ผ่าประเด็นร้อน
ชัดเจน เหิมเกริมกันแบบไม่อ้อมค้อมกันแล้ว สำหรับกลุ่มที่เรียกว่า “นิติราษฎร์” หลังจากมีการเสนอให้รื้อรัฐธรรมนูญในลักษณะที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศ โดยพุ่งเป้าไปที่สถาบันหลักของบ้านเมือง และเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชน
นั่นคือ สถาบันพระมหากษัตริย์
ฉับพลันที่ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้เวทีของมหาวิทยาลัยดังกล่าว นำทีมออกหน้าเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข สถานะและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์แบบหักมุม ชนิดที่คาดไม่ถึง ในแง่ที่ว่า นึกไม่ถึงว่ามีบางคน เช่น วรเจตน์ ที่เคยได้รับทุนเล่าเรียนหลวง ทุนมหิดล กลับกล้าเนรคุณ กลายเป็นคนทรยศ คิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เสียเอง ไปไกลเตลิดเปิดเปิงถึงเพียงนี้
จากเดิมที่เคยเสนอให้แก้ไข หรือยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 อ้างว่าเป็นอุปสรรค และคุกคามต่อการแสดงความคิดเห็น และไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นสากล ทำให้เกิดการนำกฎหมายมาตราดังกล่าวไปกลั่นแกล้งทำลายกันทางการเมือง
สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระบุว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
ถ้าพิจารณาตามเนื้อหาในมาตราดังกล่าว ก็ไม่เห็นจะต้องไปเดือดร้อนตรงไหน หากไม่มีใครไปให้ร้าย ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นอกเหนือจากพวกคุณมีเจตนาดังว่านั้น
หากจะอ้างว่ากระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็สามารถทำได้เต็มที่อยู่แล้ว หากด่าว่า วิจารณ์คนอื่น ก็เชิญตามสะดวก ทั้งนักการเมือง นักวิชาการ หรือพวกเดียวกัน ก็ทำได้โดยเสรี แต่ก็ให้ระวังปากไว้หน่อย เพราะมีกฎหมายอาญา มาตรา 393 มาตรา 326 มาตรา 328 ไว้รองรับ ซึ่งก็เป็นการคุ้มครองสิทธิของบุคคล ของประชาชน แต่กับพระมหากษัตริย์ ที่เป็นองค์พระประมุข ที่ได้รับการเทิดทูน พวกนิติราษฎร์ พวกนี้กลับไม่ต้องการให้มีการคุ้มครอง โดยยกเอาเรื่องเสรีภาพมาอ้าง ทั้งที่เป็นคนละเรื่อง
ในทางตรงกันข้าม หากต้องการสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ก็ขอให้ไปไกลๆ เพราะถือว่านี่คือข้อเสนอที่เกินเลย และเพ้อเจ้อ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้สังคมมีความรู้สึกที่ “ขาดผึง” ทันที เมื่อกลุ่มนิติราษฎร์กลุ่มนี้เหิมเกริมเพิ่มขึ้นมาอีกแบบไม่สิ้นสุด โดยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็น “ในหลวง” ของคนไทยต้อง “สาบาน” ว่าจะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา ซึ่งก็คือพวกนักการเมือง พวกนักเลือกตั้ง เป็นเสือสิงห์กระทิงแรด หรือก่อนหน้านี้ก็เสนอให้ห้ามพระมหากษัตริย์มี “พระราชดำรัส” สดต่อประชาชนมาแล้ว ซึ่งถือว่าเหิมเกริมอย่างที่สุด
นอกจากนี้ยังเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจใหม่ โดยให้ผู้พิพากษาศาลสูง หรือศาลฎีกา ได้รับการเสนอชื่อโดยคณะรัฐมนตรีและได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งก็คือจากพวกนักการเมือง รวมทั้งเสนอให้มี “ผู้ตรวจการกองทัพ” ที่แต่งตั้งโดยสภาผู้แทนฯ และให้คณะรัฐมนตรี แต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งระดับสูงในกองทัพได้
ลองคิดดูเอาเองว่า สมควรจะแสดงความรู้สึกต่อคนพวกนี้อย่างไร ที่กล้าเสนอความคิดทุเรศ และท้าทายสังคมแบบนี้
ไม่น่าเชื่อว่าคนพวกนี้จะให้ราคานักการเมือง “นักเลือกตั้ง” จนสูงเด่น คิดไปได้ถึงขนาดจะให้ “ในหลวง” มากล่าวคำสาบานต่อหน้า และยังให้อำนาจนักการเมืองทั้งที่เป็นฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติ แต่งตั้งผู้พิพากษา รวมไปถึงให้อำนาจโยกย้ายผู้นำและนายทหารระดับสูงในกองทัพ
ถ้าพิจารณาจากความหมายดังกล่าว กลุ่มนิติราษฎร์ก็ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการย่ำยีพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้พวกนักการเมืองฉ้อฉล เป็นเจตนาต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ “รัฐไทยใหม่” อย่างชัดเจน
แม้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์จะมีการปฏิเสธจากพรรคเพื่อไทยและบางคนในรัฐบาลว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข มาตรา 112 ก็ตาม แต่ก็ไม่เต็มเสียง หรือคนที่ออกมาพูด ก็ไม่ได้มีอำนาจแท้จริง
ในทางตรงกันข้าม การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์กลับมีความสอดคล้องและเป็นไปทางเดียวกันกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง และคนใกล้ชิดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เสนอแนวคิดเรื่องการสถาปนา “รัฐไทยใหม่” ที่เป็นระบบประธานาธิบดี
ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะพบว่า แม้ว่าคนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยบางคน เช่น รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งล่าสุดได้รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการกระทำผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเว็บไซต์หมิ่นสถาบันฯ จะออกมาแสดงท่าทีขึงขังว่า จะเอาผิด ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่เว้นแม่แต่พวกคนเสื้อแดงหากกระทำผิด รวมไปถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่บอกว่าจะให้ตำรวจสันติบาลติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ในที่ทางปฏิบัติก็ไม่เคยมีการจับกุมเป็นรูปธรรมให้เห็นชัดเจน เป็นเพียงแค่คำพูด และแสดงท่าทีเพื่อลดแรงกดดันจากสังคมเท่านั้น
เมื่อมีแนวโน้มว่า ไม่อาจพึ่งพาเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ และผลประโยชน์จากข้อเสนอที่ออกมาดังกล่าว ทำให้มองเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ออกมาในลักษณะ “ปากว่าตาขยิบ” เสียอีก ดังนั้น สิ่งที่สังคมจะทำได้ก็คือ ต้องรวมพลังกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และตอบโต้คนพวกนี้ อย่านิ่งเฉยดูดาย
เพราะเมื่อพิจารณาจากเจตนาแล้ว กลุ่มนิติราษฎร์ก็เป็นแค่ “เครื่องมือกระจอก” ของพวกนักการเมืองชั่วที่หวังฮุบประเทศ โดยเหยียบย่ำทำลายสถาบันฯ!!