xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ศิษย์แม่พระธรณีบีบมวยผม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลายคนอาจตีความถึงการออกมาปรากฏตัวของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก ผ่านช่อง 5 และช่อง 7 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ของทหารเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนว่า เป็น “การปฏิวัติเงียบ” ในรูปแบบใหม่ของทหาร

เพราะแม้สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ชักแม่น้ำทั้ง 5 มาพร่ำพรรณนาจะไม่ได้บอกโต้งๆ ว่า ต้องการให้เลือกพรรคใดในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม แต่ก็มีความชัดเจนอยู่ในตัวเองว่า พล.อ.ประยุทธ์หมายถึงพรรคใดและต้องการให้เลือกใครกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอีกครั้ง

ขณะที่ถ้อยความระหว่างบรรทัดที่เอ่ยถึงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ขบวนการล้มเจ้า เอ่ยถึงนายจักรภพ เพ็ญแข เอ่ยถึงการขัดขวางการทำหน้าที่ของทหารในชุดปฏิบัติการพิเศษ 315 ก็มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้เช่นกันว่า พล.อ.ประยุทธ์หมายถึงพรรคใด เพราะมีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว

แน่นอน กรณีการเผาบ้านเผาเมืองและขบวนการล้มเจ้า เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นดีเห็นงามกับ พล.อ.ประยุทธ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะนั่นคือเหล่ากอขอของความชั่วร้ายที่กำลังทำลายประเทศไทยที่ทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันกำจัดให้หมดสิ้นไป

แต่สำหรับการตัดสินใจเปิดหน้าชกและสำแดงตนเป็น “ศิษย์แม่พระธรณีบีบมวยผม” นั้น ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เป็นการชี้นำทางการเมืองที่เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพรรคการเมืองพรรคนี้ และพรรคพรรคนี้ดีจริงตามที่ พล.อ.ประยุทธ์รับรองหรือไม่

นอกจากนี้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดหลังจากที่เปิดโอกาสให้ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์เข้าพบก่อนหน้าที่จะมีการบันทึกเทปโทรทัศน์และให้สัมภาษณ์พิเศษ ก็ทำให้มีสิทธิตั้งคำถามแรงๆ กับ พล.อ.ประยุทธ์ว่า รับใบสั่งจากใครให้ออกมาพูดเช่นนี้หรือไม่
แม้นายสุเทพจะปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าพบด้วยการแจกแจงตารางการงานในวันนั้นอย่างถี่ยิบ
พร้อมกล่าวหาว่า เป็นข่าวบิดเบือนที่ต้องการดิสเครดิตตัวนายสุเทพและพล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงการปฏิเสธของ พล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แต่ก็ยังมิอาจทำให้สังคมเชื่อว่า การแจ้งรหัสวิทยุสื่อสาร(ว.) ว่าเป็น “วีไอพี ทบ.1” เข้าพบ ผบ.ทบ.โดยไม่ได้ใช้รหัสว่า “สร.2” เหมือนดังเช่นปกติ ไม่ได้หมายถึงคนชื่อนายสุเทพ

แต่จะอย่างไรก็ตาม ไม่ว่านายสุเทพจะเข้าพบหรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์พูด เพราะมีความชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์คือพรรคที่ พล.อ.ประยุทธ์สนับสนุน

ที่สำคัญคือ เป็นการออกมาพูดที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ “ไม่เลือกเราเขามาแน่ ไม่เลือกเราพรรคเผาเมืองมาแน่ ไม่เลือกเราพรรคล้มเจ้ามาแน่” ของพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังเร่งหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายอีกต่างหาก

และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า ในวันถัดมาคือหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเลือกข้าง นายสุเทพก็ประกาศต่อสาธารณชนเช่นกันว่า ถ้าได้ ส.ส.ต่ำกว่า 170 คนจะลาออกจากเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

ดูเหมือนว่า หลังจากการออกมาของผู้บัญชาการเสื้อเขียวศิษย์แม่พระธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์จะมั่นใจในชัยชนะมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ถ้าหากวิเคราะห์ถึงเหตุและผลอันเป็นที่มาของการตัดสินใจทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ในครั้งนี้ ก็จะพบข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า สืบเนื่องมาจาก “ข้อมูล” ทางการเมืองที่ถูกส่งผ่านเข้ามาในมือผู้บัญชาการทหารบก โดยระบุชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ “ปูแดง-น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็นโคลนนิงของ นช.ทักษิณ ชินวัตร จะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย

รวมกระทั่งถึงผลโพลทุกสำนักที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ยกเว้น “เทือกโพล” เพียงแห่งเดียวที่คุยโวโอ้อวดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะชนะศึกเลือกตั้งครั้งนี้และได้ ส.ส.มากกว่าพรรคเพื่อไทย 5-6 คน

ด้วยเหตุดังกล่าว ศิษย์แม่พระธรณีบีบมวยผมอย่างพล.อ.ประยุทธ์จึงจำต้องเล่นบทโหดด้วยการเตะตัดเกมเสียตั้งแต่เนิ่นด้วยการเบรกความร้อนแรงของพรรคเพื่อไทย และตัดสินใจเปลี่ยนจาก “ชุดสีเขียว” มาสวมใส่ “ชุดสีฟ้า” อย่างเต็มตัว

นอกจากนั้น ในอีกทางหนึ่ง การออกมาประกาศตัวตนที่แท้จริงในครั้งนี้ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์เองก็มีความประสงค์ที่จะสยบข่าวความสัมพันธ์ถึงขั้น “กินตับ” ระหว่างตนเองกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่ลือสะพัดไปทั่วทั้งประเทศ เพื่อประกาศจุดยืนให้กับ “นาย” ได้รับทราบว่า ยังคงมิได้แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

โดยเฉพาะนายที่ชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวขบวนใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ที่กำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

เพราะในระยะหลังดูเหมือนว่า แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะเล่นบทโหดและบทหนักถึงขั้นติดดาบปลายปืนเข้าใส่พรรคเพื่อไทย แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มิได้ตอบโต้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวสั้นๆ เพียงแค่ว่า “ไม่ติดใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาให้สัมภาษณ์แสดงจุดยืนทางโทรทัศน์ เพราะในภาพรวมอาจจะเป็นการออกมาให้กำลังใจ และบอกเพียงว่ากองทัพจะวางตัวเป็นกลาง ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ในส่วนของพรรคเพื่อไทย มีความชัดเจน ที่จะไม่นำเรื่องสถาบันมาหาเสียง เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเทิดทูน ทั้งนี้เห็นว่าคะแนนเสียงอยู่ที่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน เลือกพรรคที่ไว้วางใจเข้ามาทำงาน”

สอดคล้องกับแหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยที่ให้ข้อมูลว่า นช.ทักษิณ ชินวัตรมีคำสั่งไม่ให้ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์เหมือนเช่นที่ผ่านมา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่น้ำเสียงของน้องปูจะออกมาในลักษณะนี้

ขณะเดียวกัน การเปิดหน้าชกในครั้งนี้ของพล.อ.ประยุทธ์ยังประพฤติตัวเสมือนหนึ่ง “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” เพราะเปิดฉากกล่าวหา “สื่อ” ว่า ทำให้กองทัพมีปัญหากับประชาชน ทำให้ประชาชนเกิดความแตกแยก แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว กองทัพต่างหากที่ทำให้ประชาชนเกิดความแตกแยก เพราะมิได้ทำหน้าที่ไขความจริงให้เป็นที่ปรากฏตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือกรณีของขบวนการล้มเจ้าซึ่งต้องยอมรับว่า ในยุคที่กองทัพบกมีผู้บัญชาการชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นยุคที่ขบวนการล้มเจ้าเติบใหญ่อย่างผิดปกติมากที่สุดยุคหนึ่งดังเช่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับเองว่า “จากการติดตามของฝ่ายความมั่นคงเห็นว่า มีการกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันฯ มากขึ้น”

ถามว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศก้องว่า “ยอมไม่ได้” นั้น ในทางปฏิบัติแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ได้ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งขบวนการเหล่านั้นบ้าง

แม้กระทั่ง “เสธ.ไก่อู-พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” โฆษกกองทัพที่เป็นคนนำแผนผังล้มเจ้าออกมาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ สุดท้ายแล้วก็ยังกลับลำและพลิกลิ้นว่า  “ข้าฯได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่า ผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสาร ว่า แต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น”

นี่มิใช่การประนีประนอมกับขบวนการล้มเจ้าดอกหรือ

รวมถึง “หมู่บ้านเสื้อแดง” ที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด พล.อ.ประยุทธ์ก็มิสามารถทำอะไรเพื่อสถาปนาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรให้เป็นเช่นที่ผ่านมาได้ ทั้งๆ ที่ล่อแหลมและสุ่มเสี่ยงต่อความเป็นหนึ่งเดียวของชาติอย่างยิ่ง

และเมื่อถูกโจมตีหนัก “น้ำล้างชาม” อย่าง พ.อ.สรรเสริญก็ออกมาแถลงแก้ตัวแทนนายโดยเล่นลิ้นด้วยการอธิบายว่า สื่อในความหมายของ พล.อ.ประยุทธ์มิได้หมายถึง “สื่อมวลชน”

“สื่อที่ ผบ.ทบ.พูดนั้น ท่านคงไม่ได้หมายความว่าท่านโบ้ยทุกๆ คน ไม่ใช่ลักษณะอย่างนั้น ท่านต้องเข้าใจว่าสื่อหรือผู้ที่นำเสนอข้อมูลมาอย่างไรไปอย่างนั้น มาอย่างไรอาจจะมีการแต่งแต้มก็แล้วแต่นั่นคือสื่อ แต่ท่านทั้งหลายไม่ใช่เป็นสื่ออย่างเดียว แต่ท่านเป็นสื่อมวลชน ซึ่งเราไม่เคยมีความคิดเป็นอย่างอื่น ดังนั้นสื่อมวลชนจะมีความพิเศษกว่าสื่อธรรมดา คือจะมีดุลพินิจ มีวิจารณญาณ ท่านนำเสนอในสิ่งต่างๆที่มันเป็นข้อเท็จจริง เป็นมุมมอง มีทัศนคติเพื่อให้สังคมได้พิจารณาได้ ....วันนี้ยังมีสื่อบางส่วนที่อินกับเรื่องการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแบบสุดโต่ง แล้วทำให้เกิดการยั่วยุในคำพูด ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก แบ่งฝักฝ่ายในพี่น้องคนไทยด้วยกัน แล้วนี่หรือที่จะนำมาซึ่งการสมัครสมานสามัคคี ที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติเป็นปึกแผ่นในวันข้างหน้า”

คำถามที่ตามมาคือ ในขณะที่พล.อ.ประยุทธ์กล่าวหาสื่อว่า อิงการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างสุดโต้ง แล้วตัว พล.อ.ประยุทธ์เองที่ประกาศชี้นำให้เลือกพรรคสีฟ้าที่ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจและความมั่นคง ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องในฐานะผู้บัญชาการทหารบกหรือไม่

รวมถึงคำถามที่ว่า ตัว พล.อ.ประยุทธ์เองได้เคยแสดงให้ประชาชนเห็นบ้างหรือไม่ว่า ได้กระทำการเพื่อปกป้องสถาบันอย่างไร และได้สั่งการให้สื่อสังกัดกองทัพบกดำเนินการเพื่อปกป้องสถาบันอย่างจริงๆ จังๆ และประสบความสำเร็จให้เห็นบ้างหรือไม่ มิใช่ “ดีแต่พูด” เหมือนเช่นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ตัวเองถวิลหาและเป็นส่วนหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารมากับมือ

อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ถ้อยคำระหว่างบรรทัดของ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะพบความจริงอีกประการหนึ่งว่า แม้แม่ทัพบกศิษย์แม่พระธรณีบีบมวยผมผู้นี้จะทำประหนึ่งกล่าวหาสื่อทั้งในฝ่าย “เสื้อแดง” และสื่อในฝ่าย “เสื้อเหลือง” แต่เป้าประสงค์ที่แท้จริงของเขาน่าจะพุ่งเป้าไปที่สื่อของฝ่ายเสื้อเหลืองคือ สื่อในเครือของ “ASTVผู้จัดการ” เป็นสำคัญ

เนื่องเพราะการรณรงค์ “โหวตโน” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เผยแพร่ผ่านสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ กำลังทำให้พรรคที่เขารักกำลังจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างหมดรูป โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์จะลืมหรือแกล้งลืมไปว่า มิใช่สื่อในเครือ ASTVผู้จัดการและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรอกหรือที่ทำหน้าที่ในการปกป้องสถาบันอย่างแข็งขัน

นอกจากนั้นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องตอบก็คือ พล.อ.ประยุทธ์มั่นใจและแน่ใจแล้วหรือว่า พรรคการเมืองที่พล.อ.ประยุทธ์ให้การสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตาเป็นพรรคที่ดีจริงและมีคุณธรรมจริงตามที่กล่าวอ้าง

เพราะถ้าเป็นพรรคการเมืองที่ดีจริง ประชาชนคนไทยจะไม่มีวันที่จะได้เห็นภาพของความเลวร้ายที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งกรณีการโยกย้ายและแต่งตั้งข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม การปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างเอิกเกริก นี่ไม่นับรวมถึงการบริหารราชการแผ่นดินในทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนไทยตกอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพงไปทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนและราคาแพงขึ้นจนหยิบจับไม่ลง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาไข่ราคาแพงที่แก้ปัญหาด้วยวิธีที่ล้มเหลวอย่างการนำไปชั่งกิโล หรือไม่ว่าจะเป็นการทิ้งทวนอนุมัติงบประมาณจำนวนมหาศาลในวันสุดท้ายของคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะมีการประกาศยุบสภา

 ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ถามตัวเองบ้างว่า ตั้งแต่เสื้อแดงไปล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา เผาเมืองในเดือนเมษายน 2552 ต่อด้วยเผาที่ราชประสงค์ เดือนพฤษภาคม 2553 ทำไมรัฐบาลไม่สามารถจะจัดการได้ ทำไมไม่ถามคำถาม ทำไมไม่จี้รัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้หาคนยิง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม

พล.อ.ประยุทธ์มั่นใจได้อย่างไรว่า หากเลือกพรรคดังกล่าวเข้ามาแล้ว การเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลง และประชาชนคนไทยจะไม่ได้อะไรแบบเดิมๆ อีก เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองในดวงใจของ พล.อ.ประยุทธ์ก็มิได้สำแดงให้เห็นถึงฝีไม้ลายมือในการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใด

นี่คือคำตอบที่ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องตอบและนำกลับไปทบทวนตัวเองก่อนที่จะนำพากองทัพบกเข้ารกเข้าพง และทำให้ประเทศไทยกลับมาอยู่ในวังวนเดิมๆ ดังเช่นที่ผ่านมาอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น