จากกระแสที่เป็นอยู่ แม้ว่าจะยก “โหวตโน” ไม่เลือกใครออกไป แล้วหันมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกครั้ง ดูแล้วยังไงก็ไม่มีทางชนะ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากผลงานกว่าสองปี หกเดือนที่เป็นรัฐบาล ที่มีแต่ความอ่อนแอ ไร้ภาวะผู้นำ ในรัฐบาลมีแต่เรื่องทุจริตอื้อฉาว และนอกจากนี้ที่ทำให้คนทั่วไปต้องคิดหนักฝืนใจไม่ลงก็คือ หาก อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เราก็จะต้องมี สุเทพ เทือกสุบรรณ และ เนวิน ชิดชอบ เข้ามา บรรยากาศเดิมๆก็จะกลับมา หรือจะหนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ สรุปก็คือถึงเลือกเรา(ปชป.) เขา(ทักษิณ) ก็มาแน่ๆ ทำให้ต้องหันไป “โหวตโน” ไม่เลือกใครเสียดีกว่า เพราะนี่คือการถ่วงดุล ปฏิเสธสร้างความชอบธรรมให้กับ พรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองเลวๆทุกคน ไม่ให้ทำตามอำเภอใจ
แม้ว่ายังไม่ถึงวันลงคะแนนเสียง เพื่อตัดสินว่าขั้วการเมืองฝ่ายไหน ระหว่างขั้วประชาธิปัตย์ หรือว่า ขั้วทักษิณในนามพรรคเพื่อไทย จะเป็นฝ่ายชนะ ได้กลับมาควบคุมอำนาจรัฐ อย่างไรก็หากพิจารณาจากแนวโน้มและบรรยากาศรอบข้างในเวลานี้ก็น่าเชื่อว่าฝ่ายหลังน่าจะเข้าวิน ส่วนจะชนะกี่เสียงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นในช่วงเวลาแบบนี้จึงเป็นช่วงของการงัดสารพัดวิชามารออกมาเพื่อทำลายฝ่ายตรงกันข้าม เพื่อหวังว่าตัวเองจะได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็กดอีกฝ่ายให้จมลง
วิชามารที่ถูกนำออกมาใช้ไม่ว่าจะเป็น “วาทะข่มขู่”ให้เกิดความกลัว ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยนำมาใช้หลายครั้ง คราวนี้ก็ยกขึ้นมาอีก เช่น “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ซึ่งความหมายก็ไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นคือ “เรา”ก็คือ ประชาธิปัตย์และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ พ่วงด้วย เนวิน ชิดชอบ ส่วน “เขา” ในที่นี้ก็ย่อมหมายถึง พรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร และ “โคลนนิ่ง” ประจำตระกูลก็คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศเท่าที่เป็นอยู่รอบข้างในเวลานี้ เชื่อกันว่าไม่น่าจะสกัดกั้นได้ทัน เพราะกลายเป็นว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ยังตามหลัง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยอยู่ไม่น้อย เมื่อดูจากผลสำรวจ(โพล)จากหลายสำนักออกมาตรงกัน แม้ว่าจะมีการตอบโต้ไม่ยอมรับก็ตามหาว่าเป็น “โพลปั่น” ก็เห็นจะจริงอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อฟังจากคำพูดของ อภิสิทธิ์ ก็ยังเคยบอกว่าแพ้-ชนะห่างกันไม่มาก แต่เอาเป็นว่าถ้าพิจารณาจากบรรยากาศแบบตรงไปตรงมาก็ต้องถือว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำก็แล้วกัน ส่วนจะมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีความพยายามในเรื่องการเปิดโปง “ขบวนการล้มเจ้า” ที่แฝงตัวอยู่ในพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีหลายคนกลายเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ หรือแม้แต่มีการกล้าออกมาพูดให้ชัดเจนขึ้นระบุกันตรงๆว่าพรรคเพื่อไทยกับ “หัวโจก” คนเสื้อแดงที่เป็นตัวการเผาบ้านเผาเมืองล้วนเป็นพวกเดียวกัน ถึงขั้นที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์รักษาบ้านเมือง ขณะที่อีกฝ่ายเป็นคนเผาเมืองให้ชาวบ้านเลือกเอาเองว่าจะเลือกฝ่ายไหน
อย่างไรก็ดีก็ยังไม่มีผลอะไรตามมามากนัก ไม่มีแรงกระเพื่อมจนเกิดเป็นกระแสพลิกกลับจนผิดสังเกต ทุกอย่างก็ยังผิดไปจากเป้าหมายที่วางเอาไว้
กระทั่งล่าสุดเมื่อสามสี่วันที่ผ่านมาก็มี ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ออกมาเขย่าซ้ำด้วยการส่งสัญญาณเตือนว่ายอมไม่ได้ที่พวก “ขบวนการล้มเจ้า” เหิมเกริม ถึงขึ้นมีการระบุชื่อออกมาตรงๆเป็นครั้งแรกว่าพวกที่เคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวกำลังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ เช่น จักรภพ เพ็ญแข และ ใจส์ อึ้งภากรณ์ เป็นต้น รวมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนตั้งสติก่อนโหวต โดยเฉพาะอย่าเลือกพวกที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเข้ามา แม้ไม่ต้องบอกให้ชัดก็ย่อมรู้ดีว่าย่อมหมายถึงพวกแกนนำคนเสื้อแดงที่ต้องคดีก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมืองเข้ามา
ความหมายของคำพูดดังกล่าวของผู้บัญชาการทหารบกแม้ว่าไม่ได้บอกตรงๆว่าคนพวกนี้เกี่ยวข้องกับใคร แต่ถ้าพิจารณาย้อนดูอดีตที่ผ่านมาก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า มีการเคลื่อนไหวเป็นเนื้อเกี่ยวกันกับ ทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะ จักรภพ เพ็ญแข ที่เวลานี้กำลังหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ในต่างประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ยังเคยปรากฎตัวอยู่ในประเทศกัมพูชาพร้อมกับ ทักษิณ หลายครั้ง
หากพิจารณาจากคำพูดดังกล่าวหลายคนเข้าใจดีว่าต้องการสกัดกั้นพวก “ล้มเจ้า” โดยเตือนสติให้ชาวบ้านคิดให้ดีก่อนโหวตตัดสินใจให้ดีเสียก่อน ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่ไปกระทบกระเทือนถึงพรรคเพื่อไทยเข้าจังเบอร์ ขณะเดียวกันเหมือนกับการ “เลือกข้าง” ยังยืนอยู่กับ ประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่นเอง
อย่างไรก็ดีกลายเป็นว่ากลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยและ ทักษิณ ไม่ได้ออกมาตอบโต้ หรือโจมตีเข้าใส่ พล.อ.ประยุทธ์ มีแต่ประสานเสียงให้ความเห็นไปตามน้ำว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่ผู้บัญชาการทหารบกมีจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง และคงประเมินกันแล้วว่าคงไม่ส่งผลสะเทือนต่อผลการเลือกตั้ง อีกทั้งคำพูดดังกล่าวก็ไม่ได้พาดพิงมาถึงผู้สมัครของพรรคโดยตรง หากไปตอบโต้มันก็เหมือนกับการไปยอมรับเป็นพวกเดียวกัน และยังเป็นการต่อความยาวสาวความยืด อาจบานปลายไม่คาดฝัน สู้อยู่นิ่งเสียดีกว่า
เมื่อวิเคราะห์ดูจากบรรยากาศทางการเมืองในขณะนี้ ก็ต้องเห็นตามนั้น เพราะในเวลาต่อมา ทักษิณ ชินวัตร “นายใหญ่” ของพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ก็ได้ออกมาประกาศชัดเจนถึงกำหนดการเดินทางกลับเข้าประเทศในเดือน “ธันวาคม” นั่นก็หมายความว่า เขามั่นใจว่าทุกอย่างยังดำเนินการไปตามแผน พรรคเพื่อไทยต้องได้รับชัยชนะ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เป้าหมายเพื่อยึดกุมอำนาจรัฐให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันในเรื่องอื่นต่อไป ซึ่งทุกอย่างก็กำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
จากกระแสที่เป็นอยู่ แม้ว่าจะยก “โหวตโน” ไม่เลือกใครออกไป แล้วหันมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกครั้ง ดูแล้วยังไงก็ไม่มีทางชนะ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากผลงานกว่าสองปี หกเดือนที่เป็นรัฐบาล ที่มีแต่ความอ่อนแอ ไร้ภาวะผู้นำ ในรัฐบาลมีแต่เรื่องทุจริตอื้อฉาว และนอกจากนี้ที่ทำให้คนทั่วไปต้องคิดหนักฝืนใจไม่ลงก็คือ หาก อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เราก็จะต้องมี สุเทพ เทือกสุบรรณ และ เนวิน ชิดชอบเข้ามา บรรยากาศเดิมๆก็จะกลับมา หรือจะหนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ สรุปก็คือถึงเลือกเรา(ปชป.) เขา(ทักษิณ) ก็มาแน่ๆ ทำให้ต้องหันไป “โหวตโน” ไม่เลือกใครเสียดีกว่า เพราะนี่คือการถ่วงดุล ปฏิเสธสร้างความชอบธรรมให้กับ พรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองเลวๆทุกคน ไม่ให้ทำตามอำเภอใจ
ดังนั้น นาทีนี้หากพิจารณาสถานการณ์อย่างรู้ทัน ก็ต้องบอกว่าชาวบ้านไม่มีวันยอมจำนนและสนใจคำขู่ของพวกนักเลือกตั้งที่ไม่เคยเห็นหัวชาวบ้าน ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ และรักษาอำนาจเท่านั้น และไม่ว่า “เรา” หรือ “เขา” จะมา ก็ไม่ใครสนใจอยู่แล้ว !!
แม้ว่ายังไม่ถึงวันลงคะแนนเสียง เพื่อตัดสินว่าขั้วการเมืองฝ่ายไหน ระหว่างขั้วประชาธิปัตย์ หรือว่า ขั้วทักษิณในนามพรรคเพื่อไทย จะเป็นฝ่ายชนะ ได้กลับมาควบคุมอำนาจรัฐ อย่างไรก็หากพิจารณาจากแนวโน้มและบรรยากาศรอบข้างในเวลานี้ก็น่าเชื่อว่าฝ่ายหลังน่าจะเข้าวิน ส่วนจะชนะกี่เสียงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นในช่วงเวลาแบบนี้จึงเป็นช่วงของการงัดสารพัดวิชามารออกมาเพื่อทำลายฝ่ายตรงกันข้าม เพื่อหวังว่าตัวเองจะได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็กดอีกฝ่ายให้จมลง
วิชามารที่ถูกนำออกมาใช้ไม่ว่าจะเป็น “วาทะข่มขู่”ให้เกิดความกลัว ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยนำมาใช้หลายครั้ง คราวนี้ก็ยกขึ้นมาอีก เช่น “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ซึ่งความหมายก็ไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นคือ “เรา”ก็คือ ประชาธิปัตย์และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ พ่วงด้วย เนวิน ชิดชอบ ส่วน “เขา” ในที่นี้ก็ย่อมหมายถึง พรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร และ “โคลนนิ่ง” ประจำตระกูลก็คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศเท่าที่เป็นอยู่รอบข้างในเวลานี้ เชื่อกันว่าไม่น่าจะสกัดกั้นได้ทัน เพราะกลายเป็นว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ยังตามหลัง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยอยู่ไม่น้อย เมื่อดูจากผลสำรวจ(โพล)จากหลายสำนักออกมาตรงกัน แม้ว่าจะมีการตอบโต้ไม่ยอมรับก็ตามหาว่าเป็น “โพลปั่น” ก็เห็นจะจริงอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อฟังจากคำพูดของ อภิสิทธิ์ ก็ยังเคยบอกว่าแพ้-ชนะห่างกันไม่มาก แต่เอาเป็นว่าถ้าพิจารณาจากบรรยากาศแบบตรงไปตรงมาก็ต้องถือว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำก็แล้วกัน ส่วนจะมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีความพยายามในเรื่องการเปิดโปง “ขบวนการล้มเจ้า” ที่แฝงตัวอยู่ในพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีหลายคนกลายเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ หรือแม้แต่มีการกล้าออกมาพูดให้ชัดเจนขึ้นระบุกันตรงๆว่าพรรคเพื่อไทยกับ “หัวโจก” คนเสื้อแดงที่เป็นตัวการเผาบ้านเผาเมืองล้วนเป็นพวกเดียวกัน ถึงขั้นที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์รักษาบ้านเมือง ขณะที่อีกฝ่ายเป็นคนเผาเมืองให้ชาวบ้านเลือกเอาเองว่าจะเลือกฝ่ายไหน
อย่างไรก็ดีก็ยังไม่มีผลอะไรตามมามากนัก ไม่มีแรงกระเพื่อมจนเกิดเป็นกระแสพลิกกลับจนผิดสังเกต ทุกอย่างก็ยังผิดไปจากเป้าหมายที่วางเอาไว้
กระทั่งล่าสุดเมื่อสามสี่วันที่ผ่านมาก็มี ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ออกมาเขย่าซ้ำด้วยการส่งสัญญาณเตือนว่ายอมไม่ได้ที่พวก “ขบวนการล้มเจ้า” เหิมเกริม ถึงขึ้นมีการระบุชื่อออกมาตรงๆเป็นครั้งแรกว่าพวกที่เคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวกำลังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ เช่น จักรภพ เพ็ญแข และ ใจส์ อึ้งภากรณ์ เป็นต้น รวมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนตั้งสติก่อนโหวต โดยเฉพาะอย่าเลือกพวกที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเข้ามา แม้ไม่ต้องบอกให้ชัดก็ย่อมรู้ดีว่าย่อมหมายถึงพวกแกนนำคนเสื้อแดงที่ต้องคดีก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมืองเข้ามา
ความหมายของคำพูดดังกล่าวของผู้บัญชาการทหารบกแม้ว่าไม่ได้บอกตรงๆว่าคนพวกนี้เกี่ยวข้องกับใคร แต่ถ้าพิจารณาย้อนดูอดีตที่ผ่านมาก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า มีการเคลื่อนไหวเป็นเนื้อเกี่ยวกันกับ ทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะ จักรภพ เพ็ญแข ที่เวลานี้กำลังหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ในต่างประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ยังเคยปรากฎตัวอยู่ในประเทศกัมพูชาพร้อมกับ ทักษิณ หลายครั้ง
หากพิจารณาจากคำพูดดังกล่าวหลายคนเข้าใจดีว่าต้องการสกัดกั้นพวก “ล้มเจ้า” โดยเตือนสติให้ชาวบ้านคิดให้ดีก่อนโหวตตัดสินใจให้ดีเสียก่อน ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่ไปกระทบกระเทือนถึงพรรคเพื่อไทยเข้าจังเบอร์ ขณะเดียวกันเหมือนกับการ “เลือกข้าง” ยังยืนอยู่กับ ประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่นเอง
อย่างไรก็ดีกลายเป็นว่ากลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยและ ทักษิณ ไม่ได้ออกมาตอบโต้ หรือโจมตีเข้าใส่ พล.อ.ประยุทธ์ มีแต่ประสานเสียงให้ความเห็นไปตามน้ำว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่ผู้บัญชาการทหารบกมีจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง และคงประเมินกันแล้วว่าคงไม่ส่งผลสะเทือนต่อผลการเลือกตั้ง อีกทั้งคำพูดดังกล่าวก็ไม่ได้พาดพิงมาถึงผู้สมัครของพรรคโดยตรง หากไปตอบโต้มันก็เหมือนกับการไปยอมรับเป็นพวกเดียวกัน และยังเป็นการต่อความยาวสาวความยืด อาจบานปลายไม่คาดฝัน สู้อยู่นิ่งเสียดีกว่า
เมื่อวิเคราะห์ดูจากบรรยากาศทางการเมืองในขณะนี้ ก็ต้องเห็นตามนั้น เพราะในเวลาต่อมา ทักษิณ ชินวัตร “นายใหญ่” ของพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ก็ได้ออกมาประกาศชัดเจนถึงกำหนดการเดินทางกลับเข้าประเทศในเดือน “ธันวาคม” นั่นก็หมายความว่า เขามั่นใจว่าทุกอย่างยังดำเนินการไปตามแผน พรรคเพื่อไทยต้องได้รับชัยชนะ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เป้าหมายเพื่อยึดกุมอำนาจรัฐให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันในเรื่องอื่นต่อไป ซึ่งทุกอย่างก็กำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
จากกระแสที่เป็นอยู่ แม้ว่าจะยก “โหวตโน” ไม่เลือกใครออกไป แล้วหันมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกครั้ง ดูแล้วยังไงก็ไม่มีทางชนะ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากผลงานกว่าสองปี หกเดือนที่เป็นรัฐบาล ที่มีแต่ความอ่อนแอ ไร้ภาวะผู้นำ ในรัฐบาลมีแต่เรื่องทุจริตอื้อฉาว และนอกจากนี้ที่ทำให้คนทั่วไปต้องคิดหนักฝืนใจไม่ลงก็คือ หาก อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เราก็จะต้องมี สุเทพ เทือกสุบรรณ และ เนวิน ชิดชอบเข้ามา บรรยากาศเดิมๆก็จะกลับมา หรือจะหนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ สรุปก็คือถึงเลือกเรา(ปชป.) เขา(ทักษิณ) ก็มาแน่ๆ ทำให้ต้องหันไป “โหวตโน” ไม่เลือกใครเสียดีกว่า เพราะนี่คือการถ่วงดุล ปฏิเสธสร้างความชอบธรรมให้กับ พรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองเลวๆทุกคน ไม่ให้ทำตามอำเภอใจ
ดังนั้น นาทีนี้หากพิจารณาสถานการณ์อย่างรู้ทัน ก็ต้องบอกว่าชาวบ้านไม่มีวันยอมจำนนและสนใจคำขู่ของพวกนักเลือกตั้งที่ไม่เคยเห็นหัวชาวบ้าน ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ และรักษาอำนาจเท่านั้น และไม่ว่า “เรา” หรือ “เขา” จะมา ก็ไม่ใครสนใจอยู่แล้ว !!