ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ยิ่งนานวัน สังคมก็ยิ่งได้เห็นความรุกรี้ลุกลนและความกระสันอยากที่จะกลับมาเหยียบแผ่นดินไทยของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” หนักข้อขึ้นทุกที จากกรณีที่เขาโฟนอินมาในเวทีการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ณ สำนักงานพรรคเพื่อไทย อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ พร้อมทั้งประกาศความยิ่งใหญ่ให้เป็นประจักษ์โดยไม่สนใจสายตาของใครว่า เขากำลังเจรจากับ “ผู้พิพากษา”เพื่อเร่งหาทางช่วยเหลือนักโทษเสื้อแดงที่ยังคงถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำ
เป้าหมายเด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า นายใหญ่ของคนเสื้อแดงต้องการทำลายกระบวนการยุติธรรมไทยให้ราพณาสูร ด้วยการส่งสัญญาณที่เด่นชัดยิ่งว่า นอกจากอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติแล้ว อำนาจตุลาการก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ขอให้คนเสื้อแดงใจเย็นๆ ผมกำลังคุยกับผู้พิพากษาอยู่ ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อย ขอให้อดทนอีกไม่นานผมก็จะกลับบ้านแล้ว และจะไม่กลับแบบที่ขวัญชัย(ไพรพนา)พูด เพราะมันไม่เท่ ต้องกลับมาอย่างเท่ๆ แล้วจะบอกว่ากลับแบบไหนถึงจะเรียกว่าเท่”
ทั้งนี้ ถ้าหากถอดรหัสคำพูดของ นช.ทักษิณก็จะเห็นว่า มีนัยสำคัญอยู่ 2 ประการด้วยกันคือ
หนึ่ง-นัยว่าด้วยเรื่องการเจรจากับผู้พิพากษา
และสอง-นัยว่าด้วยการกลับบ้านแบบเท่ๆ ที่ไม่ใช่แบบที่นายขวัญชัยประกาศแนวทางให้เห็น
กล่าวสำหรับศาลยุติธรรม งานนี้เล่นเอาบัลลังก์ศาลร้อนฉ่าขึ้นมาในฉับพลันทันที จน “สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ” โฆษกศาลยุติธรรมต้องลุกขึ้นมาชี้แจงข้อเท็จจริงและปฏิเสธสิ่งที่ นช.ทักษิณพูด
“ผมเองไม่ได้ฟังข้อความทั้งหมด แต่เท่าที่ติดตามข่าวจากสื่อ ท่านอาจพูดเชิงการเมืองให้คนรู้สึกคล้อยตาม แต่ความจริงคือ ไม่เคยมีการประสาน เพราะศาลไม่ต่อสายคุยกับการเมือง และการเมืองไม่เคยต่อสายคุยกับศาล ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือใครก็ตาม การประกันเป็นเรื่องเฉพาะคดี เฉพาะคน และแต่คดีก็มีองค์คณะผู้พิพากษารับผิดชอบ ไม่มีที่จะไปพูดคุยกับผู้พิพากษา ก.คนหนึ่งแล้วจะไปคุมคดีอื่นได้ 100 สำนวน การประสานที่พูดถึงจึงเป็นไปไม่ได้”
“ในการทำงานผู้พิพากษาเราทำตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่จะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย โดยอำนวยความยุติธรรมที่ปราศจากอคติ ขณะที่ผ่านมาประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นประมุขตุลาการ 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตยไม่เคยให้นโยบายใดๆ เรื่องนี้ที่จะไปก้าวก่ายการบริหารคดีของผู้พิพากษาที่จะทำให้ถูกสั่งซ้ายหันขวาหันได้ แต่ประธานศาลฎีกาให้เรายึดมั่นอุดมการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยง ธรรม ไม่มีอคติ
“ไม่อยากฟันธงว่าคำพูดที่ว่ามีการประสานผู้พิพากษาผิดหรือไม่ ซึ่งศาลไม่ได้ต้องการเป็นคู่ความคดีใดกับใคร แต่เราก็ติดตามสถานการณ์โดยตลอด ถ้าหากมีการพูดอะไรที่เจตนาทำให้องค์กรศาลยุติธรรมเสียหายถูกลดความน่าเชื่อถือ ซึ่งศาลเป็นที่พึ่งของประชาชนที่จะอำนวยความยุติธรรม เปรียบเหมือนหากมีคนเอาระเบิดเพลิงมาปาใส่บ้านเรา อย่างนั้นก็จะต้องมีการดำเนินการ โดยเริ่มจากมาตรการอ่อนสุดคือการชี้แจง ทำความเข้าใจ ไปจนถึงเข้มสุดคือการดำเนินคดี”
แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไม นช.ทักษิณจึงบังเกิดความเชื่อมั่นถึงขนาดนี้
แน่นอน แม้โฆษกศาลจะมองว่าเป็นการพูดในเชิงการตลาด แต่หลายคนเชื่อว่าถ้า นช.ทักษิณไม่ได้รับสัญญาณบางประการ เขาคงไม่กล้าพูดชัดถ้อยชัดคำขนาดนี้ เพราะก่อนหน้านี้ สังคมก็เคยได้เห็นความพยายามที่จะแทรกแซงศาลมาโดยตลอด
กรณีถุงขนม 2 ล้านคือตัวอย่างที่ชัดเจนยิ่งโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย
ยิ่งเมื่อนำไปเชื่อมโยงกับการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรสามารถเชื้อเชิญ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษให้ออกมาจากถ้ำในนการเดินทางไปฟังดนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลได้ด้วยแล้ว หลายคนอาจคิดเลยเถิดไปต่อไหนถึงไหน เพราะหลังจากนั้นก็มีข่าวตามมาถึงความพยายามของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในการเริ่มต้นปรองดองกับ พล.อ.เปรม
กระนั้นก็ดี สิ่งที่มีความเป็นไปได้สูงยิ่งก็คือ นี่น่าจะเป็นเกมการตลาดของ นช.ทักษิณในการทำลายศาลและกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วยการประกาศให้เห็นว่า เขาสามารถเจรจากับศาลได้ หรือถ้าใช้คำพูดให้เห็นภาพก็คงต้องเป็นว่า สามารถ “เกี้ยเซียะ” กับศาลได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปลุกเร้าข้าทาสในลัทธิเสื้อแดงให้มีความฮึกเหิมและฝันถึงชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้า พร้อมทั้งปูทางในการเดินทางกลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ ดังที่ได้ประกาศไว้
เพราะหากตรวจสอบองคาพยพของกระบวนการยุติธรรมไทยแล้วจะเห็นว่า ตำรวจก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของพี่ภรรยาคือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขณะที่ “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย” อธิบดีราชทัณฑ์ก็เป็นเด็กในบ้านที่ถูกส่งไปเตรียมการรอเอาไว้ได้ระยะหนึ่งแล้ว เหลือแค่เพียงศาลเท่านั้นที่ยังกระทำไม่เสร็จสมบูรณ์
ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียก่อน อย่างน้อยก็ให้อยู่ในระดับที่เขามั่นใจว่าสามารถควบคุมได้
ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ นช.ทักษิณคุยโวโอ้อวดว่าสามารถเจรจาได้นั้น ได้นำไปสู่นัยที่สองดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคือ การเดินทางกลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ นั้น นช.ทักษิณสามารถใช้ช่องทางใดในการดำเนินการได้บ้าง
คำว่า เท่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525ระบุเอาไว้ว่าหมายถึง “ความโก้เก๋ เช่นแต่งตัวเท่”
แล้วถามว่า นช.ทักษิณจะเดินทางกลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ ด้วยวิธีใด
แน่นอน ย่อมไม่ใช่เป็นอย่างที่นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร เสนอหน้าประกาศเอาไว้เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2555 ว่า นช.ทักษิณจะเดินทางกลับไทยโดยจะข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่ จ.หนองคาย ท่ามกลางการคุ้มกันและการรักษาความปลอดภัยของกลุ่มคนเสื้อแดงทั่วทั้งภาคอีสาน จากนั้นจะขึ้นเวทีปราศรัยและพบปะคนเสื้อแดงรวมไปถึงการร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญและพักค้างคืนที่ จ.อุดรธานี ก่อนที่กลุ่มคนเสื้อแดงหลายแสนคนของภาคอีสาน จะพา อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาและรับโทษตามกฎหมายของประเทศไทย
นช.ทักษิณประกาศต่อหน้าสาธารณชนแล้วว่าจะไม่กลับด้วยวิธีของนายขวัญชัย หรือแปลความง่ายๆ คือไม่ต้องการเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและรับโทษตามกฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะไม่เท่
และด้วยเหตุดังกล่าวคำว่าเท่ในความหมายของ นช.ทักษิณจะเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากกลับมาแบบยิ่งใหญ่ประหนึ่งวีรบุรุษหรือรัฐบุรุษของชาติเทียบชั้นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์หรือพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยไม่มีความผิดแถมยังได้ทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์จากการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ทั้งนี้ ถ้าหากนำสถานการณ์และตัวละครทางการเมืองที่กำลังขมีขมันทำหน้าที่อยู่ในขณะนี้ ก็จะเห็นภาพรวมและทิศทางการเมืองไทยภายใต้การบัญชาการของ นช.ทักษิณได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังทำทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถเดินทางกลับประเทศไทยแบบเท่ๆ เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วผ่าน “ตัวละครทางการเมือง” ที่ได้รับคำสั่งจากดูไบให้ปฏิบัติการเพื่อกรุยทางกลับบ้าน
แน่นอน คงไม่ต้องมีคำถามถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ได้เปลี่ยนสถานภาพเป็น “ประธานคณะคนรับใช้แม้ว(คมช.)” ไปด้วยความอิ่มหมีพีมัน เพาะเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า นช.ทักษิณได้ตัดสินใจในเส้นทางสายนี้ด้วยการเร่งทำคลอด พ.ร.บ.ปรองดอง ไม่เช่นนั้น สังคมคงไม่เห็นบรรดาแกนนำไพร่แดงที่ในอดีตเคยประกาศความเป็นศัตรูกับบิ๊กบังจะกลับหลังทันมาชูรักแร้หนุนกันให้พรึบพรั่บเช่นนี้
และด้วยเหตุดังกล่าวนกรู้อย่าง “พ่อใหญ่จิ่ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” เจ้าของทฤษฎีโซ่ข้อกลางจึงตัดสินใจกระโดดเกาะรถด่วนขบวนสุดท้ายหวังสบายในบั้นปลายชีวิตลงทุนเขียนจดหมายเปิดเสนอให้นำนโยบาย 66/23 มาใช้เพื่อเป็นทางออกสู่ความปรองดอง พร้อมหนุนออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและชูรักแร้เชียร์ให้ยกเลิกคำสั่ง คตส.เพราะมีที่มาไม่ถูกต้อง
ทว่า ข้อเสนอในการกลับบ้านเท่ๆ ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งที่ นช.ทักษิณกริ่งเกรงมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น “ทหาร” และ “การรัฐประหาร” ที่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นอีก เพราะถ้า นช.ทักษิณสามารถคุมทหารได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริง สังคมไทยคงไม่ได้เห็นตัวละครตัวที่ 3 คือ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รองผอ.รมน.) ออกมาเปิดเผยผ่านหนังสือ "ลับ ลวง พราง ภาค 5" ของ วาสนา นาน่วม ถึงความเป็นไปได้ในการปฏิวัติ ว่า ขณะนี้มีความพยายามจากกลุ่มเดิมในการที่จะปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ภาค 2 ซึ่งเป็นพวกกลุ่มเดิมที่ตนเองเคยไปร่วมประชุมวางแผนปฏิวัติเมื่อ 19 ก.ย.49
ประเด็นดังกล่าว สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวละครตัวที่ 4 ซึ่งหวังส้มหล่นนั่งเก้าอี้ “นายกฯ ปรองดอง-พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ที่ออกมาเปิดเกมรุกถามถึงผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยาน 2549 ต่อหน้าพล.อ.สนธิอย่างตั้งใจทั้งนี้ เพื่อบีบทางเดินของฝ่ายอำมาตย์ให้เหลือน้อยที่สุด
ประหนึ่งชี้เป้าให้สังคมและคนเสื้อแดงจินตนาการต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็นนักว่า ใครคือไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารของพล.อ.สนธิ
ถามว่า นช.ทักษิณรู้เห็นกับการณ์เคลื่อนเกมของชาละวันแห่งเมืองพิจิตรหรือไม่
แน่นอน นช.ทักษิณย่อมต้องรู้
ไม่เช่นนั้นในอีกไม่กี่วันถัดมา พล.ต.สนั่นจะเปิดประเด็นใหม่ให้เห็นชัดเจนขึ้นด้วยการทำหน้าไร้เดียงสาแนะนำว่า การเริ่มต้นปรองดองนั้นจะเกิดขึ้นมิได้เลยถ้าไม่มีการเปิดอกเจรจาเคลียร์ใจกันระหว่าง นช.ทักษิณกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
“หนทางการสร้างความปรองดองนั้น สำคัญที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องมาพูดคุยกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อทำความเข้าใจกัน”
ชัดเสียยิ่งกว่าชัด เพราะแม้คำแนะนำของพล.ต.สนั่นจะออกตัวอยู่ในดีด้วยการยืนยันว่า “จากการข่าวกรองที่ได้รับมา พล.อ.เปรมไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ” ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วทำไม นช.ทักษิณถึงจะต้องมาเคลียร์ใจกับ พล.อ.เปรมอีก เพราะเชื่อว่าข่าวกรองของ นช.ทักษิณย่อมแม่นไม่แพ้กัน ดังนั้น คำแนะนำดังกล่าวจึงสามารถแปลความหมายโดยไม่ต้องยุ่งยากว่า แท้ที่จริงแล้ว คือ พล.อ.เปรมคือผู้ที่จะทำให้การปรองดองสำเร็จหรือไม่สำเร็จ หรือคงไม่เกินเลยไปนักถ้าจะฟันธงว่า พล.ต.สนั่นต้องการชี้ให้เห็นว่า ป๋าเปรมคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และถ้า นช.ทักษิณต้องการกลับไทยอย่างเท่ๆ ก็ต้องไปเจรจากับ พล.อ.เปรม
ด้วยเหตุดังกล่าวการกลับบ้านอย่างเท่ๆ ของนช.ทักษิณ จึงไม่ต้องไปควานหาหรือค้นหาคำตอบให้ลำบากยากเย็นแต่ประการใด เพราะสูตรทางการเมืองได้เปิดเผยออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วผ่านตัวละครที่ทำเนียบฯ ดูไบมีคำสั่งให้ไปดำเนินการเพียงแต่จะสัมฤทธิ์ผลช้าหรือเร็วเท่านั้น
การกลับบ้านอย่างเท่ๆ ของ นช.ทักษิณจะเกิดขึ้นด้วยเงื่อนไขเพียงประการเดียวคือ ล้มคดีทุกคดีที่มีที่มาจากการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.ซึ่งนั่นหมายความว่า นช.ทักษิณ รวมทั้งข้าทาสตระกูลชินที่ถูกตัดสินให้มีความผิดหรือคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาจะเป็นโมฆะทั้งหมด
เท่....เหมือนอย่างที่ประธาน คชม.(คนใช้แม้ว) พล.อ.สนธิ และพล.อ.ชวลิต ได้เสนอเอาไว้ให้เห็นเป็นรูปธรรม
และความเท่ๆ ของ นช.ทักษิณคงหนีไม่พ้นกระทำผ่าน พ.ร.บ.ปรองดองหรือไม่ก็ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งเหล่าข้าทาสของตระกูลชินวัตรทั้งเบื้องต่ำและเบื้องสูงกำลังขะมักเขม้นดำเนินการกัน จนมือเป็นระวิง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีอุปสรรคและขวากหนามรออยู่เบื้องหน้ามากสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่เกินความสามารถของ นช.ทักษิณ แต่สุดท้ายแล้วถ้าหมดปัญญาจริงๆ และยังคงต้องการกลับบ้านแบบเท่ๆ เหมือนที่ตั้งใจเอาไว้ นช.ทักษิณคงต้องเลือกใช้วิธีการสุดท้ายที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าจะประทับตราตรึงใจและกลายเป็นตำนานในประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปตราบชั่วลูกหลาน นั่นคือ “การกลับบ้านเก่า” แบบ “นอนมา” พร้อมทั้งมีธงสีแดงคลุมร่างอย่างสง่างามสมฐานะของ “ประมุขรัฐไทยใหม่”