ผ่าประเด็นร้อน
การให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ของพวกเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยต่อสื่อญี่ปุ่นเมื่อสองสามวันก่อนประกาศย้ำอีกครั้งว่าเขาจะเดินทางกลับประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน นั่นก็หมายความเขามั่นใจเต็มร้อยแล้วว่า พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะและได้เป็นรัฐบาล สามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้อีกครั้ง และนาทีนั้นก็ไม่จำเป็นแล้วว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวที่เป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่
ในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเขายังอ้างถึงผลสำรวจ (โพล) จากทุกสำนัก รวมไปถึงโพลของหน่วยราชการในที่นี้น่าจะเป็นโพลล์สันติบาลที่ระบุออกมาว่าพรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างขาดลอยทั้งในระบบ ส.ส.เขต และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
นอกจากนี้ ทักษิณยังชี้นำและสรุปให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะด้วยเสียงข้างมาก แต่ก็จะจัดตั้งรัฐบาลผสมดึงเอาพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาร่วม ส่วนจะเป็นพรรคใดบ้างนั้นยังไม่ได้ระบุออกมาแน่ชัด แต่จากการทอดไมตรีและความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สอดรับกันอย่างยิ่งในเวลานี้ก็น่าจะหนีไม่พ้นไปจากพรรคชาติไทยพัฒนาของบรรหาร ศิลปอาชา ส่วนอีกพรรคหนึ่งมีความเป็นไปได้ว่า น่าจะเป็นพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ซึ่งในทางการเมืองพอจะจับสัญญาณกันได้ไม่ยาก
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนเป็นการสรุปฟันธงเอาไว้ล่วงหน้าเหมือนกับการข่มขู่อะไรบางอย่าง เพราะหากผลการเลือกตั้งผิดเพี้ยนกลับตาลปัตรไปจากเดิม พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือได้จำนวน ส.ส.ต่ำกว่าเป้าดังกล่าว ก็จะเป็นเหตุผลทำให้เครือข่ายระบอบทักษิณชี้หน้าทันทีว่า “ถูกปล้น” ถูกโกงการเลือกตั้ง สร้างเงื่อนไขออกมาป่วนกันอีกรอบ และเชื่อว่าคราวนี้จะหนักกว่าเดิมหลายเท่านัก เพราะชาวบ้าน โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่รับข้อมูลจากการปลุกระดมจนเชื่อฝังหัวแล้วว่า มี “อำนาจแฝง” หรืออำนาจนอกระบบเข้ามากดดันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งที่ในความเป็นจริงอาจเป็นผลมาจากการรณรงค์แบบข่มขู่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ วาดภาพให้น่ากลัวว่า “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” หรือ “จะปล่อยให้พวกเผาเมือง” ได้เข้าสภาหรือว่าเข้ามาเป็นรัฐบาลอย่างนั้นหรือ รวมไปถึงล่าสุดการออกมาเตือนสติอย่างแข็งกร้าวของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศว่าจะไม่ยอมให้พวกที่โยงใยกับขบวนการล้มเจ้าได้เหิมเกริมเดินเข้าสภา และเป็นการเปิดหน้าชนกันเต็มตัว เพราะมีการเอ่ยชื่อออกมากันอย่างชัดเจนว่าตัวการสำคัญที่อยู่ต่างประเทศเวลานี้คือ จักรภพ เพ็ญแข และ ใจล์ อึ๊งภากรณ์ ซึ่งการระบุกันแบบไม่อ้อมค้อมก็สามารถต่อสายไปถึงเครือข่ายว่ามีใครกันบ้าง
แน่นอนว่าหากพูดถึงสองคนนี้ โดยเฉพาะคนแรกคือ จักรภพ เพ็ญแข กำลังหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ล้วนแนบแน่นอยู่กับแกนนำคนเสื้อแดง เคยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีในยุคที่ยังเป็นพรรคพลังประชาชน
จากนั้นหลังจากที่เขาหลบไปอยู่ต่างประเทศก็มีการปรากฏตัวร่วมกับ ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ “นายใหญ่” อยู่บ่อยครั้ง แม้กระทั่งมีข่าวว่าเคยหลบมากบดานอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาก่อนหน้านี้ ดังนั้นการระบุชื่อ จักรภพ ว่าเป็นพวกขบวนการล้มเจ้า แม้จะไม่พูดต่อหยุดอยู่แค่นั้น แต่สังคมทั่วไปก็ย่อมมองออกว่านี่คือการเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน เพียงแต่แยกบทบาทตามสถานการณ์ แต่มีเป้าหมายสูงสุดเดียวกัน
การออกมาระบุของผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดูอาการแล้วเหมือนกับการพุ่งชนเต็มตัว อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาไม่อาจเคลียร์กันได้ลงตัว หรือเป็นเพราะกังวลว่าในวันข้างหน้าจะเอาไม่อยู่ หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงต้องสกัดเอาไว้ก่อน ด้วยการประกาศให้ชาวบ้านได้รับรู้ความจริง ก่อนการตัดสินใจชี้อนาคตว่ายังสมควรเลือกพวกขบวนการ “ล้มเจ้า” พวกผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง ทำผิดกฎหมายให้เข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรหรือไม่
กล่าวสำหรับทักษิณที่ชิงประกาศชัยชนะล่วงหน้า มองในทางยุทธวิธีนี่คือการข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามกับเขา โดยเฉพาะในความหมายที่เป็น “อำนาจแฝง” ทำนองว่าห้ามเข้ามาจุ้นอีก หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันในทางตรงข้ามหากเกิดเหตุไม่คาดหมายเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมาก็อาจใช้เป็นเงื่อนไขสร้างสถานการณ์ป่วนดังกล่าว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตากันไปให้มากกว่านั้นก็คือ การประกาศกลับมาประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน นั่นย่อมหมายความว่าเขามั่นใจเต็มเปี่ยมว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว หลังจากการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม แต่สิ่งที่น่าสังเกตไปมากกว่านั้นก็คือถัดจากเดือนดังกล่าวก็คือเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนที่มหาชนชาวไทยต่างถือเป็น “เดือนมหามงคล” และปีนี้ถือว่าเป็น “ปีพิเศษ” ยิ่งไปกว่าทุกครั้งก็ย่อมมีความหมายไม่ธรรมดา แต่สำหรับทักษิณ นั้นแม้ว่าอาจจะมองดูแล้วเป็นช่วงกำหนดตารางเวลาลงล็อกก็ตาม แต่เชื่อว่าจะต้องมีการวางแผนเอาไว้อย่างแนบเนียน ส่วนเป้าหมายจะ “สูงเทียมฟ้า” หรือไม่ คนที่ติดตามมาอย่างรู้ทันก็ย่อมมองออกได้ไม่ยาก
ดังนั้นหากให้สรุปกันอีกทีถือว่าการประกาศกลับไทยในเดือนพฤศจิกายนของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นดูเหมือนต้องการชวนให้ขบคิดว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ และหวังว่าในตอนนั้นคงไม่ใช่เป็นผู้นำคนเสื้อแดงที่จะมาจุดเทียนชัยในเดือนมหามงคล ตามที่หลายคนคาดหมายเอาไว้!!