xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ศึก “ซุกหุ้น” ภาค 3 ตอน “แก้วสรร-หมอตุลย์” ขย่ม “ปูแดง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เชื่อได้ว่า การออกมาเคลื่อนไหว “ขย่มปูแดง” ของ “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ" (คนท.) ที่นำโดย "แก้วสรร อติโพธิ" นักวิชาการและอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน และ "นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์" แกนนำเครือข่ายคนเสื้อหลากสี ที่เคลื่อนไหวให้ประชาชนร่วมลงชื่อยื่นกล่าวโทษ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อหยุดการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้ "ทักษิณ ชินวัตร" ในคดีซุกหุ้น, นั้นเป็นการออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งๆ ที่นายแก้วสรรเป็นผู้กล่าวประโยคที่ว่า "หน้าข้าว หน้าเหล้า นักเลงเขาไม่ทำกัน" แต่เพียงหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ไฉนนักเลง “แก้วสรร" ถึงทำกันอย่างนี้ ดังนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่หลายฝ่ายจะตั้งข้อสงสัย และแม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณจะออกมาปฏิเสธความเกี่ยวโยงกับการเคลื่อนไหวของเครือข่ายกลุ่มดังกล่าวให้ตาย ก็ไม่มีใครเชื่อ !

แต่กระนั้นก็ดี ประเด็นทั้งหลายทั้งปวงก็ปฏิเสธมิได้เช่นกันว่า เป็นความจริงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะต้องยอมรับ เพราะมีประจักษ์พยานยืนยันชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้การเท็จจริง และซุกหุ้นของพี่ชายจริง

อย่างไรก็ตาม การออกมาเคลื่อนไหวของสองบุรุษ เริ่มจาก น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี และตัวแทนเครือข่ายพลเมืองปกป้องแผ่นดินเข้าพบ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อเรียกร้องให้ดีเอสไอดำเนินการกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ และพวก จากกรณีที่ศาลได้ตัดสินให้ยึดทรัพย์คดีซุกหุ้นชินคอร์ป แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการกล่าวโทษกับผู้ที่อ้างถือหุ้นแทน ซึ่งรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์

ทั้งนี้ นพ.ตุลย์ ได้ยื่นเอกสารกล่าวโทษต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวก คือ พ.ต.ท.ทักษิณ, นางพจมาน ณ ป้อมเพชร, นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์, นายพานทองแท้, น.ส.พินทองทา และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน ได้ร่วมกันกระทำผิด เป็นหลายกรรมหลายวาระ เป็นอาญาแผ่นดิน แต่ก็ยังมิได้ถูกดำเนินคดีใดๆ และจะใช้อำนาจทางการเมืองมาทำลายกฎหมายบ้านเมือง จะนิรโทษกรรมให้แก่พวกของตนอีก จึงจำเป็นที่ดีเอสไอเป็นผู้รับผิดชอบบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย จะต้องใช้อำนาจดำเนินคดีต่อบุคคลเหล่านี้โดยด่วน

ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 2553 ระหว่างอัยการสูงสุดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 ได้วินิจฉัยเป็นที่ยุติแล้วว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อปี 2544 นั้น หุ้นบริษัทชินคอร์ปซึ่งรับสัญญาโทรคมนาคมกับรัฐกว่า 49% ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและภริยา อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วยังคงถือไว้ซึ่งสัญญาสัมปทาน

ส่วนคำคัดค้านของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวก ว่าหุ้นชินคอร์ปจำนวนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของตน เพราะได้ซื้อมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ศาลฟังว่าเป็นความเท็จ เป็นการสมคบให้ใช้ชื่อถือแทนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย

ทั้งนี้ เมื่อผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่านได้มีมติเป็นเอกฉันท์ข้างต้นแล้ว ก็ได้วินิจฉัยต่อไปว่ามีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปหลายประการ จนทำให้หุ้นชินคอร์ปมีมูลค่าสูงขึ้นเป็นอันมาก มูลค่านี้จึงเป็นทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณและภริยาได้มาโดยมิสมควรสืบเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่ จึงพร้อมกันพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน

อีกทั้ง คำวินิจฉัยข้างต้นที่ว่าหุ้นชินคอร์ปยังเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณและภริยาอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนี้ถือเป็นที่สุด และมีผลผูกพัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวก ที่ล้วนเข้าไปเป็นตัวความในคดียึดทรัพย์นี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอร์รัปชันทักษิณ” (คนท.) นำโดย นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็ได้เผยแพร่เอกสารคำชี้แจงผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร”

โดยจากการตรวจสอบในหน้าเฟซบุ๊กของเขาทราบว่าได้เตรียมที่จะเอาผิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในข้อหาให้ “ข้อมูลเท็จ” อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากคดี “ซุกหุ้นภาค 2” ของทักษิณ ในกรณีขายหุ้นชินคอร์ป โดยคราวนั้น ยิ่งลักษณ์ไปยืนยันว่าร่วมรับซื้อหุ้นดังกล่าวมา แต่ต่อมาศาลตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่องเท็จและพิพากษาให้ยึดทรัพย์ทักษิณจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท ดังนั้น การกระทำของยิ่งลักษณ์ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้วและเป็นคดีอาญาจะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป รวมไปถึงการรณรงค์ชี้ให้สังคมได้เห็นว่าความพยายามในการนิรโทษกรรมลบล้างความผิดให้ทักษิณ ถือว่าเป็นการใช้ “กฎหมู่” เป็นการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมโดยใช้วิธี “ประชามติ” หรือการเลือกตั้ง

“...พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกผิดอย่างไร ต้องตัดสินด้วยหลักฐานด้วยกระบวนการยุติธรรมที่ต่อสู้คดีกันในศาล ไม่ใช่ด้วยการให้ประชาชนลงคะแนนว่าทักษิณผิดหรือไม่ผิด หากยอมให้มีการใช้ประชามติอย่างนี้เมื่อใด ประชาธิปไตยจะล้ำแดนกฎหมายกลายเป็นกฎหมู่ ตระกูลชินวัตรจะเป็นตระกูลที่อยู่เหนือกฎหมายทำผิดไม่ได้ไปในทันที...

“ต่อไปตระกูลไหนต้องคดีความก็ลงทุนตั้งพรรคการเมืองแก้กฎหมายนิรโทษกรรมตนเองได้อย่างนี้อีก ส่วนใครที่ทุจริตแต่ไม่มีเงินก็ปล่อยให้ติดคุกต่อไปอีก เราจะยอมให้เขาทำได้อย่างนั้นหรือ เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีใครยอมให้เป็นเช่นนี้...” นี่คือข้อความบางส่วนจากเอกสารคำชี้แจงเรื่อง “ร่วมกล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร” ของแก้วสรร ที่เขียนไว้ในเฟซบุ๊ก

ต่อจากนั้น เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอร์รัปชั่นทักษิณ (คนท.) นำโดย นายแก้วสรร และนพ.ตุลย์ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เพื่อขอให้ติดตามการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อัยการสูงสุด (อสส.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับคดีที่ คตส.ได้ตรวจสอบคดีความของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” และส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำหน้าที่ตามกระบวนของกฎหมาย

จากนั้น คนท. จะแจกเอกสารให้ประชาชนทั่วไปร่วมกล่าวโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือจะร่วมกล่าวโทษผ่านทางเว็บไซต์เฟซบุ๊กชื่อ "กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร" โดยจะรวบรวมเอกสารการกล่าวโทษทั้งหมดในวันที่ 18 มิ.ย. ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และในวันที่ 21 มิ.ย. จะไปยื่นต่ออธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้เร่งรัดคดีที่ต่อเนื่องมาจาก คตส.

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง, เมื่อหันมามองในมุมของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ “ปู-ยิ่งลักษณ์” ในเมื่อ “คนสวย” ประกาศสลัดคราบนักธุรกิจสาวก้าวเข้าสู่ถนนการเมือง การถูกตรวจสอบจากภาคสังคมไม่ว่าจะเป็นที่ใด เวลาใด ก็เป็นเรื่องธรรมดาตามวิถีประชาธิปไตย เมื่อมีการกล่าวหามา จะจริงหรือเท็จอย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องชี้แจงแสดงเหตุผล จะด้วยเอกสารหลักฐาน หรือพยานก็แล้วแต่เพื่อให้เกิดความกระจ่าง ยิ่งเมื่อนโยบายปรองดองของพรรคเพื่อไทย พุ่งเป้าไปที่การ “นิรโทษกรรม” เพื่อนำทักษิณกลับประเทศไทยโดยไม่ติดคุก สังคมย่อมตั้งคำถามถึงนัยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงตัวของ “ยิ่งลักษณ์” ด้วย

อีกทั้ง จากการที่พรรคเพื่อไทยหวังจะใช้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเครื่อง “ฟอกความผิด” ให้ทักษิณ ด้วยการหาเสียงกันอย่างคึกคักเรื่องการออกกฎหมาย “นิรโทษกรรม” เพื่อนำทักษิณกลับบ้านให้ได้ โดยในช่วงเริ่มต้นออกหาเสียงกันใหม่ๆ ถึงกับออกไอเดียโดยใช้สโลแกนหาเสียงว่า “หากต้องการให้นิรโทษฯ ให้ทักษิณก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย”

แต่ไม่น่าเชื่อว่า ทำไปทำมา การรณรงค์ของพรรคเพื่อไทยและทีมงานที่หวังจะใช้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเครื่อง “ฟอกความผิด" ให้ทักษิณ จะกลายเป็นประเด็นลุกลาม “ย้อนเข้าตัว” และทำลายคะแนนเสียงของตัวเองมากขึ้น และที่สำคัญเริ่มส่งผลสะเทือนออกไปในวงกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ !

ทั้งนี้ ผลที่เกิดขึ้นทำให้เวลานี้พรรคเพื่อไทยต้องออกมาแก้เกมอย่างหนัก ทั้งในเรื่องของการออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาในเรื่อง “แผนบันได 4 ขั้น” เหยียบชาวบ้านไปสู่การนิรโทษฯ ซึ่งมีทั้ง ยิ่งลักษณ์และทักษิณที่พูดผ่าน “คนรับใช้” อย่าง นพดล ปัทมะ เพื่อหวังตัดเกมโดยเร็วก่อนที่จะลุกลามขยายวงออกไปจนเสียการใหญ่ในภายหน้า เพราะแม้ว่าจะมั่นใจในเสียงสนับสนุนของคนเสื้อแดงขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย มันจะยุ่ง !

ดังนั้น ถ้าพิจารณาอย่างรอบด้านแล้วจะเห็นว่านี่คือเกม “ย้อนศร” วัดความรู้สึกของสังคมว่าคิดอย่างไรกับแนวความคิด “อภิสิทธิ์ชน” ที่นักการเมืองคนหนึ่งมีความผิดในเรื่องคอร์รัปชัน กำลังจะใช้วิธีการ “พิเศษ” เฉพาะตัวผ่านการเลือกตั้ง หรือเรียกว่าใช้ “ประชามติฟอกความผิด” เหนือกว่านิติรัฐที่คนทั่วไปยอมรับกันอยู่ และแม้จะรู้ทันว่าเป็นเกมการเมืองที่แฝงอยู่ แต่อีกด้านหนึ่งต้องยอมรับว่านี่คือ “ความจริง” ที่กำลังมีการทดสอบกันอยู่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นกันอย่างไร

ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็คล้ายเมื่อครั้ง “ทักษิณ” โดนคดีซุกหุ้นภาคแรก ที่สังคมไทยแตกแยกออกเป็นสองเสี่ยง “บกพร่องโดยสุจริต” คือประโยคฮิตติดหูมาจนทุกวันนี้

และวันนี้สังคมไทยกำลังถูกทดสอบด้วย “ซุกหุ้นภาค 3” ซึ่งเป็นเรื่องราวทำนองเดียวกันอีกครั้ง !?

กำลังโหลดความคิดเห็น