สองคนร้ายอุกอาจควบ จยย.บุกคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) รุมชก “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ จนหน้าบวม แว่นแตก พยานจำแม่นระบุเป็นคนที่เคยมาในงานเผาหุ่น ด้าน มธ.เร่งตรวจสอบภาพวงจรปิดหาตัวคนร้าย
วันนี้ (29 ก.พ.) เมื่อเวลา 16.00 น. พ.ต.ท.เอกรัตน์ เปาอินทร์ รอง ผกก.ป.สน.ชนะสงคราม รับแจ้งเหตุ 2 คนร้ายขับรถจักรยานยนต์ไม่ทราบทะเบียน บุกทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ บริเวณลานจอดรถตึกคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จึงนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยอินทร์ รอง ผบก.น.1 พ.ต.อ.คณิศชัย มหินทรเทพ ผกก.สส.บก.น.1 ที่เกิดเหตุเป็นบริเวณลานจอดรถตึกคณะนิติศาสตร์ เจ้าหน้าที่พบเพียงรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ สีแดง ทะเบียน ญล 3601 กทม.ของนายวรเจตน์จอดอยู่ ส่วนนายวรเจตน์นั้นพลเมืองดีได้นำตัวส่ง รพ.ธนบุรี ไปก่อนหน้านี้
จากการสอบสวนนายสุธน เข็มเพ็ชร์ รปภ.ของมหาวิทยาลัย ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อเวลาประมาณ 15.15 น. นายวรเจตน์ได้ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ และได้เดินขึ้นไปบนตึกคณะนิติศาสตร์ จากนั้นประมาณ 15 นาที นายวรเจตน์ก็ได้ลงมาที่รถของตัวเองอีกครั้งเพื่อมาเอาเอกสารและหนังสือ ซึ่งระหว่างนั้นมีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ขี่จักรยานยนต์ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน คนหนึ่งสวมเสื้อสีส้ม กางเกงยีนส์ อีกคนสวมเสื้อสีดำ กางเกงยีนส์ ตัดผมรองทรง อายุประมาณ 25-30 ปี โดยคนใส่เสื้อสีส้มได้เข้ามาต่อยนายวรเจตน์จนล้มคว่ำลงไปกองกับพื้น จากนั้นคนร้ายได้ขี่จักรยานยนต์หลบหนีไป ทั้งนี้ จากการสอบถามแม่บ้านของมหาวิทยาลัยทราบว่า เห็นคนร้ายทั้ง 2 คนเข้ามาภายในมหาวิทยาลัยตั้งแต่เวลา 10.00 น.แล้ว แต่ไม่มีไรผิดสังเกตจึงนึกว่านักศึกษาปกติไม่ได้เอะใจอะไร
พ.ต.ท.เอกรัตน์กล่าวว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์แล้ว พร้อมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดของมหาวิทยาลัย โดยหลังจากนี้จะเรียกนายวรเจตน์มาทำการสอบปากคำเพิ่มเติมถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กล้องวงจรปิดของมหาวิทยาลัยสามารถจับภาพคนร้ายไว้ได้ เป็นชาย 2 คน สวมเสื้อเชิ้ตสีส้ม สวมกางเกงยีนส์ และอีกคนสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงยีนส์ ซึ่งยังเป็นวัยรุ่นอยู่อายุระหว่าง 25-30 ปี ส่วนจักรยานยนต์นั้นยังไม่ทราบรุ่น ยี่ห้อ และหมายเลขทะเบียน เนื่องจากภาพวงจรปิดยังไม่ชัดเจน
ด้าน นายธีระ สุธีวรางกูร อ.นิติศาสตร์ มธ.เปิดเผยว่า มีคนร้าย 2 รายบุกเข้ามาชก อ.วรเจตน์ ถึงคณะนิติฯ มธ. ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด เบื้องต้นทราบว่าเป็นชาย 2 คน และมาเฝ้ารอตั้งแต่เช้า ก่อนที่จะเข้าทำร่างกาย อ.วรเจตน์ที่ลานจอดรถ ในเวลา 15.30 น. อย่างไรก็ตาม รปภ. และแม่บ้านของคณะฯ ยืนยันจำหน้า 2 คนร้ายได้แม่น โดยระบุว่าเป็นคนที่มาในงานเผาหุ่นเดือนที่แล้ว
ทั้งนี้ นายวรเจตน์จะเดินทางเข้าแจ้งความและให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามด้วยตนเองอีกครั้ง
ต่อมาเมื่อเวลา 19.00 น. นายวรเจตน์ได้เปิดแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนขับรถมาจอดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวลา 15.40 น. จากนั้นลงจากรถได้พูดคุยกับอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ซึ่งระหว่างสนทนาอยู่ อาจารย์อีกคนก็เหลือบไปเห็นคนร้าย ที่เดินมาจากทางด้านหลัง 1 คน มารู้ตัวอีกทีตนก็ถูกต่อยเข้าที่กกหูด้านขวาหลายครั้งก่อนจะล้มลง และทำให้แว่นตากระเด็นตกพื้นไป ระหว่างนั้นคนร้ายอีกคนก็เข้ามาต่อยซ้ำอีก จากนั้นคนร้ายทั้งสองก็ขี่จักรยานยนต์หลบหนีไป
นายวรเจตน์กล่าวอีกว่า จากการสอบถามพยานเห็นคนร้ายมาเฝ้ารอตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากที่ตนมีบทบาทในกลุ่มนิติราษฎร์ ซึ่งอาจทำให้กลุ่มอื่นไม่พอใจในการทำหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีจดหมายไม่จ่าหน้าซองส่งมาด่าทอตนหลายครั้ง และตนก็ไม่รู้จักกับคนร้ายมาก่อน เพราะตนเพียงแต่ทำหน้าที่สอนหนังสือและไปบรรยายตามที่ต่างๆ บ้างตามปกติเสร็จแล้วก็กลับบ้าน หลังจากนี้จะไปแจ้งความดำเนินคดีตามกระบวนการต่อไป ส่วนอาการบาดเจ็บนั้นทางแพทย์ระบุว่าใบหน้าฟกช้ำ จมูกมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกนิดหน่อย และรู้สึกมีอาการมึนศีรษะอยู่
“จะทำหน้าที่ในรูปแบบของนักวิชาการเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อไป ทุกอย่างทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง โดยการก่อเหตุครั้งนี้จะไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการทำหน้าที่ของกลุ่มนิติราษฎร์ และยืนยันจะทำหน้าที่ของกลุ่มนิติราษฎร์ต่อไป”
ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น.เปิดเผยว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ได้กำชับเป็นพิเศษในการจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่รู้ตัวคนร้ายแล้ว เนื่องจากมีพยานบุคคลและภาพจากกล้องวงจรปิดชัดเจน ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้เคยเข้ามาสังเกตการณ์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะนี้ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยให้นายวรเจตน์ ทั้งที่บ้านและสถานที่ทำงาน รวมทั้งตลอดการเดินทางไป-กลับ โดยภายในมหาวิทยาลัยจะใช้กำลังตำรวจนอกเครื่องแบบ 5 นายคอยดูแลรักษาความปลอดภัย ส่วนที่บ้านก็มีสายตรวจคอยเฝ้าระวังเหตุการณ์ รวมถึงในการเดินทางไปยังที่ต่างๆ เบื้องต้นจะแจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ตัวเร็วๆ นี้
