xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

แก้รธน.โรดแมปพาแม้วกลับบ้าน กำเนิดใหม่ “สงครามกลางเมือง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทักษิณ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-สมใจอยาก นช.ทักษิณ ชินวัตร กันเสียที เมื่อที่สุดแล้วรัฐสภาได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ประกอบด้วย ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของรัฐบาล พรรคเพื่อไทยและชาติไทยพัฒนา โดยเนื้อหาหลักๆ เบื้องต้นก็คือ การเสนอแก้ไข ม.291 เพื่อเปิดช่องตั้งเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ส.ส.ร.

ร่างของรัฐบาลมีสาระสำคัญคือ การแก้ไข มาตรา291 โดยกำหนดให้มี ส.ส.ร. 99 คน มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจังหวัดละ 1 คน จะได้ ส.ส.ร.ในส่วนนี้ 77 คน อีก 22 คนมาจากนักวิชาการด้านกฎหมาย รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 12 คน ที่เหลืออีก 10 คน มาจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ส่วนขั้นตอนการยกร่างนั้น ส.ส.ร. ต้องทำประชาพิจารณ์ สำรวจความเห็นของประชาชน จากนั้นนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่กระบวนการทำประชามติ และนำส่งประธานรัฐสภา นำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป

อย่างไรก็ตาม อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่า เป้าหมายใหญ่ก็หาใช่อื่นใดนอกเสียจาก ฟอกผิดยกพวงให้ นายใหญ่แห่งดูไบ ซึ่งจุดใหญ่ใจความอยู่ที่การแก้ไข มาตรา 309 เพื่อลบล้างความผิดให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่เจอคดีเป็นหางว่าว หลังถูกยึดอำนาจไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

ทั้งนี้ สำหรับ นช.ทักษิณ มาถึงชั่วโมงนี้แล้วก็คงต้องบอกว่าเป็นการกดปุ่มเดินเครื่องเต็มสูบเลยก็ว่าได้ในเป้าหมายครั้งสำคัญของเขา

ไม่ว่าจะเป็นการสั่งกำชับ บรรดาส.ส.เพื่อไทย ให้มาประชุมสภากันโดยพร้อมเพรียงทุกคน หรือจะเป็นการเกณฑ์ไพล่พลคนเสื้อแดงมาเป็นเกราะกันชน สร้างภาพทำให้ดูเหมือนว่ามีประชาชนมาสนับสนุน แท้จริงแล้วสังคมก็คงจะทราบดีว่าคนเสื้อแดงก็แค่เป็นหมากเบี้ยให้ นช.ทักษิณ ใช้งานต่อสู้ให้แทนเพียงเท่านั้น ส่วนกำลังรบในสภา ในความเป็นจริงก็ต้องถือว่าได้เปรียบอีกอักโข เพราะรัฐบาลยังมีเสียงส.ส.อยู่ในมือมากพอที่จะผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นไม่ยากนัก ไม่ว่าจะด้วยการใช้วิธีการเดินสายรวบรวมเสียงในส่วนของสภาสูงเพื่อเติมกับเสียงที่รัฐบาลมีอยู่เดิม และเชื่อว่าสุดท้ายแล้วการเสนอแก้ไขมาตรา 291 จนมีการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาจะผ่านวาระแรกไปได้เรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร

ทว่าเมื่อมองในมุมกว้างแล้ว ไปๆมาๆ มันก็ชักจะไม่หวานคอแร้ง นช.ทักษิณ เสียแล้ว ที่ต้องสะดุ้งสะเทือนดอกแรกก็หนีไม่พ้น ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ใช้อำนาจตามมาตรา 244 ตามรัฐธรรมนูญประกาศตั้ง10 อรหันต์ ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ให้ข้อเสนอ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็นการตั้ง 10 อรหันต์จากผู้ตรวจการแผ่นดินครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้ฝ่ายรัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง อาจรู้สึกอึดอัด ดิ้นเป็นหมูโดนน้ำร้อนเลยทีเดียว

ยิ่งเมื่อกางรายชื่อคณะที่ปรึกษาติดตามและศึกษาประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวล้วนแล้วแต่ระดับ “กูรู” ปรมาจารย์ทางกฎหมาย และทางรัฐศาสตร์ ทั้งสิ้น เอ่ยชื่อมาแต่ละคน คนของนช.ทักษิณก็แทบจะร้องไม่ออกไปเหมือนกันเช่น นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สำคัญเป็นอดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีต รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศ.ดร.ศุภชัย เยาวะประภาษ คณบดีคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศ.ดร. จรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตส.ส.ร. ปี 2550 และนักกฎหมายอีก 2 คน ประกอบด้วยผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ต้องยอมรับว่าทุกรายชื่อที่ยกมาแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีน้ำหนัก โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะที่ผ่านมาการยกร่างรัฐธรรมนูญแต่ละครั้งแทบทุกฉบับล้วนแล้วแต่มีคนพวกนี้เข้าไปเกี่ยวข้องแทบทุกฉบับ ถือว่ามีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งการให้เหตุผลก็ยังถือว่ามีน้ำหนัก

ที่น่าสนใจก็คือการแต่งตั้งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญของผู้ตรวจการฯคราวนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา เหมือนกับว่าเป็นการดึงเอาบรรดากูรูกฎหมายมาพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ให้ถูกย่ำยีกันตามอำเภอใจจากฝ่ายพรรคเพื่อไทยที่มีเงาของ นช.ทักษิณบงการอยู่ข้างหลัง กล่าวคือหน้าที่ของ 10 อรหันต์ จะมีการเสนอแนะว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ควรจะแก้ไขและประเด็นไหนที่ไม่ควรไปแตะต้อง พูดง่ายๆว่าน่าจะเป็นทีมงานคู่ขนานกับ ส.ส.ร. ที่จะถูกตั้งขึ้นมา ซึ่งหาก ส.ส.ร.มีข้อเสนอการแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นใด ก็จะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นกัน

ขณะเดียวกัน งานช้างในการแก้รัฐธรรมนูญของ นช.ทักษิณและเครือข่ายก็ยังไม่หมดแค่นั้น ล่าสุด ภาคประชาชนโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้นัดเคลื่อนไหวประชุมระดับแกนนำทุกระดับในวันที่ 10 มีนาคม เพื่อติดตามสถานการณ์ และชุมนุมทันทีหากเห็นว่าเป็นการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดให้กับคนเพียงคนเดียว ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจาก นช.ทักษิณ

ประกอบกับ กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ที่เคยออกมาคัดค้านความเห็นของกลุ่ม นิติราษฎร์ ก็ยังได้ออกมาแสดงจุดยืนเช่นกัน โดยรศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทินประธานสภาคณาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า ทางกลุ่มฯ เตรียมเคลื่อนไหวจัดกิจกรรม โดยจะพยายามให้เกิดขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจากการหารือกันภายในแล้วจะเป็นกิจกรรมเชิงวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเกี่ยวพันกับแนวคิดปฏิรูปประเทศ และจะเป็นการผูกขาดอำนาจนายทุนมากขึ้นจนทำให้เกิดความปั่นป่วน ดังนั้น ทางกลุ่มจึงจะมีการเสนอแนะความเห็นถึงตัวแบบร่างรัฐธรรมนูญ

ไม่เว้นแม้แต่ กลุ่ม 50 ส.ว.นำโดย นายสุรจิต ชิรเวทย์ ส.ว.สมุทรสงคราม พร้อมด้วย นายสมเจตน์ บุญถนอม นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.และ ส.ว.อีกประมาณ 50 คน ร่วมแถลงข่าวแสดงจุดยืนคัดค้านการยื่นร่างขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ของรัฐบาล โดยให้เหตุผลโดยรวมว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการรวบอำนาจ 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการอยู่ในมือ หรือก่อให้เกิดการล้างบางองค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. กกต. รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนอำนาจองค์กรตุลาการและยังมีความชัดเจนที่จะลบล้างความผิดในคดีอาญาให้กับทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีที่ดินรัชดา ซึ่งถือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ แบบชัดเจน

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากการออกมาคัดค้านของหลายกลุ่มแล้วที่ออกมาแสดงจุดยืนค้านการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนว่ายังเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายจับตาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะวันใดวันหนึ่งต่อจากนี้อาจจะมีการสอดไส้ประเด็นต่างๆ ที่จะนำไปสู่การให้ความช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ด้วยการเสนอให้ปลดล็อกจากคดีความต่างๆ ที่ยาวเป็นหางว่าว เพราะจะว่าไปแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปลายทางถึงที่สุดก็ดูจะหนีไม่พ้นคนที่ประโยชน์ครั้งนี้ ไม่พ้นนายใหญ่แห่งดูไบ เพราะหากจะหาเหตุผลมาประกอบว่าประชาชนคนไทยได้ประโยชน์กับการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะห่างไกลเอาเสียเหลือเกิน

และไม่ทันขาดคำ ลิ่วล้อนายใหญ่ ก็ได้ออกใบเสร็จมัดตัวชิ้นสำคัญ คงจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากการออกอาการเอาใจนายใหญ่ชนิดออกนอกหน้า ของ "เป็ดเหลิม" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ปราศรัยที่ทุ่งศรีเมืองจ.อุดรธานี ว่า หลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น จะเดินหน้าเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง 6 มาตราเข้าสู่สภา รับรองว่าได้หมดทุกคนย้อนไปถึงตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2549 ยกเว้นคนที่สั่งฆ่าคนเสื้อแดงจะไม่ปรองดองด้วยเด็ดขาด

"เร็วๆ นี้จะพาท่านทักษิณกลับบ้าน ถ้าลง กทม.แล้วมีปัญหา ก็ให้มาลงที่สนามบินอุดรธานี และก่อนพ.ร.บ.ปรองดองจะเข้าสภา ผมจะเป็นคนมาบอกพี่น้องประชาชนให้เตรียมตัวนับ 1 นับ 2 และนับ 3 เครื่องบินจะลงทันที"ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว อย่างนี้แล้วจะให้ประชาชนทั่วไปเชื่อได้อย่างไรว่า ไม่ได้ทำเพื่อทักษิณ

อย่างไรก็ดี เมื่อมาถึงชั่วโมงนี้แล้ว ดูจากแนวร่วมที่ออกมาคัดค้านก็ยังถือว่าเป็นแค่ยกแรก และเชื่อว่าต่อจากนี้ไปหากพรรคเพื่อไทย เดินเกมให้เห็นว่า ทั้งหมดทั้งปวงในขั้นตอนต่างๆต่อจากนี้จะเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ นช.ทักษิณ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าจะต้องเกิดกระแสความไม่พอใจของสังคมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นต้องออกมาร่วมขบวนต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีโอกาสเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองถึงขึ้นเกิด สงครามกลางเมือง เพราะก็เป็นอันรู้ว่า นช.ทักษิณ ก็ได้กดปุ่มเดินเกมให้คนเสื้อแดงมาเป็นเกราะกันชนในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แบบเต็มสูบแล้วด้วย

และความจริงอันโหดร้ายที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องตระหนักให้จงดีก็คือ ปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งเป็นภัยเงียบตัวจริงของประชาชน กลับไม่ได้รับการเหลียวมอง โดยบรรดาสินค้าอุปโภคและบริโภคหลายชนิดได้ทยอยปรับราคา อันเป็นผลมาจากการขึ้นราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทุนในการขนส่งและการผลิต รวมไปถึงการปรับเพิ่มเงินเดือนของข้าราชการที่จบปริญญาตรี เป็น 15,000 บาทและนโยบายขึ้นค่าจ้างแรงงานที่จะขยับไปถึง 300 บาทต่อวัน ถึงวันนี้ก็ยังมีแค่วาทกรรม "ดีแต่โม้" ยิ่งสวนทางกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดูจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว

ดังนั้นแล้ว จากนี้ไปเชื่อว่าประชาชนทั่วไปคงจะติดตามประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างรู้เท่าทันมากขึ้น และยิ่งเมื่อพิจารณาในภาพรวมขณะนี้และต่อจากนี้แล้วจึงไม่ได้หวานคอแร้งตระกูลชินวัตรอย่างที่วาดฝันจะแก้รัฐธรรมนูญแบบผ่านฉลุยแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น