ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-สร้างความฉงนสงสัยให้แก่ประชาชนไปตามๆ กันกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือของ ‘บิ๊กบัง’ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) หัวหน้าคณะรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ที่มาวันนี้แปลงกายเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ พร้อมรับตำแหน่ง “ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร” โดยมีภารกิจหลักคือ การช่วยให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตนเองทำรัฐประหารมากับมือ ให้พ้นจากความผิดทั้งหลายทั้งปวง
ยิ่งใครที่ติดตามการทำงานของประธาน กมธ.ปรองดองที่มี พล.อ.สนธิเป็นหัวเรือใหญ่ด้วยแล้ว ยิ่งต้องมึนตึบหนักเข้าไปอีก เพราะพล.อ.สนธิหาญกล้าถึงขนาดสมคบคิดกับสถาบันพระปกเกล้าในการทำ “รายงานการวิจัยเรื่องการสร้างความปรองดองแห่งชาติ”โดยเลือกและจงใจที่จะหยิบยกข้อเสนอให้เพิกถอนและยุติทุกคดีที่เกิดขึ้นจากการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งนั่นหมายความว่า นช.ทักษิณและพวกพ้องจะหลุดพ้นจากความผิดที่กระทำต่อแผ่นดินไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุดังกล่าว สภาพและสถานะของพล.อ.สนธิในวันนี้จึงหมดลายความเป็นประธาน คมช.ไปโดยปริยาย ที่สำคัญคือเต็มอกเต็มใจที่จะรับตำแหน่งใหม่คือ ประธาน คชม. ที่มีชื่อเต็มว่า ประธานคนรับใช้แม้ว อย่างเต็มภาคภูมิใจอีกต่างหาก
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ อะไรทำให้ พล.อ.สนธิประกาศกลับหลังหันโดยไม่อายแก่ใจเช่นนี้ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เป็นเรื่องช่างน่าบังเอิญแบบร้ายกาจที่แนวคิดของ ฯพณฯ ประธานคนรับใช้แม้วไปตรงกับแนวคิดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี แห่งพรรคเพื่อไทยแบบไม่มีผิดเพี้ยน เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “เป็ดเหลิม” ได้ส่งสัญญาณมาตลอดว่าเตรียมร่างกฎหมายปรองดองเอาไว้เสร็จสรรพและพร้อมที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
จิ๊กซอว์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นภาพเสมือนหนึ่งว่า กมธ.ปรองดองที่มี พล.อ.สนธิเป็นประธานกำลังร่วมมือกับรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในการเดินเกมโดยมีเป้าหมายร่วมกันคือลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นช.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้กลับประเทศไทยอย่างสง่าผ่าเผย รวมถึงเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า พล.อ.สนธิถึงกับกล้าประกาศต่อหน้าประชาชีโดยไม่อายฟ้าดินว่าจะสามารถนำเสนอต่อสภาฯ ไม่เกินกลางเดือนเม.ย.นี้ เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนักที่จะมีบทสรุปว่า พล.อ.สนธิคือหัวหมู่ทะลวงฟันของคณะคนรับใช้ นช.ทักษิณ โดยทำเป็นเนียนด้วยการรับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่จะช่วยแผ้วทางให้นายใหญ่แห่งดูไบ กลับมาเหยียบประเทศไทยอีกครั้งโดยไม่มีความผิดติดตัว
พล.อ.สนธิ อาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 1 เรื่องประกาศยึดอำนาจ ที่ตนเองเขียนด้วยมือและลบด้วยเท้านั้นมีข้อความว่าอย่างไร
“ด้วยเป็นที่ปรากฏโดยแน่ชัดว่า การบริหารราชการแผ่นดิน โดยรัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลายรูปแบบ และมีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหาราชการแผ่นดิน อันส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวาง
“หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมืองไม่สามารถตอบสนองเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง แม้หลายภาคส่วนสังคมจะได้พยายามประนีประนอมคลี่คลายสถานการณ์มาโดยต่อเนื่องแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติลงได้
“ดังนั้นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน แต่จะได้คืนอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและความมั่นคงของชาติ รวมไว้เทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพยิ่งของปวงชนชาวไทยทุกคน”
ถามว่า พล.อ.สนธิจดจำข้อความเหล่านี้บ้างหรือไม่
หรือเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป พล.อ.สนธิกลับเห็นว่าข้อความข้างต้นคือคำโกหกซึ่งหาสาระและความจริงอะไรไม่ได้
ทั้งนี้ ผลงานอันเอกระอุหลังจากอาศัยเสียงข้างมากลากไปคลอดแนวทางการสร้างความปรองดองของบิ๊กบัง คือการผลักดัน ในชั้นกรรมาธิการ 23 เสียงเห็นด้วยกับการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเฉพาะคดีการกระทำความผิดตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 และคดีอาญาที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง เช่น การทำลายทรัพย์สินของรัฐหรือเอกชน
ส่วนอีกข้อเสนอคือเห็นด้วยกับการให้เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้งหมด และไม่นำคดีที่อยู่ระหว่างกระบวนการและที่ตัดสินไปแล้วมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง จำนวน 22 เสียง
คงต้องบอกว่า สิ่งที่ พล.อ.สนธิกำลังทำหน้าที่ประธานคนรับใช้แม้วอย่างขะมักเขม้นด้วยข้อเสนอข้างต้นนั้น ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้า กระบวนการยุติธรรมอย่างแรง โดยผลของการนำเสนอแนวทางนี้กำลังไปสู่การตีความทางกฎหมายเพื่อให้ล้มเลิกคดีอาญาที่ตรวจสอบโดย คตส.ทั้งหมด ในเวอร์ชันล้างบางตั้งแต่ต้นน้ำ คือ คตส.ในฐานะผู้ตรวจสอบ ไปจนปลายน้ำ คือ ศาลยุติธรรม ผู้ตัดสินคดีตามกฎหมาย เท่ากับย้อนเวลาเสมือนหนึ่งไม่เคยมี คตส.เกิดขึ้นมาก่อน
ในประเด็นนี้ ใครอ่านใครฟังแล้วก็ย่อมเข้าใจว่าต้องการทำเพื่อผลประโยชน์ในการล้มล้างคดีความทั้งหมดให้หมดไปจากหน้ากระดาน และคนที่จะได้รับประโยชน์ไปเต็มใบก็ย่อมหนีไม่พ้น นช.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งการไม่ต้องติดคุกสองปีในคดีที่ดินรัชดาฯ-ได้เงินที่ถูกยึดทรัพย์คืน 4.6 หมื่นล้านบาทจากคดียึดทรัพย์ฯ และยังอีกหลายคดีความที่ค้างในชั้นศาลที่ศาลได้จำหน่ายคดีออกจากสาระบบชั่วคราว และในชั้น ป.ป.ช. ได้แก่
คดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องทักษิณต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ในความผิดฐานใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมืองขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ป ผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคม ผ่านการแปลงสัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคม, คดีปล่อยเงินกู้ของเอ็กซิมแบงก์ หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือคดีซุกหุ้นชินคอร์ป ที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ หลังศาลฎีกาตัดสินยึดทรัพย์ทักษิณ ที่มีคำตัดสินว่าทักษิณปกปิดบัญชีทรัพย์สินคือหุ้นชินคอร์ป, คดีทุจริตการออกหวยบนดิน 2 ตัวและ 3 ตัว ก็จะต้องมลายหายไปเป็นโมฆะในพริบตา เรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร
ซ้ำร้าย “พานทองแท้ ชินวัตร” บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่ถูก ป.ป.ช.สอบสวนเอาผิดในคดีปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย
นอกจากนี้ ฝ่ายเพื่อไทยที่จะได้ประโยชน์อีกก็มีหลายคน เช่น นายวัฒนา เมืองสุข รองประธาน กมธ.ปรองดอง และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย ที่อยู่ระหว่างการเป็นจำเลยในคดีการจัดซื้อรถดับเพลิงฯ ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ที่ก็มีคนของเครือข่ายเพื่อไทยเป็นจำเลยคดีรถดับเพลิงอีกหลายคนก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย เช่น นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย-นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย ซึ่งทั้งสองคนกำลังจะกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งในเดือนมิถุนายน หลังพ้นโทษแบนคดีการเมือง
กล่าวสำหรับตัวนายวัฒนา เมืองสุข ในฐานะรองประธาน กมธ.ปรองดองนั้น เรียกว่าได้รับประโยชน์ไม่น้อยเพราะนอกจากคดีรถดับเพลิงแล้ว เขายังโดนสอบสวนคดีโครงการบ้านเอื้ออาทรอีกด้วย ในฐานะอดีต รมว.พัฒนาสังคมฯ ซึ่งคดีนี้ก็ยังมีนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช.ก็โดนคตส.ชี้มูลความผิดด้วย ในฐานะอดีตหน้าห้องรมว.พัฒนาสังคมฯ ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
ขณะที่ซีกฝ่ายค้าน ที่จะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ หากล้มคดี คตส.ทั้งหมด พบว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นคือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ประชาธิปัตย์ หนึ่งในจำเลยคดีจัดซื้อรถดับเพลิงฯ นอกจากนี้ก็มีนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำภูมิใจไทยที่รอดตัวไปจากคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพารา หลังศาลฎีกายกฟ้อง แต่นายเนวินก็ยังมีคดีค้างอีกหนึ่งคดีคือ คดีเซ็นทรัลแล็บ ที่ค้างอยู่ในชั้น ป.ป.ช.มาหลายปีแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งอดีตเจ้าหน้าที่รัฐและผู้บริหารเอกชนอีกหลายคนที่จะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย อาทิ ศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดคมนาคม ที่โดนดำเนินคดีซีทีเอ็กซ์ เป็นต้น ที่ต้องคดีร่วมกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม
ทั้งนี้ หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรมแล้วก็จะยิ่งเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่า ก็มีแต่บรรดานักการเมืองขี้ฉ้อฝ่ายระบอบทักษิณได้รับประโยชน์แทบทั้งสิ้น ด้วยน้ำมือการปรองดอง ของกมธ.ชุดบิ๊กบัง ซึ่งวันนี้อาสาทำหน้าที่ด้วยการรั้งตำแหน่งประธานคนรับใช้แม้วไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ในส่วนของการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 52-53 ที่ถูก นช.ทักษิณ และแกนนำคนเสื้อแดง เกณฑ์ออกมาชุมนุมจนนำไปสู่การเผาบ้านเผาเมือง ก็จะได้ถูกปลดล็อกด้วยเช่นกัน ซ้ำร้ายแบบไม่น่าอภัยก็คือ บรรดาเหล่านักวิจัยในวงประชุมของสถาบันพระปกเกล้า ก็ยังไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงการปลุกระดมอย่างเป็นระบบผ่านแกนนำเสื้อแดง ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิดีโอลิงก์ของทักษิณ ราวกับคนเหล่านี้ไม่มีตัวตนในเหตุการณ์ โยนความขัดแย้งทั้งหมดเป็นเรื่องของคนเสื้อแดง รัฐบาลอภิสิทธิ์ และทหารไม่มีการพูดถึงพฤติกรรม ดิบ ถ่อย เถื่อน ละเมิดสิทธิประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งการบุกโรงพยาบาลจุฬา ซึ่งในรายงานบัญญัติถ้อยคำอันขัดหัวใจยุติธรรมของประชาชนทั้งประเทศว่า “เป็นการลบความผิดที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อให้สังคมเดินต่อไปได้”
กล่าวสำหรับ พล.อ.สนธินั้น หากย้อนกลับไปเมื่อเขาประกาศนำกองทัพทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณในตำแหน่งประธานคมช.ไม่ใช่ประธานคชม. ก็จะพบความจริงประการหนึ่งว่าตลอดระยะเวลาาเกือบ 2ปี ที่คมช.ยึดอำนาจมาจากระบอบทักษิณสำเร็จ ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ประเทศไทยได้หลุดพ้นจากระบอบทักษิณ ได้เลยด้วยซ้ำ ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ ปรี้ๆ
ทั้งนี้ ถ้า พล.อ.สนธิหวังดีต่อบ้านเมืองนี้จริง ถามว่าทำไมไม่ขยายผลตีแผ่ไปให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบว่า ระบอบทักษิณที่ผ่านมา ทำร้ายประเทศไปมากแค่ไหนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคดีคอรัปชั่นต่างๆนานา ดังเช่นที่ประกาศเอาไว้ในประกาศ คปค.ฉบับที่ 1 ซึ่งต่อมา คตส. ได้ทำการรวบรวมยาวเป็นหางว่าว
หรือจะเป็นหลังการปฏิวัติ พล.อ.สนธิ ก็ยังเคยให้สัมภาษณ์เบื้องหลังการปฏิวัติว่า นอกจากเพื่อยุติการปะทะนองเลือดของม็อบทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว ยังเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกพาดพิง พร้อมยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นคนตั้งเขาเป็น ผบ.ทบ. จึงไม่มีเรื่องหนี้บุญคุณใดๆ
คนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร เป็นนักธุรกิจ ที่ความคิดก็อยู่แต่ในเรื่องพวกนี้เป็นหลัก ถ้าผมไม่ปฏิวัติ ก็ยังไม่รู้เลยว่า วันนี้ ชาติบ้านเมือง และสถาบันของเราจะเป็นอย่างไร จะยังมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่หรือไม่”
พล.อ.สนธิจดจำข้อความเหล่านี้ได้บ้างหรือไม่
...พระเจ้าช่วยกล้วยทอดไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า นี่เป็นคำพูดของ อดีตผบ.ทบ.ที่วันนี้ผันตัวมาเป็นประธานคณะกรรมาธิการปรองดอง ซึ่งมีแนวคิดต่างจากอดีตที่เคยลั่นวาจาไว้ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
ร้ายไปกว่านั้นคือ พล.อ.สนธิกลับทำให้สังคมสับสนอลหม่านหนักเข้าไปอีกเมื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนาที่จี้ถามในการเสวนาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 ว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร และพล.อ.สนธิตอบคำถามประหนึ่งว่า มีคนที่คุณก็รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่เขาพร้อมที่จะเก็บความลับนี้ให้ตายไปพร้อมกับตนเอง
เรียกว่า ตอบคำถามเข้าทางคนเสื้อแดงและนช.ทักษิณแบบชัดถ้อยชัดคำเลยทีเดียว
ดังนั้น วันนี้ประชาชนคนไทยคงต้องลบภาพ พล.อ.สนธิในฐานะประธานคมช.ไปให้หมดสิ้น เพราะเขาได้แปรสภาพเป็นประธานคนรับใช้แม้วด้วยความเต็มอกเต็มใจชนิดที่เชื่อได้เป็นอย่างยิ่งว่า จะสบายต่อไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ขณะที่ นช.ทักษิณตัวการใหญ่ที่ พล.อ.สนธิกลับหลังหันไปสวามิภักดิ์ด้วยความยินยอมพร้อมใจนั้น ก็เปิดปากให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐสอดรับอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับ พล.อ.สนธิราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
“หลังจากที่ได้มีการค้นหาข้อเท็จจริงและวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว พล.อ.สนธิ ก็เห็นด้วยว่า ที่ผ่านมาการตั้งคณะกรรมการ คตส.เป็นการไม่ถูกต้อง และไม่เป็นการยุติธรรม อาศัยอำนาจจากการยึดอำนาจเข้ามาตรวจสอบ ไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จึงไม่สามารถที่จะยอมรับได้ เปรียบเอาปืนมายัดใส่มือคนไม่ได้ยิง”
ฟัง นช.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์แล้ว ก็คงไม่ต้องแปลความอะไรให้มากมายถึงตัวพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ท.บ.ชุดปฏิวัติ 2549 ซึ่งวันนี้กลับมารับบทบาทประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติหน้าตาเฉย ตัวเองทำแตกแยก แล้วมารับบทผสานรอยร้าว หมดค่าหมดราคา หมดความน่าเชื่อถือ กลายเป็นเพียงตัวตลกเล่นละครสร้างภาพไปวันๆ
ที่สำคัญคือเมื่อนายใหญ่แห่งดูไบส่งสัญญาณลงมาแล้ว บรรดาข้าทาสตระกูลชนิดที่ในอดีตเคยกระหน่ำง้างปากให้ บิ๊กบังออกมาพูดให้ชัดเลยว่า ใครเป็นคนสั่งปฏิวัติ มาถึงวันนี้ก็เปลี่ยนชนิดที่ว่า ละครน้ำเน่าหลังข่าวยังอายเลยทีเดียว
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาปกป้องแบบฉับพลันทันทีว่า มองว่าไม่ควรจะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะ พล.อ.สนธิ เองก็ยืนยันแล้วว่า แม้ตายก็ตอบไม่ได้ ดังนั้นควรมองไปข้างหน้าดีกว่าว่าจะสร้างความปรองดองได้อย่างไร ทั้งนี้ ตนมองว่า ขณะนี้กรรมาธิการฯ เดินมาถูกทางแล้ว และพล.อ.สนธินั้นเป็นชายชาติทหาร ที่เมื่อก่ออะไรไว้ท่านก็มาแก้ไข ดังนั้นจึงไม่ควรไปกดดันท่าน วันนี้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤติมาแล้ว จึงควรเริ่มต้นสิ่งดีๆ กันใหม่ โดยพูดดีและทำดีเพื่อประชาชน และช่วยกันขับเคลื่อนให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ซึ่งตรงนี้จะเป็นการป้องกันการปฏิวัติได้ดีที่สุดในอนาคต
ไม่เว้นแม้แต่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนรัก นช.ทักษิณที่ถูกพิษรัฐประหารจนต้องหลุดพ้นวงโคจรแห่งอำนาจในกองทัพอากาศยังต้องกลืนเลือดด้วยการกล่าวว่า “พล.อ.สนธิ ซึ่งเป็นคนที่เริ่มตรงนั้น และท่านก็กลับมาเป็นผู้ที่ริเริ่มในการปรองดอง เป็นเรื่องที่ดี เราต้องช่วยกันสนับสนุน อย่าไปมองในแง่โน้นแง่นี้”
มาถึงนาทีนี้แล้ว คงจะไม่ต้องอธิบายให้มากความถึงจุดยืนของ นช.ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ที่มีต่อ พล.อ.สนธิ คนที่เคยเครียดแค้นจงเกลียดจงชัง ชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันมาแล้ว และที่จะต้องเอ่ยเสียมิได้ก็เห็นจะเป็นบรรดาเหล่าแกนนำคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นนายจตุพร พรหมพันธุ์ นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ผู้จงเกลียดจงชัง การปฏิวัติรัฐประหารแบบเข้าไส้ ก็มิเคยได้ออกมาเอื้อนเอ่ย พาดพิงถึง พล.อ.สนธิแบบเสียหายๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ทำราวกับว่ามีอะไรจาก นช.ทักษิณ ไปอุดปากอยู่ก็ไม่ทราบได้
ดังนั้น คงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงนัก หากจะบอกว่าวันนี้ พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน ได้กลายเป็นจิ๊กซอว์ส่วนหนึ่งและหัวหอกตัวสำคัญในการฟอกล้างผิดให้ นายใหญ่แห่งดูไบ เรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร และรับตำแหน่งประธานคณะคนรับใช้แม้วไปอย่างสง่าผ่าเผย