวถึงใช่เป็น “เพศหญิง”และมีตัวตนจริงหรือไม่
หรือ “แม่” ที่ นช.ทักษิณกล่าวถึงเป็น “ใครก็ได้” ที่ขัดขวางการปรองดองและการแก้รัฐธรรมนูญที่เขาเป็นผู้สั่งการ
นี่คือรหัสทิ้งท้ายที่มีนัยสำคัญต่อการเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งบอกเหตุทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะถ้อยคำ “ช่างแม่มัน” ที่ นช.ทักษิณสำรากออกมาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการเดินทางกลับประเทศไทยของ นช.ทักษิณที่มีอยู่เกินร้อย เพราะหากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามเดินทางกลับประเทศไทยมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง โดยครั้งที่เสมือนว่า มีการเตรียมการเอาไว้อย่างพรักพร้อมก็คือ การเตรียมโยกย้ายเด็กในคาถาให้ดำรงตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับคดีความ รวมทั้งการเตรียมเปิดคุกการเมืองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่า เกิดอุปัทวเหตุขึ้นมาเสียก่อน จึงทำให้แผนมีอันต้องล้มพับไป
แต่ครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งก่อน เพราะดูเหมือนว่า พลังของฝ่ายอำมาตย์จะเสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งมีปัจจัยแวดล้อมหลายประการที่ทำให้ นช.ทักษิณมีความมั่นใจมากขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นมาตรวัดได้เป็นอย่างดีถึงความเสื่อมโทรมของฝ่ายอำมาตย์ก็คือ การที่หัวหน้าฝ่ายไพร่อย่าง นช.ทักษิณกล้าประกาศด้วยความเหิมเกริมและความย่ามใจที่ราชอาณาจักรกัมพูชาว่า “ปีนี้เป็นปีสำคัญ โดยวันที่ 28 กรกฏาคมนี้ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารและวันที่ 12 สิงหาคม เป็นโอกาสมหามงคลครบรอบ 80 มหาพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทุกอย่างจึงเป็นสิ่งบอกเหตุว่า ผมจะกลับไปพบประชาชนได้ในอีกไม่นาน”
เป็นไปได้หรือไม่ว่า นช.ทักษิณจะใช้วโรกาสอันเป็นมงคลนี้ในการเดินทางกลับประเทศไทย
และการประกาศ “ช่างแม่มัน” คือการแสดงให้เห็นว่า เขาพร้อมที่จะท้ารบกับศัตรูหน้าไหนก็ได้ที่กล้าต่อกรกับเขาในทุกรูปแบบ
ทว่า นั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก ขึ้นอยู่กับว่า นช.ทักษิณจะสามารถก้าวข้ามพ้น “อัตตา” ของตนเองหรือไม่ เพราะหากคิดว่า เขาคือศูนย์กลางจักรวาลที่ทุกฝ่ายจะสยบยอมอยู่ภายใต้อำนาจ โอกาสที่ฝันจะกลายเป็นจริง ก็หลีกหนีไม่พ้นจะต้องเผชิญกับอุปสรรคอย่างหนักหนาสาหัสต่อไป