ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กรณีการบุกไปทำร้ายร่างกาย “นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะแกนนำคนสำคัญของกลุ่มนิติราษฎร์นั้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า อุณหภูมิการเมืองไทยใกล้ถึงจุดแตกหักมากขึ้นทุกที เพราะผู้ลงมือทำร้ายร่างกายตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรงในการแสดงออกทางการเมืองมากกว่าการโต้แย้งกันทางความคิด
ทั้งนี้ มูลเหตุของการทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มีที่มาที่ไปจากแนวความคิดของกลุ่มนิติราษฎร์ที่ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันเกี่ยวเนื่องกับบทลงโทษอ้ายอีที่กระทำความผิดในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับปวงชนชาวไทยที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และเห็นสมควรที่จะคงบทลงโทษในมาตรานี้เอาไว้ต่อไป
แม้นายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ อายุ 30 ปี พี่น้องฝาแฝด ผู้ก่อเหตุซึ่งเข้ามอบตัวที่สน.ชนะสงครามเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2555 ที่สน.ชนะสงคราม จะไม่ได้เปิดเผยมูลเหตุที่ชัดแจ้งของการบุกไปทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอเอาไว้เนื่องจากเกรงจะขยายวงความขัดแย้งเพิ่มเติมออกไปอีก แต่จากพยานแวดล้อมก็พอจะทำให้อนุมานต้นสายปลายเหตุได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลจาก พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. ที่เปิดแถลงข่าวหลังการเข้ามอบตัวของสองพี่น้องที่ระบุว่า มูลเหตุที่จูงใจให้ก่อเหตุในครั้งนี้เกิดจากความไม่พอใจและเห็นต่างในความคิดเห็น ซึ่งความไม่พอใจที่ว่านี้จะเป็นเรื่องอื่นใดมิได้นอกเสียจากความไม่พอใจที่นายวรเจตน์และนิติราษฎร์เสนอแนวคิดแก้มาตรา 112
เหมือนดังเช่นที่มีข้อมูลออกมาจากฝั่งนายวรเจตน์ว่า ทั้งสองคนเคยปรากฏตัวในการชุมนุมเผาหุ่นนายวรเจตน์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังคงเป็นปริศนาก็คือ เรื่องนี้มีอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่านี้หรือไม่ เพราะจากการที่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลเพื่อนบ้านของทั้งสองคนกลับพบว่า “ปกติแล้วสองฝาแฝดที่ตกเป็นผู้ต้องหาทำร้ายอาจารย์วรเจตน์เป็นคนที่มีอุปนิสัยดี ไม่เคยเห็นทั้งสองไปเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อก่อนทำงานส่งของทั่วๆไป หลังเกิดเหตุน้ำท่วมไม่ได้ทำงานอีก มาทราบข่าวอีกทีว่าไปก่อเหตุชกอาจารย์ธรรมศาสตร์ รู้สึกงง เนื่องจากธรรมดาแล้วคนที่ก่อเหตุอย่างนี้น่าจะเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง”
แน่นอน การใช้กำลังในการทำร้ายร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและสมควรที่จะถูกประณาม เพราะนั่นไม่ใช่การแสดงออกที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า กรณีดังกล่าวทำให้เห็นว่า การเมืองไทยตกอยู่ในภาวะเปราะบางยิ่ง
เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุทำร้ายร่างกายครั้งนี้ ก็มีสัญญาณบ่งบอกถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ดังที่นายวรเจตน์ให้สัมภาษณ์หลังจากไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลธนบุรีว่า “ก่อนหน้านี้มีจดหมายไม่จ่าหน้าซองส่งมาด่าทอผมหลายครั้ง” หรือกรณีของ “นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาตร์ คณะศิลปะศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ที่บอกเล่าถึงความพยายามที่จะทำร้ายร่างกายเขาในช่วงก่อนหน้านี้ผ่านเฟซบุ๊ก
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา อดีตเลขาธิการสภาทนายความ ให้ความเห็นถึงเหตุทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ที่เกิดขึ้นว่า “การกระทำดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดเห็นที่แตกแยกและจะรุนแรงมากขึ้น เพราะกำลังจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ไม่ใช่ข้อเร่งรีบ แต่รัฐบาลกลับเร่งแก้ ทั้งที่เรื่องที่ควรรีบจะแก้ยังมีอีกมาก อะไรที่รีบเกินไปมักจะนำมาสู่ความขัดแย้ง การทำร้ายร่างกายครั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจะมีความแตกแยกทางความคิดขึ้น อีก ดังนั้นรัฐบาลต้องใช้ความระมัดระวังหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
คำถามที่สังคมจะต้องร่วมกันขบคิดต่อไปก็คือ เราจะหยุดเหตุการณ์ทำนองนี้ได้อย่างไร เพราะถ้าหากปล่อยเอาไว้ย่อมต้องมีเหตุการณ์รุนแรงในลักษณะคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นมาอีก
ผู้ที่ให้คำตอบได้เป็นอย่างดีเห็นจะหนีไม่พ้น “นช.ทักษิณ ชินวัตร” หัวหน้าคนเสื้อแดงตัวจริงและนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศไทยว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปในลักษณะใด มิใช่คำประกาศของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ไม่มีใครฟังและหาแก่นสารสาระอะไรมิได้
ตราบใดที่นช.ทักษิณยังเล่นบทสองหน้าอยู่เช่นนี้ กล่าวคือทางหนึ่งให้น้องสาวเล่นบทนางเอกประกาศไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ ขณะที่อีกทางหนึ่งก็สนับสนุนนักวิชาการเสื้อแดงเปิดเกมรุกในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ รวมทั้งสั่งการให้กองทัพ Red Army พร้อมรบดังที่เกิดขึ้นในการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่โบนันซ่ารีสอร์ท และมีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ความวุ่นวายก็จะไม่มีวันจบสิ้น และรังแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ
เพราะเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยที่มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์จะไม่ยินยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เหมือนดังเช่นที่หลายกลุ่มหลายฝ่ายรวมตัวกันออกมาต่อต้านแนวความคิดของนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยที่ออกมาเปลือยตัวตนของผู้คนในระบอบทักษิณด้วยการเสนอให้มีการยุบองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทั้งศาลปกครอง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฯลฯ
ทั้งนี้ เนื่องเพราะทุกคนรู้เช่นเห็นชาติถึงหมากที่นายใหญ่วางกลเกมเอาไว้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เป็นอย่างดี
ตรรกะอันไม่เอาอ่าวของระบอบทักษิณก็คือ เชิดชูรัฐธรรมนูญปี 2540 ว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในโลก เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พร้อมทั้งป่าวร้องดังทั่วทั้งสามโลกว่า ต้องการนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับมาใช้ แต่ระบอบทักษิณกลับประกาศที่จะยุบทิ้งองค์กรอิสระทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 2540
ประชาชนคนไทยต้องไม่ลืมว่า เหตุผลที่ระบอบทักษิณต้องการล้มองค์กรเหล่านี้ก็เพราะเป็นองค์กรที่เป็นอุปสรรคในการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและต้องการสถาปนา “รัฐธรรมนูญรัฐไทยใหม่” ขึ้นมาตามอำเภอใจของตนเอง
ขณะเดียวกันคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ก็สะท้อนให้เห็นความจริงที่สำคัญประการหนึ่ง นั่นก็คือการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในยุคนี้สมัยนี้ ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคดีที่มีลักษณะเดียวกันอย่างคดีของ “นายเอกยุทธ อัญชันบุตร” เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ที่ถูกทำร้ายร่างกายที่โรงแรมโฟร์ซั่ซั่นส์เนื่องจากไปพบเห็นภารกิจลับ ว.5 ที่ชั้น 7 ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพผู้ก่อเหตุเอาไว้ได้เช่นกัน กลับปรากฏว่า นับจากวันนั้นจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแห่งคดีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แต่อย่างใด
ผิดกับคดีนายวรเจตน์ที่เป็นคนในคอกเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้การนำของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ กลับเร่งทำคดีจนสามารถรู้ตัวผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ได้ในเร็ววัน
นี่คือความจริงของประเทศไทยที่วันนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของระบอบทักษิณ