ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ฉบับนี้ขอกล่าวถึงเรื่องของ“วงการฟุตบอล”กับ“วงการการเมือง” อีกสักเรื่อง หลังจากฉบับที่แล้วนำเรื่อง การดิว การซื้อขายสิทธิ์ทีมฟุตบอลของนักการเมืองในขั้วฝ่ายค้านของ“เนวิน ชิดชอบ”ค่ายภูมิใจไทย กับ “นิพนธ์ บุญญามณี”ค่ายประชาธิปัตย์ แว่วว่าแลกซื้อสิทธิ์กันถึงเลข 7 หลัก
กลับมาที่ฉบับนี้ ย้อนหลังไปวันที่ 17 ม.ค. หนึ่งวันหลังที่นายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อคณะรัฐมนตรี “ปู 2” คนอย่าง“บิ๊กโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง กุนซือใหญ่ด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล “พรรคเพื่อไทย” ที่ยังสวมหมาก“รองนายกรัฐมนตรี”และ“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ออกมาพูดเล่นๆ กับนักข่าวว่า ถ้าคนอย่างเขาไม่ได้เป็นรัฐมนตรี จะออกไปทำทีมฟุตบอล ทีมชาติไทยไม่ให้ ตกรอบกีฬาซีเกมส์ กลายเป็นว่าไม่ใช้เรื่องพูดเล่น เมื่อวันนี้“บิ๊กโต้ง” ได้รับโปรดเกล้าฯ นั่งควบรองนายกรัฐมนตรี และข้ามฝากมานั่ง “รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง”คุมเงินของประเทศอีกตำแหน่ง
ย้อนอดีต “บิ๊กโต้ง” เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลไทยมาทุกอย่าง ทั้งกรรมการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทยหลายชุด รวมทั้งชุดใหญ่ ลุยบอลโลก ประธานสโมสรฟุตบอล ผู้จัดการทีมลีกระดับประเทศ ที่มีชื่อหน่อยก็ “ราชประชา”ทีมดังในอดีต
คำพูดที่“บิ๊กโต้ง” พูดว่าจะทำทีมฟุตบอล ทีมชาติไทยไม่ให้ ตกรอบกีฬาซีเกมส์ กลายเป็นวาระแห่งชาติของรัฐมนตรีผู้นี้ไปเสียแล้ว เพราะตำแหน่งรองนายกฯ ยังได้กำกับ “นโยบายกีฬาแห่งชาติ”ของประเทศด้วย โดยเฉพาะงบประมาณด้านกีฬาสู่สากล ในรูปของ “กองทุนกีฬาแห่งชาติ”
เมื่อวันนี้ได้มานั่ง “รัฐมนตรีว่ากากระทรวงการคลัง”ที่กำกับเงินของประเทศ เชื่อว่ารัฐมนตรีผู้นี้ ยังวนเวียนอยู่กับวงการลูกหนัง
แว่วมาว่า เขาพูดทีเล่นทีจริงหลายเวที ว่า อยากจะเป็น “ผู้จัดการทีมเตรียมสู้ศึกซีเกมส์”อีกครั้ง โดยเฉพาะ การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ อีก 2 ปีที่ประเทศเมียนมาร์ หรือพม่า จะเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นที่กรุงเนย์ปิดอว์ ในปี 2556 หรืออีกเกือบ 2 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศ ของไทยที่ทำการปรองดองกับพม่า เพราะในปี 2556 ที่ “พม่า”จะเป็นประเทศประธานอาเซียน โดยมี “นายกฯยิ่งลักษณ์”หรือเปล่าไม่รู้ เป็นทัพหน้านำไปในปีนั้น
แนวคิดของ “บิ๊กโต้ง” บอกว่าจะดึงผู้บริหารทีมฟุตบอลในรับไทยพรีเมียร์ลีกมาเป็นผู้ช่วย ดูชื่อทีมงานที่ บิ๊กโต้ง”บอกว่าจะดึงมาแล้ว ก็คนแวดวงใกล้ชิดนักการเมืองล้วนๆ
เริ่มตั้งแต่ “อรรณพ สิงโตทอง” จากทีม ชลบุรี เอฟซี เขาผู้นี้เป็นคนใกล้ชิด “ตระกูลคุณปลื้ม”แห่งพรรคพลังชล หรือ“มิตติ ติยะไพรัช”ผู้จัดการทีมเชียงราย ยูไนเต็ด ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” แกนนำพรรคเพื่อไทย คนบ้านที่ 111 “ที่ล่าสุด “บิ๊กฮั่น” เป็นถึงผู้จัดการทีมชาติอายุไม่เกิน 16 ปี
แม้กระทั่งชื่อของ “กนกศักดิ์ ปิ่นแสง”ทีมงานในฐานะกรรมการบริหาร “ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ที่ก่อนหน้านั้นก็ร่วมกับ “เนวิน แห่งภูมิใจไทย”ปลุกปั้น ทีม “บุรีรัมย์ พีอีเอ”กับ”บุรีรัมย์ เอฟซี”จนประสบความสำเร็จมาแล้ว ปัจจุบันเป็น กรรมการผู้จัดการบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ “อีสต์วอเตอร์”
“บิ๊กโต้ง” บอกว่า ผิดหวังกับทีมฟุตบอลชาติ ไทย ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2 ครั้งหลังสุด โดยตกรอบแรกทั้งในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 25 ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ล่าสุดที่ประเทศอินโดนีเซีย
เรื่องนี้มาพูดกันหน้าหู ในช่วงที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”เดินทางไปเป็นประธานแข่งขันฟุตบอล “มูลนิธิไทยคมเอฟเอคัพ”เมื่อต้นเดือนที่แล้วโดยมีการพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องหลายคนต่อหน้านายกรัฐมนตรี
นักการเมืองผู้นี้ “แสดงเจตจำนงจะขอเข้ามาทำทีม ในฐานะผู้จัดการทีมอีกครั้ง”
เขาบอกกับสื่อฉบับหนึ่งว่า “การแข่งขันฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ด้วยมีความสำคัญต่อจิตใจของแฟนบอลและมีความกดดันสูง ซึ่งนักฟุตบอลจะต้องมีความพร้อมให้มากที่สุด การที่ตนจะขอเข้ามาทำทีมก็เพื่อหวังให้ทีมไทยกลับมาเป็นแชมป์ให้ได้ หากสมาคมฟุตบอลฯ เห็นชอบ ก็จะเริ่มเตรียมการในทันที ต้องเตรียมกันระยะยาวล่วงหน้าตั้งแต่ตอนนี้”
รวมถึงแสดงความเชื่อมั่นว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างไร สามารถจะระดมการสนับสนุนเข้ามาช่วยได้แน่นอน รวมทั้งเวลาในการทำงานก็ สามารถจะจัดสรรได้ แม้จะมีภารกิจสำคัญในบทบาทของรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอยู่ อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูท่าทีของสมาคมฟุตบอลฯ ว่าจะเห็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่
แนวคิดดีครับ แต่อยากบอกว่า ถ้า “บิ๊กโต้ง” ยังเป็นนักธุรกิจ หรือยังนั่งบริหารในตลาดหลักทรัพย์ อยู่คงไม่มีใครว่าหรอก!
แต่นี้ท่านเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นนักการเมืองระดับประเทศ เปิดตัวอย่างนี้จะบอกว่า เอา “ทีมชาติไทย” มาหาเสียง ก็คงไม่ผิด จะบอกว่าเหมือน “บุรีรัมย์ ชลบุรี ฯลฯ” หรือทีมที่มีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องก็คงไมได้ เพราะคนเหล่านั้นไม่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้เหมือนรัฐมนตรี
ผมคงไม่รู้กฎกติกาของวงการฟุตบอลมากนัก แต่ก็พอจะรู้มาบ้างว่า “โทษของการเมือง”ที่เข้ามาแทรกแซงวงการฟุตบอลมันสูง โดยเฉพาะกฎเหล็กของ “สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า)” มีไว้ว่า ห้ามฝ่ายการเมือง (ระดับรัฐมนตรี นากรัฐมนตรี หรือเปล่าไม่ทราบ) เข้าแทรกแซงกิจการของสมาคมลูกหนังในประเทศ รวมทั้งทีมชาติ ซึ่งถือว่าขัดกับหลักของ ฟีฟ่า ที่มีกฎห้ามรัฐบาลหรือการเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำงานของสมาคมฟุตบอลในแต่ละประเทศ
การที่จะโดนแบนได้นั้น ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลสั่งตั้งนู่น ยุบนี่เกี่ยวกับสมาคม ประมาณนั้น ถึงจะโดนแบน
ในอดีต“สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า)”จัดการแบนสมาคมฟุตบอลอิรัก หรือสมาคมฟุตบอลเม็กซิโกมาแล้ว จากการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ ถึงขั้นอดเล่นฟุตบอลโลกมาหลายปี หลังรัฐบาลเข้าแทรกแซงกิจการ
แต่ก็จากสาเหตุไปปลดเจ้าหน้าที่ของสมาคมของประเทศตัวเอง แต่กับ“บิ๊กโต้ง”คงยากที่จะเข้ามาแทรกแซง เพราะนิสัยใจคอท่านก็ไม่ใช่คนอย่างนี้ แต่ที่เป็นห่วงก็คือ “พรรคเพื่อไทย” คนบ้าฟุตบอลมันเยอะ แถมยังมาคบกับ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ที่สวมหมวก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย
คนวงการการเมือง น่าจะรู้ดี “พรรคเพื่อไทย”หวิดถูกยุบพรรคไปแล้ว กรณีที่ “บังยี”ถูกมือดี ร้องเรียนไปยังฟีฟ่าว่า “เอี่ยวกับการทุจริตรับเงินสินบนในฟีฟ่า” แต่ท่านก็รอดมาได้ ถ้าตอนนั้น“ฟีฟ่า” ชี้มูลว่า “บังยี” ทุจริตจริง เชื่อว่าคนวงการฟุตบอล ในพรรคปชป.คง โร่ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไปแล้ว
หรืออย่างกรณี กฏสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC ) ที่ตั้งไว้ ให้มีตัวต่างชาติลงเล่นได้ คือ นอกเอเชีย 3 คน ในเอเชีย 1 คนแต่ฤดูกาลก่อน มีข่าวแว่วๆมาว่า “นักการเมือง”เข้าไปแทรกแซง เปลี่ยนกฎให้เป็น มีต่างชาติในทีมได้ 7 คนลงเล่น 5 คน แถมฤดูกาลหน้าที่เปลี่ยนมาเป็นต่างชาติลงเล่น 3 เอเชีย 1 คน ตามกฎAFC ก็นักการเมืองนี้แหละที่วิ่งกันให้ได้ตามเดิม แต่สุดท้ายก็ต้องใช้กฎตามที่ “บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก” ตั้งไว้
วงการฟุตบอลก็เลยมี “นักการเมือง”วิ่งกันให้ว่อน! เตือน “บิ๊กโต้ง”ไว้ กลัว “ฝ่ายค้าน”เขาจะค้านท่านเรื่องฟุตบอล จะยุ่ง กลัวท่านจะน้ำตาไหลอีก!