xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“กมธ.ปรองดองฯ - คอป.” ภารกิจเดียวกันบนเส้นขนาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ผ่านไปร่วมเดือนสำหรับการทำงานของ “คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร” หรือเรียกกันสั้นว่า “กมธ.ปรองดองแห่งชาติ” ต้องถือว่าแนวทางของ กมธ.ชุดนี้ยังไร้หางเสือ ไม่มีแนวทางที่เป็นรูปธรรมใดๆ ออกมาเลย

เพราะต้องยอมรับว่า กมธ.ที่มาจากหลายภาคส่วน มีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายพอสมควร

ในความเป็นจริงที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติให้เวลาทำงานของ กมธ.ปรองดองแห่งชาติ เพียง 30 วันเท่านั้น จนล่าสุดต้องมีการทำหนังสือของอนุญาตขยายเวลาการทำงานออกไปอีก 90 วัน

ถือเป็นความผิดพลาดตั้งแต่ย่างก้าวแรกของการทำงาน

เรื่องนี้คงโทษใครไปไม่ได้นอกเสียจาก “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ที่เป็นทั้งผู้เสนอญัตติ และรั้งตำแหน่งประธาน กมธ.ชุดนี้อีกด้วย เพราะอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) รู้ดีว่า เรื่องการสร้างความปรองดองในชาติเป็นเรื่องใหญ่ คงไม่สามารถทำการใดๆ ให้แล้วเสร็จภายในเวลาเพียง 1 เดือน

การมาขอเวลาทำงานเพิ่มเติม ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำงาน ก็เหมือนกับการไม่เตรียมความพร้อมมาก่อน

ที่สำคัญญัตติทะลุกลางปล้องที่ได้รับแรงหนุนจากฝ่ายรัฐบาลของ “บิ๊กบัง” ครั้งนั้น ก็ได้สร้างความแคลงใจให้กับทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และสังคมเป็นอย่างมาก

ต้องไม่ลืมว่า พรรคมาตุภูมิอยู่ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่กลับได้รับการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย ที่แห่แหนกันมาลงชื่อช่วยเสนอญัตติ

อีกทั้งบทบาทของ “บิ๊กบัง” ผู้เคยทรงอำนาจที่สุดในประเทศหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ในฐานะผู้แทนใหม่แกะกล่อง ก็ต้องถือว่าเงียบเชียบอย่างมาก ไร้ซึ่งบทบาทในด้านนิติบัญญัติหลังจากเข้ามาเป็น ส.ส. แม้กระทั่งการออกความเห็นในวาระต่างๆ ก็แทบไม่มีให้เห็น

จึงไม่แปลกที่หลายคนจะจำไม่ได้ว่ามี ส.ส.ชื่อ “สนธิ บุญยรัตกลิน” หรือแม้แต่ชื่อ “พรรคมาตุภูมิ” อยู่ในสารบบสภาฯ

และไม่แปลกที่หลายคนจะตั้งแง่ว่า มี “เลสนัย” ในความร่วมมือของพรรคเพื่อไทย กับ “บิ๊กบัง” เจ้าตำรับ “ลับ ลวง พราง” ผู้โค่นบัลลังก์ “ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง

ถึงขั้นตราหน้าว่า อดีตทหารใหญ่ผู้นี้ “รับงาน” ปูทางสู่การนิรโทษกรรม “ทักษิณ” หนักไปจนถึงขั้นปรามาสว่า คนที่เคยฉีกรัฐธรรมนูญ ทำลายระบอบประชาธิปไตยมาก่อน มาวันนี้จะมาสร้างความปรองดองได้อย่างไร

หันมาดูการทำงานหลังจากผ่านการประชุมไป 5 นัดกันบ้าง โดย กมธ.ปรองดองแห่งชาติฯ มีความชัดเจนว่า จะยึดหลักการเมืองจากสถาบันที่เป็นกลาง เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน เบื้องต้นมี 2 องค์กร คือ “สถาบันพระปกเกล้า” และข้อเสนอของ “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ” หรือ คอป. ที่มี “คณิต ณ นคร” เป็นประธาน

โดยตกลงกันว่าจะเชิญทั้ง 2 องค์กรเข้ามาร่วมการประชุมด้วย

ในส่วนสถาบันพระปกเกล้า ที่เป็นเหมือนคนทำงานให้กับฝ่ายนิติบัญญัติอยู่แล้ว ถือว่าไม่มีปัญหา โดย “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เลขาธิการสถาบันฯ เข้าร่วมวงถกตามคำเชิญตั้งแต่ครั้งแรก พร้อมรับงานใหญ่ในการศึกษาวิจัยต้นตอของความขัดแย้งที่แท้จริง ใช้เวลาศึกษาวิจัย 120 วัน และได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาสถาบันพระปกเกล้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คาดว่าจะมีรายงานออกมาช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.55

ที่น่าแปลกใจคือในส่วนของ คอป. ที่ กมธ.ได้ออกหนังสือเชิญไปถึง 3 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่าจะมาเข้าร่วมประชุม โดยอ้างว่าติดภารกิจภายใน จนอดสงสัยและมองไม่ได้ว่า คอป.ตั้งแง่ไม่อยากเข้ามาร่วมกระบวนการปรองดองของ กมธ.นี้ ทั้งที่หากจับน้ำเสียงของ กมธ.ปรองดองแห่งชาติฯ ก็จะพบว่า ให้น้ำหนักความสำคัญไปที่ข้อเสนอของ คอป.เป็นอย่างมาก และพยายามชวนให้เข้ามาทำหน้าที่ “กุนซือ” ชี้แนะแนวทางการทำงานด้วยซ้ำ

ต้องถือว่า กมธ.ให้เกียรติ คอป.อย่างสูง แต่ คอป.กลับไม่ให้ความสนใจ

มุมหนึ่งมองได้ว่า คอป.ยังไม่ไว้วางใจในจุดยืนของ กมธ.ที่นำโดย “บิ๊กบัง” ทั้งการถูกมองว่า รับงาน หรือมีวาระซ่อนเร้น จุดนี้อาจทำให้ความ “อิสระ” ที่ระบุอยู่ในชื่อของ คอป.ต้องมัวหมองไปด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ คอป.จะต้องระวังตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกของการประชุม กมธ.กลับมีแต่วาระการให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นหลัก

มองได้อีกว่า ในเรื่องของศักดิ์ศรีที่ คอป.ปลุกปั้นทำงานมามากว่า 1 ปี 5 เดือน ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเดือน ก.ค.53 จึงถือเป็น “รุ่นพี่” และถือตัวว่าเป็น “เสาหลัก” ในกระบวนการสร้างความปรองดอง การจะยอมรับให้ “น้องใหม่” อย่าง กมธ.ปรองดองฯ กวักมือเรียกให้มาชี้แจงการทำงานคงเป็นเรื่องที่ยอมกันได้ยาก

เพราะถือว่ายังมีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่

นอกจากนี้ ยังอดหวาดระแวงว่า กมธ.ปรองดองแห่งชาติ จะหวัง “ปาดหน้า” นำผลงานที่ คอป. ไปเป็นผลงานของตัวเอง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า วัตถุประสงค์ของ กมธ.ปรองดองแห่งชาติ กับของ คอป.นั้น ไม่แตกต่างกันแต่ประการใด

อีกทั้งแนวทางการทำงานก็ไม่แตกต่างกันมากนัก จนอาจจะมองได้ว่าทำงานซ้ำซ้อนกันอีกต่างหาก

จุดนี้อาจเป็นเหตุที่ทำให้ คอป.ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ส่งกลับมาถึง กมธ.ปรองดองฯเลย

สุดท้ายกลายเป็น ภารกิจเดียวกันบนเส้นขนาน
กำลังโหลดความคิดเห็น