“แก้วสรร-หมอตุลย์” บุกสภา ร้อง กมธ.วุฒิสภา ตรวจสอบการทำงานของ ป.ป.ช. อัยการสูงสุด และ ก.ล.ต.ไม่ดำเนินคดีกับ “ยิ่งลักษณ์” และ “ลูก นช.แม้ว” ข้อหาเบิกความเท็จต่อศาล คดี “ทักษิณ” ซุกหุ้นภาค 2 หลังศาลตัดสินยึดทรัพย์ ลั่นไม่สนใจ “เจ๊ปู” จะได้คะแนนสงสารเพิ่ม แต่ต้องการทำลายแผนขั้นที่ 1 ที่จะทำให้คนของตัวเองเข้ามามีอำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก่อนเดินแผนล้างความผิดคดีทุจริตคอร์รัปชันที่ทำไว้ ด้วยการนิรโทษกรรม ลั่นยอมไม่ได้ เพราะหากได้กลับมาฉิบหายแน่ ส่วนการนิรโทษกรรม สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 รวมทั้งพันธมิตรฯ และคนเสื้อแดง เพื่อความปรองดองยอมรับได้
วันนี้ (7 มิ.ย.) ที่รัฐสภา เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอร์รัปชั่นทักษิณ (คนท.) นำโดย นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการและอดีตคณะกรรมการครวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนเสื้อหลากสี เข้ายื่นหนังสือต่อ น.ส.สุมล สุตวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมภิบาล วุฒิสภา และ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะกรรมาธิการ เพื่อขอให้ติดตามการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อัยการสูงสุด (อสส.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับคดีที่ คตส.ได้ตรวจสอบคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำหน้าที่ตามกระบวนของกฎหมาย หลังผ่านมากว่า 3 ปีแต่คดียังไม่มีความคืบหน้า
นายแก้วสรร กล่าวว่า ขอให้ ส.ว.ช่วยติดตามสอบถามจากผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นการเฉพาะด้วยว่า เมื่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ชี้ขาดในคดียึดทรัพย์ ตามคำพิพากษา ที่ อม.1/2553 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หลีกเลี่ยงกฎหมายโดยใช้ชื่อบุตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย น้องสาว ถือหุ้นชินคอร์ปแทนตนนั้น รวมทั้งยังมีคดีข้างเคียง ได้แก่ 1.คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.2.คดีภริยา บุตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้การเท็จต่อ คตส.และเบิกความเท็จต่อศาลฎีกาฯ 3.คดีแจ้งข้อมูลธุรกรรมหุ้นชินคอร์ปเป็นเท็จต่อตลาดหลักทรัพย์ และ 4.คดีที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจชินคอร์ป โดยขอให้สอบถามไปยัง ป.ป.ช.อัยการสูงสุด และ ก.ล.ต.ว่า ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวไปถึงไหน
นายแก้วสรร กล่าวว่า การออกมาเรียกร้อง และมีการพาดพิง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในช่วงเวลานี้ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง เพราะการที่ผู้สมัครถูกพาดพิงในช่วงการเลือกตั้งเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี ไม่ใช่การรังแก น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยก่อนหน้านี้ที่ไม่ยื่นเรื่อง เพราะยังไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทยจะเสนอบุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรี มีการปกปิดมาตลอด โดยพวกเรามองไปถึงจุดที่ว่าการเลือกตั้งเป็นขั้นหนึ่งของประชามติ ที่จะกลายมาเป็นกฎหมู่ของตระกูลนี้ หากเขาได้เสียงข้างมากไป สิ่งที่เขาจะทำต่อ คือ ผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสู่สภา ซึ่งเมื่อมีความชัดเจนว่าเขาเดินหน้าแผนหนึ่ง เราก็กล่าวโทษทันที เพื่อสกัดไม่ให้ใครมาออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมตนเอง เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรอให้เลือกตั้งเสร็จ แค่คุณลงสมัครรับเลือกตั้งก็ชัดเจนมาก
“คะแนนเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร เราไม่สนใจ แต่เราไปดักหน้าแผนการของเขาไว้แล้ว และภาวนาว่าหากเขาชนะเลือกตั้ง สิ่งที่เราทำอยู่นี้จะหยุดไม่ให้เขากล้าผลักดันการนิรโทษกรรม นี่คือ สิ่งที่เราต้องการ ส่วนการที่เขาจะชนะเลือกตั้งหรือไม่ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา เป็นดุลยพินิจของประชาชน และผมเชื่อว่า ประชาชนเคยชินกับการที่ผู้ต้องหาลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงเชื่อว่าไม่ได้ทำให้พรรคไหนเสียคะแนน”
นายแก้วสรร ยังตอบโต้กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า นายแก้วสรร ออกมาคัดค้านนิรโทษกรรมอะไรตั้งแต่ไก่โห่ ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาไก่โห่ แต่เป็นเวลาเที่ยงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศมาตลอดว่า ให้พาตัวเองกลับบ้าน และล่าสุด บอกอีกว่า ให้พากลับบ้านภายใน 6 เดือน โดยในคำแถลงเมื่อครั้งเปิดตัวผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ก็พูดชัดเจนว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อคืนความเป็นธรรมด้วยการใช้การเมืองคืนความเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเพียงหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนนี้เราฟัง พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะพูดอะไรก็ได้ ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องเป็นคนสั่งให้ออกกฎหมายคืนความเป็นธรรม
นายแก้วสรร กล่าวว่า ตรงนี้ต้องเคลียร์ให้ชัดว่าจะนิรโทษกรรมให้ใคร โดยขณะนี้มี 3 กลุ่มคดี คือ 1.คดีบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เรื่องนี้ทำได้ง่าย คือ แก้กฎหมายว่าบุคคลที่จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองได้ ต้องถูกศาลพิพากษาให้จำคุก ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ซึ่งหากประชาชนเสียงส่วนใหญ่เห็นแบบนั้น พวกตนไม่มีปัญหา เราไม่ใช่พวกดื้อดึงถือตัวเองเป็นใหญ่ 2.คดีการชุมนุมทางการเมือง หากจะนิรโทษกรรมคนเสื้อเหลือง กับคนเสื้อแดง เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ ก็สามารถออก พ.ร.บ.นิรโทษฯได้ เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบ ซึ่งหากทั้ง 2 เรื่องทำโดยให้เหตุผลเรื่องความปรองดองก็สามารถทำได้
ส่วนเรื่องที่ 3.คดีคอร์รัปชันของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องความปรองดอง จึงไม่สามารถออกเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมได้ เพราะหากมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วบุคคลอื่นที่ถูกจำคุกด้วยคดีทุจริตคอร์รัปชันซึ่งติดคุกตอนนี้ จะได้รับการปล่อยตัวด้วยหรือไม่ เนื่องจากคนพวกนี้ไม่มีเงินตั้งพรรคการเมือง จึงต้องรับกรรมติดคุกอยู่ ดังนั้น การนิรโทษกรรม หรือยุติคดีคอร์รัปชันทำไม่ได้โดยเด็ดขาด ต่อให้คุณชนะได้ 500 ที่นั่งในสภา ก็ทำไม่ได้
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใช้เสียงข้างมากมาทำผิดให้เป็นถูก ไม่ใช่ความปรองดอง แต่เป็นการใช้กฎหมู่ทำลายกฎหมายบ้านเมืองตรงนี้เป็นจุดยืนของพวกเรา เราไม่ใช่บุคคลที่ขัดขวางความปรองดอง แต่ไม่ต้องการให้นำความปรองดองมาแอบอ้างเพื่อทำลายกฎหมายบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคคีทุจริตคอร์รัปชัน”
ส่วนกรณีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่า นายแก้วสรร และ นพ.ตุลย์ เป็นเครือข่ายต่อสู้เพื่อพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายแก้วสรร กล่าวว่า เหตุใดจึงมองว่าการไม่เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทย ต้องผูกขาดว่าเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น อยากให้มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของแผ่นดิน เมื่อมีคนกำลังจะนิรโทษกรรมคนคอร์รัปชัน ซึ่งเราไม่สามารถฝากให้พรรคประชาธิปัตย์ไปทำได้ เพราะหากเขากล้าทำจริง เรื่องคงไม่บานปลายมาถึงวันนี้
“ข้อกล่าวหานี้จึงไม่มีมูลโดยสิ้นเชิง การดำเนินการในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวให้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ทำในฐานะประชาชนของแผ่นดิน ผมในฐานะที่ทำคดีมากับมือรู้ว่าจริงหรือเท็จ มีความจริงมากมายที่ผมพูดไม่ได้ บอกได้เพียงว่าหากเขากลับมาฉิบหายแน่”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป้าหมายในการยื่นเรื่องต่อดีเอสไอ เพื่อต้องการให้ส่งเรื่องต่อไปที่ อัยการสูงสุดทันที เพราะถือว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทำความผิดสำเร็จแล้วใช่หรือไม่ นายแก้วสรร กล่าวว่า เราไม่ได้ใส่ไคล้ แต่ความผิดเกิดขึ้นสำเร็จแล้ว แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ยอมดำเนินการ จน น.ส.ยิ่งลักษณ์ยอมมาลงสมัคร ส.ส.เพื่อเป็นร่างทรงของพี่ชาย และหากมีการกล่าวโทษจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เท่ากับเป็นผู้ต้องหา การที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมก็จะเป็นการทำเพื่อตัวเอง ดังนั้นถ้าดีเอสไอรับคำกล่าวโทษ ให้เป็นคดี พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นคดีพิเศษโดยสภาพ ก็เป็นหน้าที่ของดีเอสไอต่อไป หากไม่ทำก็จำเป็นต้องไปร้องต่อ ป.ป.ช. ว่าดีเอสไอละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่า เครือข่ายฯเห็นว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรี นายแก้วสรร กล่าวว่า หากเป็นเรื่องการเมืองเชิญตัดสินกันตามสบาย คนไทยไม่แคร์ที่มีผู้สมัครที่เป็นผู้ต้องหา แต่เราจะไปดักว่าหากพวกคุณได้เป็นรัฐบาลตามฉันทานุมัติประชาชน ถ้าเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมนั้นทำไม่ได้ เพราะมีส่วนได้เสียโดยตรง เราต้องการเพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องการเมืองไม่ต้องมาถามพวกเรา ใครจะเลือกอย่างไรก็เป็นนานาจิตตัง
ด้าน นพ.ตุลย์ กล่าวว่า หลังจากนี้ คนท.จะแจกเอกสารให้ประชาชนทั่วไปร่วมกล่าวโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือจะร่วมกล่าวโทษผ่านทางเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ชื่อ “กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร” โดยจะรวบรวมเอกสารการกล่าวโทษทั้งหมดในวันที่ 18 มิ.ย.เวลา 14.00-16.00 น.ที่ชั้น 3 อาคารอเนกประสงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และในวันที่ 21 มิ.ย.จะไปยื่นต่ออธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้เร่งรัดคดีที่ต่อเนื่องมาจาก คตส.
นพ.ตุลย์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า เหตุที่ต้องมาดำเนินการช่วงนี้ ก็อยากให้บ้านเมืองสงบสุข สังคมมีความปรองดองด้วยกระบวนการที่ทำให้บ้านเมืองถูกต้องเป็นธรรม ปราศจากคอร์รัปชั่น ใครที่เคยทุจริตไว้ คงนึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ที่จะมีคนคอยตรวจสอบ และตรวจสอบพบ พวกเราเฝ้ารอว่าจะดำเนินการทันที รอจนรัฐบาลหมดวาระและมีการเลือกตั้งใหม่ พอมีคนที่กระทำผิดมาประกาศจะนิรโทษกรรมคดีอาญา คดีทุจริต ซึ่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรมอย่างรุนแรง ภาคพลเมืองและประชาชนจึงยอมไม่ได้ เป็นเหตุผลที่ดำเนินตรงนี้ และแจ้งไปยังดีเอสไอว่าเครือข่ายจะรวบรวมรายชื่อบุคคลมากล่าวโทษร่วมกันเป็นจำนวนมาก ในคดีที่ได้พิพากษามีคำให้การชัดเจน ซึ่งเขาปฏิเสธไม่ได้
“หลายคนบอกว่าโง่หรือเปล่า เพราะทำไปเท่ากับเป็นการเพิ่มคะแนนเสียงและเพิ่มความสงสารให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผมไม่ได้สนใจในประเด็นดังกล่าว เพราะสิ่งที่ทำเป็นประเด็นของการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ใช่เรื่องการเมือง จะไปเชียร์ใครหรือคัดค้านใคร”
นพ.ตุลย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตข้อความที่ระบุว่า นายแก้วสรร และ นพ.ตุลย์ เป็นกลุ่มขาประจำที่ไม่อยากให้บ้านเมืองปรองดอง ว่า ตนไม่ปรองดองกับคนที่ทำผิด และสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตออกมา ตนตีความว่า ถ้าเราดำเนินการต่อไปคุณจะสร้างความไม่ปรองดองให้เกิดขึ้น และสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นอีกใช่หรือไม่ ส่วนตัวมองว่าหากจะสยบความแตกแยกได้ ต้องดำเนินกับคนที่พยายามปกปิดความผิดของตนเอง
ส่วนการตั้งกลุ่มเฟซบุ๊ก แล้วเกิดกระแสต่อต้านนั้น นพ.ตุลย์ กล่าวว่า ที่มาเป็นขาประจำ เพราะเรากำลังล้างส้วมให้สะอาด ต้องมีคนลงมือทำ หากกลัวว่าจะโดนด่าแล้วไม่ทำ ก็ต้องเข้าห้องน้ำที่สกปรกต่อไป พวกเรายินดีจะทำ ใครจะด่าก็ด่า สำหรับในเฟซบุ๊กตนทราบมาว่า มีการตั้งวอร์รูม จ้างให้คนมาโพสต์ข้อความซ้ำๆ ดังนั้น เรื่องนี้มองว่าไม่ใช่เป็นบุคลลที่ไม่เห็นด้วยตามปกติ แต่เป็นหน่วยเฉพาะที่จัดตั้ง มาโต้ตอบ โดยมองว่าไร้สาระ เรามีความเป็นประชาธิปไตยพอ แต่สำหรับคนที่มาด่าพวกเราทางเสียหาย คงต้องฟ้องร้องดำเนินการทางกฎหมาย เพราะถือว่าหมิ่นประมาทตน แต่เราต้องดำเนินการเพื่อล้างส้วมให้บ้านเมืองสะอาด
ขณะที่ นายแก้วสรร กล่าวเสริมถึงกรณีเดียวกันว่า สำหรับขาประจำนั้น ตีความได้ว่า ดีประจำหรือชั่วประจำ สำหรับตนอยู่วุฒิสภาอำนาจเงินมีขนาดไหน วุฒิสภาถูกแทรกแซงด้วยอำนาจเงินสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ รับเงินในการโหวตให้ ป.ต.ท.เข้าตลาดหุ้น ใครไปรับเงินในห้องไหน หากตนพูดออกมาวุฒิสภาเจ๊ง ตนขมขื่นกับสิ่งเหล่านี้ ตนรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนอย่างไร เป็นเหตุผลที่ต้องมาเป็นขาประจำ เพราะผมรู้ว่าประเทศเจ๊งแน่ๆ และหากเขาจะกลับมาจริง ก็จะขอเป็นขาประจำอีก ไม่มีปัญหา