ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ภายหลังชัยของพรรคเพื่อไทยด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งถล่มทลายกว่า 265 เสียง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนสำคัญมาจากเสียงของคนเสื้อแดงตามต่างจังหวัดที่ยังคงจงรักภักดีแบบไม่ลืมหูลืมตาต่อ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” จนนำไปสู่การเฮโลเข้าไปเลือก "ปูโคลนนิ่ง" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกเพียงไม่กี่อึดใจนี้เท่านั้น
และด้วยความเหิมเกริมของคนเสื้อแดงที่คิดว่าเมื่อพวกเขาเป็นปัจจัยสำคัญแห่งชัยชนะ ทำให้พวกเขาเริ่มเล่นเกมต่อรองผลประโยชน์และออกมาสำแดงพลังให้สังคมเห็นเป็นระยะ ดังเช่นที่สังคมได้เห็นบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงออกมาทิ้งระเบิดสร้างความขัดแย้งในสังคมเพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยการกดดันเรื่องการรับเก้าอี้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีปูแดง 1 หลังจากมีกระแสข่าวว่า แกนนำเสื้อแดง อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะคว้าแห้วอดนั่งเก้าอี้เสนาบดี
รวมทั้งการเหิมเกริมต่อหัวหน้าก๊วนของตนเอง เมื่อมีกระแสข่าวเรื่องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต้องการไปง้ออำมาตย์ตัวพ่อซึ่งเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของพวกเขาอย่าง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ว่าที่ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "รายชื่อ ครม.จะไม่มีชื่อของแกนนำ นปช.อยู่ร่วมเป็นรัฐมนตรีไม่ได้เด็ดขาด เพราะนายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ทุกคนต่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ตอนนี้หลายคนมีคดีความอยู่ 20-30 คดี เกือบเอาชีวิตกันไม่รอด สู้เพื่อประชาธิปไตยจนทำให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งมาได้ ถ้าไม่มีคนเสื้อแดง รับรองได้ว่าไม่มีเพื่อไทยวันนี้ ไม่เชื่อลองให้แยกออกเป็นพรรคเพื่อไทยกับพรรคเสื้อแดงดูก็ได้ เพื่อไทยไม่มีทางชนะได้ ส.ส.มากขนาดนี้ วันที่แกนนำ นปช.สู้กันแทบตาย นักการเมืองอาชีพหลายคนที่มาขัดขวางไม่ให้พวก นปช.เป็นรัฐมนตรีพวกนี้เอาแต่นอนห้องแอร์ ไม่เคยมาร่วมสู้ เอาแต่สบาย บางคนเห็นท่าไม่ดีก็จะหนีไปต่างประเทศด้วยซ้ำ"
ทั้งนี้ หาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย คนไหนได้ยินได้ฟังประโยคนี้เข้าไปแล้วเชื่อได้ว่าจะต้องสะดุ้งไปบ้างไม่มากก็น้อย แน่นอนว่าหากบวกลบคูณหาร อย่างที่ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ กล่าวไว้ จริงอยู่ คนอย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อดูบทบาทภาระหน้าที่ในช่วงการชุมนุมใหญ่ที่ได้ปลุกระดมเสื้อแดงมาป่วนเมือง ซึ่งต่อมานำไปสู่การเผาบ้านเผาเมือง จนตัวเองต้องติดคุกติดตารางในคดีก่อการร้าย
ก็น่าจะได้รับการบำเหน็จ ตอบแทนด้วยเก้าอี้เสนาบดีเสียคนละเก้าอี้เป็นอย่างน้อย จะว่าน้อยใจก็คงไม่ผิดนักเพราะซ้ำร้าย เก้าอี้ที่ ส.ส.ในภาคอีสานของพรรคเพื่อไทยก็ได้ถล่มทลายแลนสไลด์อีกต่างหาก จะไม่ให้มีรายชื่อของแกนนำเสื้อแดงติดโผเป็นรัฐมนตรีได้อย่างไร
คงต้องบอกว่าช่างน่าเศร้าใจเสียนี้กะไร สำหรับ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ที่หากได้ชื่อว่าเป็นสายเลือดแดงแท้เสียขนาดนี้แล้ว ก็น่าจะย่อมรู้ว่ากลไกทุกสิ่งทุกอย่างความเป็นไปของพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง รวมไปถึงหน้าตาของรัฐบาล ว่าบุคคลที่ชี้นิ้วสั่งซ้ายหัน ขวาหัน ก็ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียวคือ นช.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่แห่งดูไบ แต่ขณะเดียวกันความจริงอันโหดร้าย สิ่งที่นช.ทักษิณ อยากให้เกิดขึ้นก็คือ อยากให้คณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 มีหน้าตาดี เป็นที่น่าเชิดหน้าชูตา ไร้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงแง่ลบต่าง ๆ
และที่ลืมเสียไม่ลงก็คือพฤติกรรมเถื่อนถ่อยในการปลุกระดมช่วงชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง ของนายจตุพร และณัฐวุฒิ ยังคงติดตราเป็นฝันร้ายของคนเมืองอยู่ตลอดมา ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอย่างทักษิณ ก็ย่อมจะทราบดีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลาที่โผ ครม.ยังฝุ่นตลบอยู่ ก็ยังมีกระแสข่าวการให้แกนนำคนเสื้อแดงอย่างจตุพร และณัฐวุฒิ รอเวลาซัก 6เดือน ถึงจะมีการปรับ ครม.ใหม่ ค่อยหยิบชื่อมาใส่อีกครั้ง เพราะน่าจะทำให้แรงต้านอาจจะไม่มากเท่ากับเป็นเสนาบดีใน ครม.ปู 1
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เที่ยวนี้นายใหญ่แห่งดูไบให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับภาพลักษณ์ของ ครม.ยิ่งลักษณ์ ถึงขนาดมีกระแสข่าวว่า จะมีการเว้นเก้าอี้รัฐมนตรีไว้ให้คนนอกที่มีความรู้ ความสามารถ มาเสริมบารมีครม.ยิ่งลักษณ์ ให้ดูดีมากขึ้นอีกต่างหาก
แต่ที่ผิดคิวอย่างแรง คงไม่พ้นคำให้สัมภาษณ์ ที่ออกตามมาจากปาก จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ที่ส่งตรงไปถึงกลุ่มบุคคลที่เขาแค้นเคืองว่า "ไม่จำเป็น เราไม่ควรไปปรองดองหรือทำดีกับพวกอำมาตย์กลุ่มไหนแล้ว จะไปให้โอกาสมันทำไมเสียเวลา คนพวกนี้มันจะไม่มีแผ่นดินอยู่แล้ว เพราะประชาชนเขาอยู่ข้างเราสนับสนุนเรามากมายขนาดนี้ แสดงว่าประชาชนก็ไม่เอาด้วยกับอำมาตย์คนไหนทั้งสิ้น เพราะพวกนี้มันทำลายประเทศชาติ ทำลายระบบทุกอย่างเพียงเพราะอิจฉาความสำเร็จของ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว ดังนั้น ผมจะไม่ไปยกย่อง พล.อ.เปรม ขออยู่ห่างๆ ดีกว่า ผมไม่ไปกราบไหว้แน่ เพราะมันมากเกินไปที่จะอภัยเขาได้ คุณออกทีวี คุณก็ไปสอนคนอื่นให้เป็นคนดีของแผ่นดิน แต่เขาชั่วเกินที่ผมจะให้อภัย แต่พรรคเพื่อไทยหรือคุณยิ่งลักษณ์จะไปพบเป็นเรื่องของท่าน ผมห้ามไม่ได้"
ที่ต้องบอกว่าผิดคิวอย่างแน่นอน เพราะในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ "ปูโคลนนิ่ง" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังมีความพยายามต่อสาย ถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อยู่ตลอดมาหลายครั้งหลายครา ดังที่ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอเรียนว่าผู้ใหญ่ทุกท่านตนเองยินดีเข้าไปพบอยู่แล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นทางการแล้วคงไม่มีปัญหา และท่านไหนให้โอกาสไปพบก็ยินดีอยู่แล้ว"
อีกทั้งจะว่าไปแล้วการเข้าพบ พล.อ.เปรม ดูจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานไม่ว่าบรรดา นายกรัฐมนตรี รุ่นหลังๆ เป็นอันต้องตบเท้าเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์กันทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ นช.ทักษิณก็เคยไปซูฮกบ้านสี่เสาเทเวศร์มาแล้วเช่นกัน
ด้วยเพราะ พล.อ.เปรม มากบารมีทางด้านการทหาร ทรงอิทธิพลต่อกองทัพทุกหมู่เหล่า จึงทำให้ใครต่อใครต่างก็เกรงขามต่ออำนาจ ที่บรรจุอยู่ในความเป็น พล.อ.เปรม ซึ่งคนอย่าง นช.ทักษิณย่อมทราบถึงข้อนี้เป็นอย่างดี
มิเช่นนั้นแล้ว การตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คงจะเสร็จสิ้นฉับพลันทันที และคงจะไม่มีกระแสข่าวฝุ่นตลบ เสนอชื่อหรือแคนดิเคตกันเสียยกใหญ่เรียงหน้านับได้ก็นับสิบราย ภายในเวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม โดยเสปกหนึ่งในนั้นของ นช.ทักษิณก็คือ ต้องเป็นบุคคลที่สามารถพอจะเข้าถึงป๋าเปรมได้
นอกจากนี้อย่าลืมว่า วาทกรรมปรองดองที่ นช.ทักษิณ ชอบเอ่ยอ้างมาเสมอในช่วงก่อนเลือกตั้ง ซึ่งเป้าประสงค์ที่แท้จริงก็คือต้องการปรองดองกับ พล.อ.เปรม บุคคลที่เขาเคยด่าเทสาดเทเสียมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เป้าหมายหลักคือส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้สมใจหมายแล้ว ทักษิณจึงต้องการลดเงื่อนไขต่างๆ ที่อาจจะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ล้มครืนก่อนเวลาอันสมควร และความฝันที่จะกลับมาเหยียบประเทศไทยอีกครั้งอาจจะต้องมลายลง ซึ่งความจริงยุทธศาสตร์ของนช. ทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ต้องกลืนน้ำลายหันกลับลำปรองดองกับอำมาตย์ไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยหลายสิ่งต่อตัวรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เอง
นี่คือปัญหาใหญ่ของ นช.ทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่จะต้องทำความเข้าใจกับคนเสื้อแดงให้มาก
ขณะเดียวกันที่ต้องจับตา ไม่แพ้กันคือความแตกแยกของบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง ระหว่างกลุ่มนายชินวัฒน์ หาบุญพาด และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่ได้ออกมางัดข้อเคลื่อนไหวขับไล่นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. ให้พ้นจากตำแหน่ง
แน่นอน เรื่องนี้ นช.ทักษิณย่อมทราบดีว่าถ้ายังปล่อยให้ขบวนการเสื้อแดงชูธงโค่นล้มอำมาตย์ จนมีภาพลักษณ์เป็นขบวนการล้มเจ้า จะไม่เป็นผลดีต่อตัวเขาและพรรคเพื่อไทยต่อไปในอนาคตแน่นอน ดังนั้น บรรดาลิ่วล้อทักษิณอย่าง ชินวัฒน์ หาบุญพาด, สุภรณ์ อัตถาวงศ์ จึงต้องออกมาปฏิบัติการกดดันบีบให้ธิดา ถาวรเศรษฐ ลาออกจากประธานรักษาการ นปช.ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
และจงอย่าได้แปลกใจ หากนายชินวัฒน์และนายสุภรณ์ได้ท้าทายแถมนางธิดาอีกว่า "ระวังเดี๋ยวงานที่จะจัดคอนเสิร์ตฉลองชัยวันที่ 17 กรกฎาคมนี้ จะไม่มีเสื้อแดงอีสานมาร่วมไม่ได้ขู่" ฉะนั้น หมากที่ นช.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยกำลังเดินจากนี้ไปคือการกำจัดจุดอ่อน เพื่อลบภาพลักษณ์ไม่เอาอำมาตย์และล้มเจ้าให้หมดไป หวยจึงมาออกที่ขบวนของเสื้อแดงกลุ่มนางธิดาก่อน ซึ่งภาพลักษณ์นี้ก็เป็นสิ่งถูกตั้งคำถามจากสังคมมากที่สุดเป็นเงาตามตัวตลอดมา
มาถึงตรงนี้ ก็ต้องกล่าวว่า สถานการณ์ต่างๆได้เปลี่ยนไปแล้ว เนื่องจากพรรคเพื่อไทยสามารถชนะเลือกตั้งและกำลังจะยึดอำนาจรัฐเข้ามาอยู่ในมือแล้ว เชื่อว่าก็ต้องมีการปรับกระบวนทัพภาพลักษณ์กันใหม่ นาทีนี้เชื่อว่า "ยี่ห้อคนเสื้อแดง" ขบวนการล้มเจ้า ไม่เอาอำมาตย์ ยังคงเป็นจำเลยหนึ่งในของร้อน ที่ต้องถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน หากไม่ต้องการสร้างเงื่อนไขขัดแย้งขึ้นมาในสังคมโดยเฉพาะกับฝ่ายตรงกันข้าม และที่สำคัญก็คือ ถ้าหากมองลึกเข้าไปในใจของ นช.ทักษิณ ในยามนี้เชื่อว่าคงต้องการลดบทบาทของ แกนนำคนเสื้อแดงลงไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคเพื่อไทยถูกขย่มซ้ำ เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยถือเป็นหมากตัวตัวสำคัญที่จะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
ดังนั้น เมื่อพิจารณาหลายปัจจัยแล้ว "ของร้อน" อย่างเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์และกลุ่มไม่เอาอำมาตย์ คงจะต้องถูกพับเก็บในไม่ช้าต่อจากนี้ เพราะมิเช่นนั้นแล้วขืนยังมีภาพของความรุนแรงและภาพไม่เอาสถาบันอยู่ พรรคเพื่อไทยของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะต้องหมดอายุก่อนเวลาอันสมควร