“ประพันธ์” เผย มีทหารหลายคนอึดอัดกับ ผบ.ทบ.อย่างยิ่ง เนื่องจากเอาศักดิ์ศรีกองทัพบกไปรับใช้นักการเมือง ทำกองทัพตกต่ำต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัย “อนุพงษ์” พร้อมฝาก “ประยุทธ์” ให้กลับตัว หากถลำลึกฝากอนาคตชีวิตไว้กับ “ปชป.-ประวิตร” ขอทำนายว่าระวังไม่มีแผ่นดินอยู่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย "นายประพันธ์ คูณมี"
วันนี้ (16 มิ.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 21.40 น.นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวปราศรัยบนเวที “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ว่า มีนายทหารหลายคนอึดอัดกับผู้บัญชาการกองทัพบกคนนี้อย่างยิ่ง และถือเป็นความล้มเหลวของกองทัพบก ที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาคราวนี้สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็หนักกว่าเดิม ด้วยเหตุผลเพราะ
1.ข้อเท็จจริงว่าการตั้งรัฐบาลคราวที่แล้วตั้งในค่ายทหาร โดย ผบ.ทบ.ในอดีต (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) ร่วมกับ รมว.กลาโหม (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และพรรคการเมือง นักการเมือง บางส่วน โดยไปบีบนักการเมืองให้แตกจากเพื่อไทยมาร่วมกับประชาธิปัตย์ สารภาพเองโดย นายชุมพล ศิลปอาชา และ นายเนวิน ชิดชอบ เมื่อก่อนเสื้อแดงพูดทหารใต้บังคับบัญชายังไม่เชื่อ นึกว่า นายโดนใส่ร้าย แต่พอนักการเมืองออกมาพูดเอง ก็ทำให้จำนนต่อหลักฐาน ที่ผ่านมา นายหลอกพวกเขา แล้วพอทันทีที่ปลดเกษียณก็ได้ไปทำงานร่วมกับพ่อค้านักธุรกิจ ไปทานข้าว ตีกอล์ฟ กับพ่อค้านักธุรกิจ เวลานี้กลายเป็นเสี่ยไปแล้ว ปล่อยให้ลูกน้องเผชิญชะตากรรมทั้งตอน 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม ทอดทิ้งไม่เหลียวแลลูกน้องเลย ทำให้ทหารส่วนใหญ่เห็นแล้วว่านายใช้กองทัพไปค้ำจุนบัลลังก์นักการเมืองและรับใช้ผลประโยชน์ของตัวเอง
2.ทหารสงสัยว่าผู้บังคับบัญชา ไม่ปกป้องแผ่นดิน ไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ 2 เรื่องนี้คาใจประชาชน และคาใจทหารหาญ โดยหาข้ออ้างบอกลูกน้องไปต่างๆนาๆ แต่ข้อเท็จจริงคือไม่ยอมสั่งให้ลูกน้องเอาแผ่นดินที่ถูกเขมรบุกรุกคืน ทำให้สงสัยว่านายเป็นอะไรไป ส่วนเรื่องสถาบันฯถูกคุกคาม ปรากฎว่าหนักหน่วงกว่าทุกสมัย และอยู่ในช่วงที่ผบ.ทบ. 2 คนนี้อยู่ในตำแหน่ง นี่คือสิ่งที่ทำให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาตั้งคำถาม และที่ให้สัมภาษณ์ไป ยังโทรไปสั่งลูกน้องให้พูดไปในแนวทางเดียวกันกับที่ตัวเองพูด แต่ลูกน้องก็ไม่ธรรมดา เขาก็มีคนให้คำแนะนำว่าอย่าไปพูดตามนาย ถ้าพูดตามเมื่อไหร่ก็ขุดหลุมฝังศพตัวเอง ทุกคนเห็นแล้วว่านายกำลังเพลิดเพลินกับผลประโยชน์ที่นักาการเมืองหยิบยื่นให้ ที่บอกว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวการเมืองอมพระร้อยโบสถ์มาพูดก็ไม่เชื่อ
3.วันนี้เขารู้แล้วว่านายออกมากระโดดโลดเต้นวันนี้ เพื่อดึงกองทัพไปค้ำจุนการเลือกตั้งเพื่อสนับสนุนพรรคบางพรรค ตรงนี้เขาไม่เอาด้วย ชัดเจนที่พูดแบบนั้นเท่ากับประกาศเอากองทัพไปเป็นเครื่องมือพรรคการเมือง
นายประพันธ์ ยังกล่าวอีกว่า ตนได้ข้อสรุปจากนักวิชาการที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องโหวตโน คือสังคมตอนนี้เริ่มมีปัญญาตรงกันว่าการเลือกตั้งคราวนี้มันเป็นการก่ออาชญากรรมทางการเมืองกับชาติโดยนักการเมืองและพรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงในขณะนี้ นักรัฐศาสตร์ถ้ารักชาติบ้านเมืองจะเห็นไปในแนวทางนี้ ไม่ว่าจะเป็น ศาสตราจารย์ ดร.จรัส สุวรรณมาลา ดร.เขียน ธีระวิทย์ ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
อย่างที่ อาจารย์พิชาย บอกว่า กระบวนการเลือกตั้งประเทศเรานั้นผิดกฎหาย และเป็นกระบวนการปล้นอำนาจประชาชนแท้ๆเลย เพราะไม่มีพรรคไหนไม่โกง ไม่ซื้อเสียง ไม่มีการจัดตั้งหัวคะแนน หรือถึงขั้นการฆ่ากัน บ้านเมืองเรามีการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการทำผิดกฎหมาย ไม่เรียกว่าก่ออาชญากรรมประเทศแล้วจะเรียกว่าอะไร
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า จึงมีคำถามว่าแล้วจะมีทางเลือกอย่างไร ตามที่อาจารย์เขียน เขียนไว้ว่ามี 3 ทาง คือ 1.ไปโหวตเยส ก็เท่ากับไปออกสิทธิบัตรรับรองการปล้นอำนาจประชาชนให้กับนัการเมือง 2.ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็จะเสียสิทธิ์ทางการเมือง 3.ไปโหวตโนจะเท่ากับไม่ไปออกสิทธิบัตรการปล้นอำนาจประชาชน ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่ทำได้ในขณะนี้
ส่วน ท่านยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ ก็เขียนไว้ดีมาก ชี้ให้เห็นว่าโหวตโน จะทำให้เราไม่ไปร่วมก่ออาชญากรรมประเทศคราวนี้ แต่เหตุผลอยู่ตรงนี้ คือ เวลานี้นักการเมือง พรรคการเมืองทั้งหมดที่อยู่ในกระบวนการเลือกตั้ง กระทำความผิดทางกฎหมาย แต่มันเป็นความผิดทางกฎหมายตั้งแต่หลังเลือกตั้งปี 50 พอยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมา ส.ส.แบบสัดส่วน 38 คน จะดำรงตำแหน่งส.ส.ต่อได้หรือไม่ เพราะส.ส.แบบสัดส่วนเป็นการเลือกพรรค เมื่อส.ส.ที่มาโดยระบบพรรคก็ย่อมสิ้นสุดสถานภาพไปด้วย แต่กกต.ไม่ทำเรื่องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เท่ากับเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อไม่ทำหน้าที่พวกนี้ก็ไปอยู่ในนามพรรคที่ตั้งขึ้นใหม่ ซึ่ง พรรคพวกนี้ประชาชนไม่เคยลงคะแนนเลือกตั้งให้มาก่อน แล้วทะลึ่งมี ส.ส.สัดส่วนได้อย่างไร
แล้วมันยังมีผลเชื่อมโยงมาว่า ส.ส.เหล่านี้กลับมายกมือโหวตรับรองให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ท่านยินดี มองว่า มันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ ส.ส.พวกนี้ไม่มีคุณสมบัติเป็น ส.ส.และไม่สามารถยกมือรับรองได้ และต่อมาได้แก้รัฐธรรมนูญก็ไม่มีความชอบธรรมในการแก้รัฐธรรมนูญด้วย การเอารัฐธรรมนูญที่แก้ไขนี้ มาใช้ในการเลือกตั้งคราวนี้ ก็น่าจะเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน
บรรดาพรรคการเมืองเหล่านี้ก็รู้ว่า ส.ส.พวกนี้ไม่มีฐานะโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังให้ผ่านการแก้กฎหมายสำคัญๆ การกระทำนี้ควรต้องเป็นการรับผิดร่วมกัน และท่านมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ นี่คือความคิดเห็นของนักกฎหมายระดับ อาจารย์ ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ถ้าหากมีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา ผลการเลือกตั้งคราวนี้ไม่สามารถบังคับให้ชอบด้วยกฎหมายด้วยซ้ำ ถ้าหากประชาชนโหวตเยส ก็เท่ากับไปร่วมรับรองการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของพรรคการเมือง และนักการเมืองดังที่กล่าวมา
สรุปคือ ถ้าไปโหวตโนจะเป็นยิ่งกว่ากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการ เพราะรัฐธรรมนูญเพิ่งบังคับใช้ การตีความยังไร้ทิศทาง หรืออาจแกล้งโง่หรือต้องการเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญ การโหวตโนไม่มีใครได้รับชัยชนะแต่จะเป็นชัยชนะของประชาชน หากมีโหวตโนเกิดขึ้นอย่างถล่มทลาย มีแต่โหวตโนเท่านั้นที่จะหยุดยั้งกระบวนการที่ผิดกฎหมาย และการเลือกตั้งที่จะเป็นโมฆะครั้งนี้ ได้
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า ขอกราบเรียนยืนยันว่า ที่เราวิจารณ์ใครก็ตาม เราวิจารณ์อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง วันนี้ทำไมพล.อ.ประยุทธ์ ต้องปิดปากตัวเอง เพราะรู้ว่าคำพูดตัวเองเปลือยกายตัวเองล่อนจ้อน ลูกน้องรู้ธาตุแท้หมดแล้ว ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับเนื้อกลับตัว
“วันนี้ท่านถลำลึก ถ้าเดินตามรอย พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประวิตร ชีวิตจะมีแต่ความอัปยศตลอดไป เชื่อประพันธ์เดินทางตรง เชื่อสนธิเดินตรงทาง เพราะฉะนั้นกลับเนื้อกลับตัว เชื่อพี่น้องประชาชนเดินทั้งทางตรงและตรงทาง แต่ถ้ายังงมงายฝากอนาคตชีวิตไว้กับพรรคการเมืองพรรคหนึ่งซึ่งไม่เคยมีความจริงใจต่อประชาชนเลย และฝากอนาคตชีวิตไว้กับนายคุณที่เอากองทัพไปหารับประทานเพื่อสร้างอำนาจให้ตัวเอง ผมไม่เคยเห็นทหารคนไหนมีอนาคตดีเลย ผมขอทำนายไว้ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่” นายประพันธ์ กล่าวปิดท้าย
คำต่อคำ
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องทางบ้านและที่รับชมอยู่ในต่างประเทศด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
พี่น้องครับ เมื่อสักครู่คุณสนธิพาดพิงถึงผมใช่มั้ยครับ แต่ก็ยืนยันว่าที่มาขึ้นเวทีทุกวันไม่ได้ต้องการเป็นพระเอก นางเอก ละครและภาพยนตร์น้ำเน่านะครับ การแต่งตัวด้วยความสุภาพก็เพราะเคารพพ่อแม่พี่น้องประชาชน และท่านผู้ชม ผู้ฟังทางบ้าน ด้วยจิตบริสุทธิ์ครับ เพราะเมื่อตอนเย็นผมได้ฟัง อ.พิชาย พูดถึงพฤติกรรมการหาเสียงทางการเมืองของนักการเมือง มันช่างไม่ต่างอะไรกับละครและภาพยนตร์น้ำเน่า ก็เป็นกระบวนท่า กลยุทธ์ และวิธีการในการที่จะเอาชนะใจประชาชนส่วนหนึ่งที่เขาคิดว่าประชาชนเหล่านั้นคงงมงายกับรูปแบบของภาพมายาที่พวกเขาจัดฉากและแสดงให้ประชาชนชม ทั้งเป็นการดูถูกประชาชนคนส่วนใหญ่ ซึ่งวันนี้คนส่วนใหญ่เขาเบื่อละครการเมืองน้ำเน่าแล้ว เพราะดูมาจนชินตาและสะอิดสะเอียนกับรูปแบบเดิมๆ ซ้ำซาก ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์เลย
วันนี้พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพี่น้องประชาชนที่ลุกขึ้นมาชุมนุมต่อสู้เพื่อปกป้องเอกราชอธิปไตย และเมื่อมีสถานการณ์เลือกตั้ง ก็ถือโอกาสเปิดมหาวิทยาลัยราชดำเนินนี้ เป็นโรงเรียนการเมือง มหาวิทยาลัยทางการเมือง ให้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศไปพร้อมๆ กัน
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ประเทศมีการเลือกตั้งมา ไม่เคยมีการเลือกตั้งครั้งใดที่มีการชุมนุมของประชาชนคู่ขนานไปกับการเลือกตั้ง และการชุมนุมทางการเมืองของพี่น้องประชาชนเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ แล้วยังมีการถ่ายทอดเสียง ถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ทั่วประเทศอีกด้วย ต้องนับได้ว่าการชุมนุมทางการเมืองของพวกเราที่มีอยู่ และตีคู่ขนานไปกับการที่จะมีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
ที่สำคัญคือ เวทีตรงนี้เป็นเวทีที่ให้ข้อมูลความรู้ ให้ปัญญากับพี่น้องประชาชนไทยทั้งประเทศ ว่าด้วยเรื่องการเมือง การเลือกตั้ง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย การใช้สิทธิ์ของพี่น้องประชาชน อย่างคนมีปัญญาเขาทำกันอย่างไร และจะมองปัญหาของชาติบ้านเมือง ควรจะมองอย่างไร ควบคู่ไปกับการหาเสียงน้ำเน่าของนักการเมือง พรรคการเมือง
ในขณะที่ฟรีทีวีช่องอื่นๆ เคยมีมั้ย ว่าฟรีทีวีของประเทศนี้ หรือของรัฐบาลนี้ ให้ปัญญากับประชาชนอย่างที่พวกเราทำอยู่ มีมั้ยครับ ไม่มีเลย มีแต่มอมเมาและให้อวิชชากับพี่น้องประชาชนตลอดเวลา แล้วประเทศนี้ประชาชนมันจะฉลาด เข้มแข็ง รู้เท่าทันนักการเมืองได้อย่างไร ถ้าท่านอยากเข้มแข็ง อยากยืนอยู่บนขาตัวเอง และรู้เท่าทันนักการเมือง มันต้องมาติดตามเวทีของพันธมิตรฯ และรับชม ASTV เท่านั้น อย่าไปเสียเวลาดูมันเลยช่องอื่นๆ ไร้สาระ พูดแต่ละเรื่องแต่ละอย่างเป็นอย่างไรนั้น พี่น้องก็รู้ดีอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นวันนี้ผมคิดว่าช่วงโค้งนี้เป็นโค้งที่กำลังเข้มข้น และเป็นโค้งที่กำลังมีสาระ ที่เรียกว่าข้นทีเดียว ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง โดยเฉพาะวันนี้ไปที่ไหนคนโทรมาหาผม เมื่อก่อนน้อยครับ ตอนที่เราขึ้นชุมนุมใหม่ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เราพูดถึงโหวตโนใหม่ๆ คนยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป เพราะเรายืนหยัดอยู่บนเหตุผลและหลักการที่ถูกต้อง และเราไม่หวั่นไหว เราก็เดินหน้าทำความจริง ให้ความรู้ ให้ปัญญากับพี่น้องประชาชน โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่เคยท้อแท้ ไม่เคยเสียใจกับคำเยาะเย้ยถากถางของคนบางคนที่มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ
เราไม่เคยหวั่นไหวกับเสียงเยาะเย้ย เย้ยหยัน ถากถาง ว่าจะไปได้สักกี่น้ำ ชุมนุมไปชุมนุมมา จากไล่เขมร ปกป้องแผ่นดิน ทำไมกลายมาเป็นโหวตโน วันนี้คนที่เคยไม่เข้าใจและตั้งคำถามต่างๆ ก็กลับกลายเป็นเรื่องดี ยิ่งเขามีคำถามมากเท่าไร เขาก็ยิ่งได้ความรู้ คำตอบ และได้ปัญญากลับไปมากเท่านั้น
ยิ่งเขาสงสัยเวทีนี้ เขาสงสัยพวกเรามากเท่าไร เรายิ่งมีเหตุผลที่จะตอบอย่างไม่รู้จบ ปัญญามาอย่างกับสายน้ำและกระแสธารที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะเราอยู่กับความจริง อยู่กับธรรมะ อยู่กับหลักการที่ถูกต้อง จึงอธิบายและตอบคำถามได้ทุกคำถามและทุกปัญหาที่ประชาชนข้องใจ
ผมจึงได้รับคำตอบ ได้รับโทรศัพท์มากมายว่า คุณประพันธ์ โหวตโนของคุณมาแรงนะ มาแรงจริงๆ ครับ คนพูดกันเยอะมาก และตั้งใจจะโหวตโนทั้งนั้นเลย แล้วก็ทำให้คนเขาได้เข้าใจว่ามันมีทางเลือก ทางออกของคนที่ไม่ยอมจำนนกับระบอบการเมืองที่สามานย์ น้ำเน่า อัปยศ โกงบ้านกินเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้
วันนี้ยิ่งมาเห็นกิจกรรมของพ่อแม่พี่น้องประชาชนของเราที่ออกไปวันนี้ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลย ทั้งเช้า แม่ทัพของเราบุกไปที่กองบัญชาการทหารบก เราไปประมาณพอดี ไม่มาก ไม่น้อย และเป็นการให้เกียรติ กระตุ้นเตือนจิตวิญญาณของทหารหาญให้ออกมาทำหน้าที่ปกป้องชาติบ้านเมือง ที่สำคัญต้องขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ช่วยเรียกแขกให้ครับ
ความจริงแล้ว เราก็กะจะไปประมาณวันนี้ล่ะ เพราะว่าวันที่ 17 เราจะไปที่ยูเนสโก ท่านก็อุตส่าห์มาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 ช่วยกรุณาเรียกให้แม่ทัพของเราทั้งหลายรวมพลกันได้โดยทันทีทันใด เราเตรียมไว้แล้ว มันมาได้จังหวะเวลาและได้บรรยากาศจริงๆ
เพราะฉะนั้นวันนี้ภาพที่พี่น้องไปที่ บก.ทบ.นั้น เผยแพร่ไปทั่วโลกแล้วครับ แล้วก็ต้องถือว่าท่านก็ได้เป็นคนสร้างประวัติศาสตร์หน้าแรกอีก เราสร้างประวัติศาสตร์และสร้างสถิติหลายเรื่องนะครับวันนี้ เมื่อกี้ผมก็พูดไปแล้วว่ามีการชุมนุมทางการเมืองครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อยู่คู่ขนานกับการเลือกตั้ง แล้วก็เป็นเวทีที่ให้ความรู้กับคนโดยถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ทั่วประเทศ นี่เป็นสถิติใหม่ทางการเมืองของประเทศ
สอง คุณสนธิพูดไปแล้วว่า เป็นการรณรงค์โหวตโนทางการเมืองครั้งแรกที่มีนัยสำคัญต่อการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นี่ก็เป็นสถิติใหม่ เป็นประวัติศาสตร์ใหม่ทางการเมือง ครั้งแรก โดยพวกเราเป็นคนทำครับ ประชาชนเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้
และเรื่องที่ 3 ที่ผมบอกว่าเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองเหมือนกัน กองทัพบก ตั้งแต่เขาตั้งโรงเรียนนายร้อยมา ผมจำไม่ได้ว่าจะร้อยกว่าปีแล้ว ร้อยกว่าปีมานี้ ยังไม่เคยมี ผบ.ทบ.คนใดที่มีแม่ทัพตัวจริงไปอบรมสั่งสอนถึง บก.ทบ. ไม่เคยมีผู้บัญชาการทหารบกคนใด ที่ต้องให้บรรดาแม่ทัพตัวจริงไปบอกว่าหน้าที่ของคุณในฐานะเป็นทหาร ควรทำอย่างไร นี่ก็เป็นหน้าแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ต้องชื่นชมพี่น้องพันธมิตรฯ ทำในสิ่งที่ไม่อาจจะคาดคิดได้ ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ ทำในสิ่งที่ดีงาม และเป็นคุณูปการกับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง
ขอยืนยันนะครับ มีนายทหารในระดับที่ไม่ใช่ ผบ.ทบ.ขอบคุณที่พี่น้องประชาชนมาบอกเช่นนี้ นายเขาจะได้รู้สำนึกเสียบ้าง ผมยืนยันครับ ไม่ได้นั่งเทียนครับ นายทหารหาญหลายคนอึดอัดกับผู้บังคับบัญชาผู้นี้อย่างยิ่งครับ และก็ถือเป็นความล้มเหลวของกองทัพบกที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่อเนื่องกันมา ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่มี ผบ.ทบ.ชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กองทัพบกก็ทรุดตกต่ำมาตั้งแต่คราวที่แล้ว
มาคราวนี้เปลี่ยนเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยิ่งหนักกว่าเดิม ยังฟื้นไม่ขึ้นในขณะนี้ เหตุที่ตกต่ำมีอยู่ 3 ประการ ตกต่ำมาก หนึ่งก็คือ ข้อเท็จจริงว่าการตั้งรัฐบาลคราวที่แล้ว ตั้งอยู่ในค่ายทหาร แล้วเป็นการไปบีบนักการเมืองให้แตกคอกออกมาจากพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นความจริงที่รับสารภาพกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วครับ ว่าทหาร โดย ผบ.ทบ.ในอดีต ร่วมมือกับคนที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมในปัจจุบันนี้ และพรรคการเมือง นักการเมืองบางส่วน ไปอุ้มและไปบีบบังคับพรรคการเมืองต่างๆ มา เรื่องนี้คนที่สารภาพคือชุมพล ศิลปอาชา เนวิน เมื่อก่อนไอ้พวกเสื้อแดงมันพูด เขาไม่เชื่อ ทหารก็ยังไม่เชื่อ ฟังหูไว้หู เพราะไอ้พวกเสื้อแดงมันชอบทำโรงงานน้ำแข็ง โดยเฉพาะแกนนำ ซึ่งตอนนี้ก็ไปสงบสติอารมณ์อยู่ที่บางเขน ลาดยาว ชอบขายน้ำแข็ง เขาก็เลยไม่เชื่อ ทหารก็ยังไม่เชื่อ นึกว่านายเขาถูกใส่ร้าย ตอนนายแอบไปตั้งรัฐบาล นายไม่บอกลูกน้องไงครับ แล้วเวลาบอกลูกน้องก็บอก เฮ้ย อย่าไปเชื่อ อย่าไปฟัง ASTV ไอ้นี่มันใส่ร้าย พยายามจะแก้ตัว เพราะลูกน้องชักจะตั้งข้อสงสัย นายทำไมเอากองทัพบกไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง นี่คือคำถามที่นายตอบไม่ได้
นายเอาเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของกองทัพไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองทำไม ไปรับใช้พรรคการเมือง นักการเมืองทำไม นี่คือคำถามที่ตอบไม่ได้ ตอนแรกก็ปฏิเสธได้ กลบเกลื่อนไปได้ ไม่จริงอย่างนั้น ไอ้พวกโรงน้ำแข็งมันใส่ร้าย ปั้นน้ำเป็นตัว ก็ว่ากันไป แต่พอนักการเมืองออกมาพูดเอง วันนี้จำนนต่อหลักฐาน เฮ้ย ที่ผ่านมานายต้มกูนี่หว่า หลอกกูนี่หว่า เขาคิดเป็นแล้ว แสดงว่านายแอบไปทำอะไรบางอย่าง แล้วอย่างนี้ล่ะครับ ทันทีที่ปลดเกษียณไป ผมถึงเห็น ไปทำงานร่วมกับพ่อค้า นักธุรกิจ และไปทานข้าว ตีกอล์ฟ คบค้าสมาคมกับพ่อค้า นักธุรกิจ เวลานี้ท่านเป็นเสี่ยไปแล้วครับ ปล่อยให้ลูกน้องเผชิญปัญหา ทั้ง 10 เมษาฯ ทั้ง 19 พฤษภาฯ ทอดทิ้ง ไม่เหลียวแลเขาเลยจนกระทั่งทุกวันนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงอันนี้มันถูกเปิดเผยออกมาว่ามีการทำอย่างนั้นจริงๆ ทำให้ทหารส่วนใหญ่เริ่มมองเห็นแล้วว่า นายใช้กองทัพไปเป็นฐานค้ำจุนบัลลังก์อำนาจของนักการเมือง และรับใช้ผลประโยชน์ของตัวเอง นี่ประการที่ 1
ประการที่ 2 เรื่องที่ผ่านมาที่ทำให้เกียรติภูมิของทหารตกต่ำ 2 เรื่องใหญ่ ที่ทหารก็สงสัยอยู่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับนาย กับผู้บังคับบัญชาของเขา คือเรื่องไม่ปกป้องแผ่นดิน ไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ สองเรื่องนี้เป็นคำถามที่คาใจประชาชน และคาใจทหารหาญ
พฤติกรรมของท่านหาข้ออ้าง ข้อแก้ตัว บอกลูกน้องไปต่างๆ นานา แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ทหารกัมพูชา คนกัมพูชา บุกรุกเข้ามายึดครองแผ่นดินไทยโดยไม่มีคำสั่งให้เขาปฏิบัติการเพื่อเอาแผ่นดินคืน เขาสงสัยว่านายกูเป็นอะไรไปแล้ว นี่คือเรื่องใหญ่นะครับ
แล้วเรื่องที่ 2 ที่ออกมาพูดว่าตัวเองปกป้องสถาบันอย่างนั้น อย่างนี้ ปรากฏว่า เรื่องสถาบันถูกคุกคาม ละเมิด และอยู่ในภาวะอันตรายนั้น มันหนักหน่วงกว่าทุกยุคทุกสมัย และอยู่ในช่วงเวลาที่ ผบ.ทบ.2 คนนี้ และรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ และนายสุเทพ เป็นรองนายกฯ เป็นเวลาที่ขบวนการเสื้อแดง ขบวนการล้มเจ้า และการจาบจ้วงสถาบันลุกลามไปทั่วประเทศ
นี่คือสิ่งที่ทำให้คนที่อยู่ใต้ลงไปเขาเริ่มคิดและตั้งคำถาม และอย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ที่เขาให้สัมภาษณ์ไปแล้ว ยังอุตส่าห์โทรไปสั่งลูกน้องด้วยว่า ให้พูดไปในทำนองเดียวกับที่ตัวเองพูด แต่ลูกน้องก็ไม่ใช่ธรรมดาครับ ระดับรอง ระดับ ผบ. แม่ทัพทั้งหลาย เขาบอก เขาก็มีเพื่อนรัก มีคนที่ให้ความรู้ มีคนให้ข้อมูล มีคนให้ข้อแนะนำที่ดีกับเขา บอกว่าคุณอย่าไปพูดตามนาย ถ้าคุณพูดตามนายเมื่อไรก็ขุดหลุมฝังศพตัวเองแล้วกัน เท่ากับฆ่าตัวเอง เท่ากับพ่นน้ำลายขึ้นฟ้าใส่หน้าตัวเอง เท่ากับทำลายเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีตัวเอง รักษาเนื้อรักษาตัวไว้เถอะ วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะได้เป็นใหญ่เพราะนายคุณอาจจะอยู่ไม่นาน ประชาชนจะพึ่งได้ สถาบันจะพึ่งได้ และชาติจะได้พึ่งคุณได้
เพราะวันนี้ทุกคนเห็นแล้วว่านายกำลังเพลิดเพลิน สนุกสนานอยู่กับผลประโยชน์ที่นักการเมืองหยิบยื่นให้ จะมาอ้างว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวการเมือง อมพระ 100 โบสถ์มาพูดเขาก็ไม่เชื่อ
นี่คือเหตุผลประการที่ 2 ที่ทำให้เขาเริ่มอยู่ในสถานะที่สูญเสียการนำ สูญเสียเครดิตการนำในสายตาของลูกน้อง
เรื่องที่ 3 นี่เรื่องใหญ่ ก็คือวันนี้เขารู้แล้วว่านายออกมากระโดดโลดเต้นวันนี้เพื่อจะดึงเอากองทัพไปค้ำจุนการเมือง การเลือกตั้ง เพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค ตรงนี้เขาไม่เอาด้วย ชัดเจนว่าทำไมต้องออกมาพูดแบบนั้น ถ้าพูดแบบนี้มันก็เท่าประกาศเอากองทัพไปเป็นเครื่องมือกับนักการเมือง พรรคการเมือง ซึ่งมันเสียหายมาแล้วตั้งแต่ครั้งที่มีการตั้งรัฐบาล ยังจะไปช่วยลาก ถูลู่ถูกังมัน ช่วยมันในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งอีกหรือ จะพากองทัพไปวิบัติ หายนะอีกหรือ
เพราะฉะนั้นที่เราโหวตโน และวันนี้พาพี่น้องไปเยี่ยมเขาที่ บก.ทบ.นั้น เขาดีใจครับ เขาจะได้มีเหตุผล ข้ออ้าง ทางเลือก ทางออก ที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับระบอบนี้ ฉะนั้นวันนี้กิจกรรมของพี่น้องก็เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เลย ไม่เคยมีใครทำ แล้วพี่น้องยังไม่พอ พี่น้องยังไปเดินที่วงเวียนแถวเยาวราช ได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างมากมาย แถมวันนี้คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรเรายังแถลงข่าว อุตร้าแมนก็มาร่วมรณรงค์โหวตโนด้วย อันนี้ทำให้เราได้ใจวัยรุ่นขึ้นมาอีกเยอะเลยครับ มีแนวร่วมใหม่ๆ เข้ามาร่วมรณรงค์โหวตโนมากมาย และทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าใจเหตุและผลว่าทำไมจึงต้องไม่ประสงค์ลงคะแนน เพราะนักการเมืองทุกคน ทุกพรรค มันเชื่อถือไม่ได้ เลือกไม่ได้เลย
โลกวันนี้มันเป็นโลกอินเตอร์เน็ต เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ก การติดต่อสื่อสารถึงกันมันรวดเร็ว เวทีนี้เสวนาวิชาการ นำบทความของอาจารย์คนโน้นคนนี้มาออก เวลานี้เด็กเขาอ่าน เขาก็จะได้เหตุผลว่าทำไมจึงต้องโหวตโนและไม่ประสงค์ลงคะแนน
ผมได้ข้อสรุปจากฟังจากนักวิชาการแล้ว ตรงกันหมดครับขณะนี้กระแสสังคมเวลานี้เริ่มมีปัญญาตรงกันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มันคือการก่ออาชญากรรมทางการเมืองกับชาติ มันคือการก่ออาชญากรรมทางการเมืองกับคนในชาติโดยพรรคและนักการเมืองที่กำลังรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอยู่ในขณะนี้
พี่น้องฟังหรือยัง เห็นมั้ยครับ นักรัฐศาสตร์ ถ้าเขาเป็นคนที่รักชาติบ้านเมือง รักหลักการปกครองที่ดีงาม ที่ถูกต้อง และซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติ ต่อประชาชน เขาออกมาพูด มันฟังแล้วเป็นเหตุเป็นผล ไม่ว่าท่าน ศ.จำรัส สุวรรณเวลา ศ.ดร.เขียน ธีรวิทย์ คุณพิชาย รัตนดิลก ส่วนบรรดานักรัฐศาสตร์พวกหน่อมแน้ม ประเภทเชลียร์แข้งเลียขานักการเมืองนั้น มันให้แต่อวิชชากับประชาชน ไม่กล้าออกมาพูดความจริง
เพราะฉะนั้นความจริงวันนี้ พี่น้องไทยทั่วประเทศจงฟังว่าการเลือกตั้งมันคือการฆาตกรรมประเทศตัวเองแท้ๆ มันไม่ใช่ทางเลือกทางออกให้กับชาติบ้านเมืองเลย มันก็คือการก่ออาชญากรรมที่เรียกว่า ลักวิ่งชิงปล้น นั่นเองครับ และกระทำผิดกฎหมายทั้งนั้น
ท่านฟัง อ.พิชาย ไปแล้วตอนเย็น ฟังบทความของ อ.เขียน แล้วจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ากระบวนการเลือกตั้งของประเทศเรานั้น มันเป็นกระบวนการที่ผิดกฎหมาย และเป็นกระบวนการที่ปล้นอำนาจของประชาชนแท้ๆ
เพราะจากข้อมูลทั้งหมด พี่น้องรู้อยู่แล้ว ไม่มีพรรคไหน ไม่โกง ไม่มีพรรคไหนไม่ซื้อเสียง ไม่มีพรรคไหนไม่ใช้ระบบแจก ที่ อ.พิชาย บอกว่า ส.ส.แบบซูเปอร์มาร์เก็ต ใช้เงินแจก ซื้อเสียง เลี้ยงดูปูเสื่อ ไม่มีพรรคไหนที่ไม่มีระบบจัดตั้งหัวคะแนนและใช้เงินเป็นตัวหล่อเลี้ยงเครือข่ายหัวคะแนนทั้งนั้น ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากโกง ซื้อเสียง ใช้เงินเลี้ยงเครือข่ายหัวคะแนนแล้ว ถ้ากลัวว่าตัวเองจะแพ้การเลือกตั้ง มันก็ใช้การฆ่าคู่แข่ง วันนี้มันยิงกันตายกลางวันแสกๆ ที่กรุงเทพมหานคร ใกล้ๆ ที่ชุมนุม แถววัดชนะสงครามนี่เองครับ
บ้านเมืองเรามีการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการทำผิดกฎหมาย การทุจริต การคดโกง การซื้อเสียง การฆ่า ปล้น ทำร้ายทำลายกัน ทำผิดกฎหมายทุกวิถีทาง เพียงเพื่อให้ได้เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้ง และให้เข้ามาสู่อำนาจ ได้จัดตั้งรัฐบาล ไม่เรียกว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อประเทศแล้วจะเรียกว่าอะไรครับ
ส่วน กกต.นั้น ไม่ต้องไปพึ่งเลย เพราะปีนี้เพิ่มงบประมาณเป็น 400 ล้านบาท สำหรับติดตามสืบสวนสอบสวนการกระทำความผิดกฎหมายและการเลือกตั้ง จากปีที่แล้วมีงบประมาณไม่ถึง 100 ล้าน ในงบประมาณที่จัดการเลือกตั้ง 3,800 ล้าน ปีนี้จัดให้เฉพาะหน่วยสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง จัดงบประมาณไปให้ 400 ล้านบาท อยู่ในความดูแลของ กกต.ชื่อ สมชัย จึงประเสริฐ
เพิ่มมากกว่าปีที่แล้วถึง 4 เท่า แต่ปรากฏผลงานไม่มีอะไรเลย นอกจากบอกว่า ป้ายนี้ถ้ามันใหญ่เกินไปก็ให้รื้อได้ ถ้ามันมีจำนวนผิดกฎหมาย ก็ให้รื้อได้ นี่ผลงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนครับ
ไม่เคยจับโกง ไม่เคยจับทุจริต ไม่เคยให้ใบเหลือง-ใบแดงก่อนเลือกตั้งได้เลย มุดหัวอยู่แต่ในถ้ำ อยู่ในรู ไม่กล้าออกไป นักการเมืองที่เลือกตั้งมันมีนักเลง มีซุ้มมือปืน มีตำรวจ มีทหารรับจ๊อบ มีอันธพาล มาเฟียรับจ๊อบ มันก็ทำงานกันสนุกสนานครื้นเครง ฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็กอดเงิน 400 ล้าน ไม่รู้ว่าถึงเวลาจะแต่งบัญชีว่า 400 ล้านเอาไปใช้จ่ายอะไรบ้าง
นี่คือความอัปยศของการเลือกตั้งประเทศไทย เพราะฉะนั้นที่นักการเมือง นักวิชาการ เขาพูดถึงการเลือกตั้งครั้งนี้มันคือการปล้นประเทศนั้น เป็นความจริงแล้ว จึงมีคำถามว่าเราจะมีทางเลือกอย่างไร อย่างที่ อ.เขียน ถามนั่นล่ะครับว่า คุณมีทางเลือกอยู่ 3 ทาง 1. คือไปโหวตเยส หรือไปเลือกตั้งพรรคใดพรรคหนึ่ง ซึ่งถ้าไปแบบนี้มันก็เท่ากับคุณไปออกสิทธิบัตรรับรองการปล้นอำนาจของประชาชนให้กับพรรคและนักการเมือง ใช่มั้ยครับ
2. คุณเบื่อ คุณไม่ไปเลือกตั้ง นอนหลับทับสิทธิ์ มันก็จะเสียสิทธิ์ทางการเมืองของคุณ ถ้าเบื่อก็ไม่ไป 3. คือ คุณไปโหวตโน ไปกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใคร ไม่ยอมรับกระบวนการเลือกตั้งนี้ ไม่ยอมออกสิทธิบัตรรับรองการปล้นอำนาจ ปล้นประเทศของนักการเมืองให้เข้าสู่อำนาจ อันนี้น่าจะเป็นทางเลือกทางออกที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ในขณะนี้
เห็นมั้ยครับทุกคนพูดตรงกันหมดแล้วตอนนี้ สังคมเริ่มคิดได้แล้ว ผมจึงคิดว่านี่เป็นทางเลือกทางออกที่ดี
ส่วนท่าน อ.ยินดี ต่อสุวรรณ ท่านก็เขียนบทความไว้ดีมาก ท่านชี้ให้เห็นว่า โหวตโนก็จะช่วยสถานการณ์การเมืองของประเทศ ไม่ให้เราตกเป็นผู้ร่วมในการกระทำผิด ในการก่ออาชญากรรมทางการเมืองกับประเทศในครั้งนี้ได้ ถ้าเราไปโหวตโนในครั้งนี้ ถ้าอ่านตามบทความของท่าน อ.ยินดี
แต่เหตุผลของท่าน อ.ยินดี นั้นอยู่ตรงนี้ครับ ท่านบอกว่าเวลานี้ นักการเมือง พรรคการเมือง ทั้งหมดที่กำลังอยู่ในกระบวนการเลือกตั้ง กระทำความผิดทางกฎหมาย แต่มันเป็นความผิดทางกฎหมายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อตอนที่ หลังจากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 50 แล้ว ได้รัฐบาลสมชาย-สมัคร ขึ้นมาเป็นนายกฯ พอพรรคนี้ถูกยุบ คือพรรคพลังประชาชน กับพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาฯ มันจึงมีปัญหาว่า ส.ส.ที่เป็น ส.ส.แบบสัดส่วน จำนวน 38 คนของพรรคเหล่านี้ จะยังคงดำรงสถานะเป็น ส.ส.อยู่ต่อไปได้หรือไม่ แตกต่างจาก ส.ส.เขต เพราะ ส.ส.เขตนั้นมันเลือกโดยตรงมาจากประชาชนให้ไปโหวต ไปลงคะแนน แต่ถ้าเป็น ส.ส.ประเภทบัญชีรายชื่อ หรือสัดส่วนนั้น มันเป็นการเลือกพรรค ท่านมองว่าเมื่อพรรคมันโดนยุบแล้ว ส.ส.ที่มาโดยระบบพรรค มันก็ควรจะต้องสิ้นสุดไปด้วย ตามผลของกฎหมาย
แต่ปัญหาก็คือ กกต.ไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ ว่าความเป็น ส.ส.ของบรรดา ส.ส.สัดส่วนเหล่านั้นสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญท่านก็บอกว่า คนที่จะวินิจฉัยความเป็น ส.ส.ของ ส.ส.สัดส่วน จำนวน 30 กว่าเสียงนั้น ต้องเป็นศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ กกต.ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลตรวจสอบ เป็นผู้มีหน้าที่ทำเรื่องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย กกต.ไม่มีอำนาจวินิจฉัยเอง แต่ กกต.ก็ไม่ได้ทำหน้าที่นี้ มันเท่ากับเป็นการละเว้น ละเลยการปฏิบัติหน้าที่
ปรากฏว่าเมื่อไม่ทำหน้าที่นี้ บรรดาพวกที่หมดสภาพจากพรรคที่ถูกยุบก็กลายเป็นไปอยู่ในนามของพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรครวมชาติพัฒนา ไปนู่นเลย พรรคใหม่หมดเลย ซึ่ง 3 พรรคนั้นเป็นพรรคที่ประชาชนไม่เคยไปลงคะแนนเลือกตั้งในนามบัญชีพรรคมาก่อนเลย แล้วทะลึ่งมี ส.ส.สัดส่วนขึ้นมาได้อย่างไร นี่คือประเด็นทางกฎหมาย แต่ประเด็นทางกฎหมายมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ได้หยุดอยู่ที่ความไม่ชอบธรรมขณะนั้น มันก็มีผลเชื่อมโยงมาถึงว่าการที่ ส.ส.เหล่านี้ ซึ่งควรจะสิ้นสุดสภาพไปแล้ว จากการที่ถูกยุบพรรค กลับมายกมือโหวตรับรองนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี การโหวตรับรองเลือกให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีในคราวนั้น ท่านมองว่ามันก็เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะบรรดา ส.ส.พวกนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็น ส.ส.และยกมือรับรองได้
แล้วยิ่งมาแก้รัฐธรรมนูญ ต่อมา ในมาตรา 93 , 94 , 95 , 96 , 97 และมาตรา 190 ที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บรรดา ส.ส.พวกนี้ที่ไปยกมือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ด้วย การนำรัฐธรรมนูญที่มาแก้ไขและนำมาใช้เพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยเช่นเดียวกัน
บรรดาพรรคการเมืองเหล่านี้ที่อยู่ในสภาก็รู้อยู่แล้วว่าบรรดา ส.ส.เหล่านี้ไม่มีฐษนะโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังรับรองให้มีการประชุม มีการผ่านกฎหมายสำคัญของประเทศชาติ การกระทำนี้จึงควรจะเป็นความรับผิดร่วมกัน การที่นำกฎหมายที่แก้ไขมาโดยไม่ชอบ การยุบสภาโดยไม่ชอบของนายอภิสิทธิ์ และนำมาสู่การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ ท่านมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ
นี่นักกฎหมายระดับท่าน อ.ยินดี วัชรพงษ์ ต่อสุวรรณ ให้มุมมองทางกฎหมายที่ดีมาก ถ้าหากมีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ก็จะไม่สามารถบังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมายด้วยซ้ำ นี่คือมุมมองของท่าน
เพราะฉะนั้นถ้าหากพี่น้องประชาชนไปลงคะแนนเลือกตั้ง และไปเข้าร่วมโหวตเยส รับรองการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เท่ากับเราไปร่วมรับรองการกระทำที่ไม่ชอบและผิดกฎหมายของบรรดานักการเมืองและพรรคการเมือง ดังที่ผมได้กราบเรียนพี่น้องนั่นล่ะครับ
จึงกล่าวโดยสรุปว่า ถ้าพี่น้องประชาชนไปโหวตโน โหวตโนนั้นจะเป็นยิ่งกว่ากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดความรู้ความเข้าใจ คาดคิดไม่ถึง เพราะรัฐธรรมนูญเพิ่งออกบังคับใช้ การตีความรัฐธรรมนูญไร้ทิศทาง ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ หรืออาจแกล้งโง่กับการใช้รัฐธรรมนูญ หรือต้องการเหยียบย่ำการใช้รัฐธรรมนูญ หรืออาจเกิดขึ้นด้วยความบกพร่องโดยสุจริตกับการใช้บังคับรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ท่านบอกว่าโหวตโนจะสามารถแก้ไขปัญหาในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยผิดพลาด หรือหลงผิด หรือบกพร่องโดยสุจริตได้ โหวตโนไม่มีใครได้รับชัยชนะ แต่จะเป็นชัยชนะของประชาชน ที่จะต้องมาร่วมกันแก้ปัญหาให้การเลือกตั้ง ซึ่งต้องมีวินัย มีคุณธรรม จริยธรรม บนพื้นฐานแห่งนิติรัฐ นิติธรรม เพื่อนำชาติไปสู่ความสงบสุขและสันติสุขด้วยกันทุกฝ่าย หากมีโหวตโนเกิดขึ้นอย่างถล่มทลาย
นั่นคือถ้าการโหวตโนมาก ก็จะสามารถหักล้าง ล้มล้างการเลือกตั้งที่ไม่ชอบนี้ด้วย และยังสามารถแก้ปัญหาการกระทำที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้น อาจจะโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยคาดคิดไม่ถึง โดยการตีความรัฐธรรมนูญผิดๆ ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือ กกต. หรือการเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่ กกต. มีแต่เพียงโหวตโนเท่านั้นที่จะหยุดยั้งกระบวนการที่กำลังเดินหน้าไปโดยผิดกฎหมาย และจะเป็นโมฆะได้ เพราะฉะนั้นโหวตโนของเรายังช่วยชาติบ้านเมืองไม่ให้การเลือกตั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่อัปยศ และนำไปสู่การตั้งต้นกันใหม่ได้ด้วย
เห็นมั้ยครับ ในมุมมองของนักกฎหมายยังมองถึงคุณภาพ ศักยภาพ และความดีงามของการโหวตโนไว้ในมุมมองที่ต่างกัน และในมุมมองของนักรัฐศาสตร์ก็มีมุมมองในลักษณะที่จะสร้างคุณูปการต่อการเมือง ต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้การรณรงค์ใช้สิทธิ์โดยไม่ประสงค์ลงคะแนนของพี่น้องประชาชนนั้น ถือว่าเป็นการสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้กับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเป็นการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นการหยุดระบอบการเมืองสามานย์ที่อัปยศนี้ ด้วยมือของพี่น้องเอง
เป็นการหยุดอำนาจของพรรคและนักการเมืองที่จะเข้ามาปล้นชิงอำนาจของพี่น้องประชาชน
วันนี้มีท่านผู้หนึ่งส่งมา ผมคิดว่ามันตรงกับสิ่งที่เราพูดด้วย ผมก็เลยขอแถมให้ ท่านเขียนเป็นบทกลอนมาสั้นๆ บอกว่า
นักการเมือง ยอดเลว ชาติเหลวแหลก
นักการเมือง ตาแหก กลัวเขมร
นักการเมือง ชาติชั่ว กลัวฮุน เซน
นักการเมือง เหลือเดน เวรกรรมไทย
นักการเมือง โลภมาก กากเดนชั่ว
นักการเมือง ซี้ซั้ว มั่วเงื่อนไข
นักการเมือง ใจเปรต ขายประเทศไทย
นักการเมือง จัญไร จุดไฟเผาเมือง
นักการเมือง หน้าลิง มันกลิ้งกลอก
นักการเมือง ใช้เงินหลอก ซื้อเสียงได้
นักการเมือง กลัวคนดี ที่เป็นไทย
นักการเมือง ซื้อไม่ได้ คือคนพันธมิตรฯ
นักการเมือง ดีดี มีหรือเปล่า (ช่วยบ่อยหน่อยท่าน พล.ประยุทธ์)
นักการเมือง ดีมัน ดีอย่างไร (ดีแบบไหน คนไหนดีในประเทศนี้ นักการเมืองพรรคไหน คนไหนดี ที่ท่านมาสาธยายว่าต้องเป็นคนพูดจาสุภาพ มีการศึกษาดี มีมารยาท ไม่ก้าวร้าว เคารพกฎหมาย คุณจะเชียร์นายอภิสิทธิ์ก็บอกไปเถอะครับ เขารู้แล้ว มันไม่เนียน พูดแค่นี้เขาก็รู้แล้ว และที่คุณคิดว่าเขาดีคุณไปอ่าน 33 ความเลวที่ผมเขียนไว้สิ จะได้รู้ว่ามันดีจริงหรือเปล่า แล้วคุณไปดู 30 ความล้มเหลวในการบริหารชาติสิ การดูนักการเมืองดี เขาดูที่มีภาวะความเป็นผู้นำหรือไม่ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ กล้าต่อสู้กับความไม่ถูกต้องหรือไม่ กล้าต่อสู้ กล้าทำงานให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ปกป้องผลประโยชน์ชาติ ประชาชน จริงหรือไม่ แก้ไขปัญหาวิกฤต สถานการณ์บ้านเมืองได้ ด้วยความชาญฉลาด พาชาติก้าวเดินไปข้างหน้าได้หรือไม่ ไม่ใช่ไปดูชาติตระกูล ดูการแต่งตัวหล่อๆ ดูคำพูดหวานๆ แต่ตอแหลครับ
คุณดูไม่เป็น เหมือนพวกผมเนี่ย ถ้าจะดูทหาร ดูนักรบ ชายชาติทหาร ตอนแรกผมก็นึกว่าท่านคงจะใช่ เพราะแต่งเครื่องแบบ มียศฐาบรรดาศักดิ์ ดูแล้วโก้ เท่ห์ แต่พอดูกึ๋น ดูความคิด ดูคำพูด ดูการแสดงออก ดูการปฏิบัติ เฮ้ยมันไม่ใช่นี่หว่า
เพราะฉะนั้นเวลาคุณจะดูอะไรต้องเอาปัญญาของประชาชนไปดู ประชาชนทั้งประเทศเขาดูหมดแล้ว มันไม่มีนักการเมืองคนไหนดีที่ประชาชนจะพึ่งได้เลยในขณะนี้ ไม่ใช่เอาที่ตัวเองได้ประโยชน์แล้วไปบอกว่าดี ต่อนะครับ
นักการเมือง ดีดี มีหรือเปล่า
นักการเมือง หน้าเก่า ดีตรงไหน
นักการเมือง ที่เลวมาก ลากหนีไป
ประชาชน โละล้างได้ ใช้โหวตโน
ไม่เคยขาย แผ่นดิน ถิ่นของตน
นักการเมือง หน้าดำ ต้มยำประเทศ
นักการเมือง ใจเปรต หิวกระหาย
นักการเมือง เห็นแก่ตัว กันทั่วไทย
เลือกทำไม ต้องลงโทษ ไปโหวตโน
วันนี้ปัญญาของประชาชนมันตกผลึกแล้ว มันมองทะลุเห็นทั้งไส้ทั้งพุง ขี้กี่ขดของนักการเมืองรู้หมดแล้ว แต่ละคนมาลีลา กระบวนท่าไหน หลอกพวกเราไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าหน้าเหลี่ยม หน้าหล่อ หลอกกินไม่ได้แล้ว ไม่ว่าหน้าสวยก็หลอกกินไม่ได้แล้ว เราไม่เอาทั้งนั้น เราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ และเราจะไม่ยอมจำนนต่อระบอบการเมืองนี้อีกต่อไป
สุดท้ายครับ ขอกราบเรียนยืนยันว่า ที่พวกเราวิพากษ์วิจารณ์ใครก็ตามนั้น เราวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานและข้อมูลข้อเท็จจริง เป็นที่ยืนยันแน่นอนว่าวันนี้ทำไมต้องปิดปากตัวเอง เพราะรู้แล้วว่าคำพูดของตัวเองมันเปลือยกายตัวเองล่อนจ้อนครับ และทำให้ลูกน้องรู้ธาตุแท้ตัวเองหมดแล้ว คุณไม่มีทางเลือก นอกจากคุณจะกลับเนื้อกลับตัว อยากจะบอกว่า วันนี้คุณถลำลึก ถ้าคุณเดินตามรอยของ พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ ชีวิตคุณจะมีแต่ความอัปยศตลอดไปครับ เชื่อประพันธ์ เดินทางตรง เชื่อสนธิ เดินตรงทางครับ
เพราะฉะนั้น ประยุทธ์ครับ กลับเนื้อกลัวตัวเถอะครับ เชื่อพี่น้องประชาชน เชื่อประพันธ์น่ะ เดินตรงทาง เชื่อสนธิก็เดินทางตรง เชื่อพี่น้องประชาชน เดินทั้งตรงทางและทางตรงเลยครับ แต่ถ้ายังงมงายและฝากอนาคตชีวิตไว้อยู่กับพรรคการเมืองพรรคหนึ่งซึ่งไม่เคยมีความจริงใจกับพี่น้องประชาชนเลย และก็ฝากอนาคตชีวิตไว้กับนายคุณที่เอากองทัพไปหาแดก (เมื่อมันหลุดไปแล้วก็ถอนแล้วกัน) หารับประทาน เพราะ พล.ต.จำลอง ท่านไม่ชอบก็ต้องขออภัยครับ ที่เอากองทัพไปแอบอ้างและหารับประทานเพื่อสร้างอำนาจให้กับตัวเองนั้น ผมไม่เคยมีทหารคนไหนมีอนาคตดีเลย ให้ผมทำนายไว้นะ ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ