xs
xsm
sm
md
lg

อำมาตย์สงบนิ่ง ไพร่แดงยิ่งเหิมเกริม

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร

วาทกรรมว่าด้วย “อำมาตย์-ไพร่”  ที่ใช้ในการปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดง ได้เปิดเผยตัวตนชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยปรากฏการณ์ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่เริ่มต้นจากนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ กับเพื่อนอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่กี่คน ออกมาเสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ให้เป็นโมฆะทั้งหมด และตามมาด้วยการเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งสามารถแผ่ขยายวงกว้าง เป็นคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ที่ได้รับการลงชื่อสนับสนุนจากนักคิดนักเขียน และนักวิชาการ จำนวน 118 คน ดังที่ปรากฏรายชื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนทั่วไป

โดยส่วนตัวผมเองยังรู้สึกงุนงงและประหลาดใจ กับหลายรายชื่อของนักคิดนักเขียน และนักวิชาการ ที่ผมเองเคยศรัทธาในอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมมาโดยตลอด แต่มาบัดนี้กลายเป็นคนที่ออกมาสนับสนุนการยกเลิกแก้ไขมาตรา 112 โดยเสมือนหนึ่งเชื่อตามแนวคิดทฤษฎีของกลุ่มนิติราษฎร์ว่า สถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันเป็นปัญหาที่ขัดขวางต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

การติดตามรับฟังข้อเสนอและแนวคิดของกลุ่มนิติราษฎร์ จากการพูดจาทางสื่อของนายวรเจตน์ ที่เป็นหัวโจกมาโดยตลอด ผมรู้สึกทุกครั้งว่า เป็นแนวคิดที่ผิดเพี้ยนจากหลักคิดปกติธรรมดาของนักกฎหมายโดยทั่วไป เป็นแนวคิดที่มองอะไรสุดโต่งในแง่มุมเดียว และมองแบบแยกส่วน

ตัวอย่างเช่น กรณีซุกหุ้นของทักษิณ ชินวัตร และขายหุ้นให้เทมาเส็ก ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง พิพากษายึดทรัพย์ แทนที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงว่าทักษิณซุกหุ้นจริงหรือไม่ มีการกระทำผิดจริงหรือไม่ กลับปกป้องว่าคดีนี้เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร กระบวนการต่างๆ จึงไม่ชอบ ทักษิณจะซุกหุ้นหรือไม่จึงไม่ใช่สาระสำคัญ อย่างนี้เป็นต้น และแนวคิดแทบทุกเรื่องแทนที่จะพิจารณาเนื้อหาและความเป็นจริงเพื่อแสวงหาความเป็นธรรมกลับให้ความสำคัญกับรูปแบบมากกว่า คล้ายๆ จะยึดแต่หลักกฎหมายโดยไม่สนใจหลักข้อเท็จจริงใดๆ

กรณีมาตรา 112 ก็เช่นเดียวกัน เหตุใดกลุ่มนิติราษฎร์ จึงมุ่งที่จะยกเลิกหรือแก้ไขมาตรานี้มาตราเดียว ทั้งๆ ที่ในประมวลกฎหมายอาญา มีอีกหลายมาตรา ที่บัญญัติในลักษณะเดียวกัน ในมาตรา 133 มาตรา 134 เพื่อคุ้มครองราชาธิบดีราชินี รัชทายาท ประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ และผู้แทนรัฐต่างประเทศ หรือมาตรา 135 ที่คุ้มครองกระทั่งธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐต่างประเทศอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งล้วนมีกำหนดโทษทั้งจำและปรับเช่นเดียวกัน  มิหนำซ้ำยังมาเสนอให้โทษหมิ่นพระมหากษัตริย์ ลดเหลือไม่เกินสามปี ซึ่งน้อยกว่าการคุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ที่มีโทษจำคุก 1-7 ปี

ยิ่งดูจากพฤติกรรมต่างๆ ของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีปฏิกิริยาในด้านลบกับสถาบันมาโดยตลอด จึงดูเสมือนหนึ่งว่า กลุ่มนิติราษฎร์ก็คืออีกหนึ่งขบวนการที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะมีการดำเนินการอย่างสอดรับกลมกลือนกันปกป้องซึ่งกันและกันแบบแยกไม่ออก

แต่ในท่ามกลางความอึดอัดคับข้องของคนไทยส่วนใหญ่ที่รักความเป็นธรรม ก็ได้ปรากฏกลุ่มคณาจารย์ นักวิชาการ ปัญญาชนอิสระ และนักพัฒนาสังคม จำนวนไม่น้อยอีกส่วนหนึ่ง ได้รวมกลุ่มกันเป็น “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” ออกมาตอบโต้แนวคิดและข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์แบบทันควัน

แนวคิดของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ เห็นว่า สถาบันพระมหากษัติริย์ของไทย เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของประเทศไทยและคนไทยทั้งชาติ เป็นสถาบันที่มีคุณค่ายิ่งต่อสังคมและระบบการเมืองไทย และเห็นว่าข้อเสนอ 7 ข้อของกลุ่มนิติราษฎร์เป็นการจงใจลดทอนความสำคัญของสถาบัน โดยให้แบ่งแยกพระมหากษัตริย์ออกจากพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และการกำหนดให้สำนักราชเลขาธิการเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิกล่าวโทษ เป็นการดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง และที่หนักข้อมากคือการเสนอให้แยกลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ออกจากลักษณะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร ซึ่งถือเป็นการลดทอนความสำคัญของพระมหากษัตริย์ลงเท่ากับบุคลธรรมดาทั่วไป

การเมืองไทยกำลังมาถึงจุดขัดแย้งที่รุนแรงและแหลมคมกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์การต่อสู้กันทางการเมือง ทักษิณ  ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงกำลังใช้กลุ่มนิติราษฎร์เผยแพร่แนวคิดอุดมการณ์ใหม่แบบ “โพสต์โมเดิร์น” ไปสู่เยาวชนคนหนุ่มสาวในรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ด้วยการปลุกเร้าเสรีนิยมแบบก้าวกระโดด เน้นย้ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียมกัน โดยโดดเดี่ยวให้คนที่นิยมระบอบกษัตริย์กลายเป็นพวกอนุรักษนิยมล้าสมัยไป ซึ่งถ้าปล่อยให้มีการเผยแพร่แนวคิดในลักษณะนี้โดยเยาวชนคนหนุ่มสาวขาดข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริงและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ย่อมจะเป็นอันตรายต่อสังคมไทยอย่างใหญ่หลวงนัก

การออกมาของกลุ่มนิติราษฎร์ในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดหน้าชกอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ แล้ว เพราะเป็นจังหวะที่ฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ได้ครอบครองอำนาจรัฐ และคนเสื้อแดงกำลังอยู่ในยุคเฟื่องฟูถึงขนาดแกนนำได้ดิบได้ดีเลื่อนชั้นเป็นเสนาบดี แกนนำระดับรองๆ ลงไปก็ล้วนแต่ได้ดีมีตำแหน่งทางการเมืองกันโดยถ้วนหน้า จนสามารถดลบันดาลให้คนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมคุมขังย้ายคุกไปขังในคุกพิเศษต่างหากได้ และคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากการก่อจลาจลและก่อการร้ายได้รับเงินชดเชยถึงรายละ 7.75 ล้านบาท

พฤติการณ์ของกลุ่มนิติราษฎร์นอกจากจะเคยเหิมเกริมเสนอว่าประมุขแห่งรัฐที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ควรจะมีสิทธิกล่าวปราศรัยต่อสาธารณะแล้ว ล่าสุดยิ่งเหิมเกริมหนักถึงกับเสนอว่า พระมหากษัตริย์จะต้องเข้าสาบานตนว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและปกป้องคุ้มครองรัฐธรรมนูญก่อนเข้ารับตำแหน่งด้วย

  ผมเคยรู้สึกแปลกๆ และไม่เข้าใจ เมื่อเห็นพันธมิตรฯ สวมใส่เสื้อเหลืองที่เขียนคำว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง” หลายปีก่อน

แต่มาบัดนี้ ผมอยากจะเห็นเสื้อเหลือง “เราจะสู้เพื่อในหลวง” สะพรึบสะพรั่งทั่วทั้งแผ่นดิน เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนพลังมวลชนคนไทยออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกล่วงละเมิดอย่างเลยเถิดเกินไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น