ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่าทำไปทำมาการรณรงค์ของพรรคเพื่อไทยและทีมงานที่หวังจะใช้การเลือกตั้งคราวนี้เป็นเครื่อง “ฟอก” ล้างความผิดให้ ทักษิณ ชินวัตร จะกลายเป็นประเด็นลุกลามย้อนเข้าตัว และทำลายคะแนนเสียงของตัวเองมากขึ้น จนผิดความคาดหมาย และที่สำคัญเริ่มส่งผลสะเทือนออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ
สังเกตดูได้จากการหาเสียงล่าสุดทั้งพรรคเพื่อไทย และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ค่อยมีการพูดถึงเรื่องการออกกฏหมายนิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เท่าใดนัก เพราะถ้าย้อนกลับไปพิจารณาจากคำพูดเก่าๆในช่วงที่เริ่มมีการหาเสียงจะเห็นว่ามีความคึกคักในเรื่องที่จะนำ ทักษิณ กลับบ้านให้ได้ ก่อนหน้านั้นหากจำกันได้
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆของพรรคเพื่อไทยถึงกับอาสาออกไอเดียใช้สโลแกนหาเสียงว่า “หากต้องการให้นิรโทษฯ ให้ทักษิณก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย” จากนั้นก็มีการประกาศตามหลังจากเจ้าตัวจากต่างประเทศว่า “จะกลับไทยในปลายปีนี้” ถึงขั้นกำหนดเดือนว่าจะเข้ามาในเดือนพฤศจิกายนกันเลยทีเดียว
ทั้งสองคำพูดดังกล่าวข้างต้น ทั้งลูกน้องและลูกพี่ย่อมมั่นใจในพลังสนับสนุนที่เชื่อว่ายังมีอยู่เต็มเปี่ยม ยังคิดว่าไม่ว่าจะเคลื่อนไหวชี้นำอย่างไรก็ต้องมีคนทำตาม ทำราวกับว่าประเทศนี้จะขาดทักษิณ และ “ตระกูลชินวัตร” ไม่ได้ หรือจะทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสขาดความก้าวหน้า อะไรประมาณนั้น
นั่นเป็นความเชื่อของทักษิณและบรรดากุนซือใกล้ชิดมาตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ดี มาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เองที่เริ่มมีการรณรงค์โต้แย้ง มีการตั้งสติจากสังคมในมุมกลับกัน และอีกด้านหนึ่งมีการเคลื่อนไหวของฝ่าย “ขั้วการเมืองตรงข้าม” อย่าง พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ออกมา “ย้อนศร” ชี้ให้เห็นว่า การนิรโทษกรรมเพื่อลบล้างความผิดให้กับคนๆเดียว เป็นการสร้างความขัดแย้ง ไม่ใช่การปรองดองอย่างที่มีการโฆษณาชวนเชื่อ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นรายชื่อของบุคคลที่ร่วมทีมปรองดองของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่กล่าวอาฆาตไว้ล่วงหน้าว่าจะเช็กบิลข้าราชการ รวมไปถึง “หัวโจก” คนเสื้อแดง ซึ่งไม่ต้องบอกว่าเป็นใครกันบ้างก็คงจำกันได้ดีอยู่แล้ว
พูดตอกย้ำอยู่แบบนี้ทุกวันๆที่มีโอกาส ทั้งในวงปราศรัยกับชาวบ้านทั่วไป หรือแม้กระทั่งให้สัมภาษณ์กับสื่อ เจอเข้าไปดอกนี้ทำเอาพรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์และทีมงานของพรรคเพื่อไทยต้องชะงักไปเหมือนกัน จนในระยะหลังเริ่ม “ไม่เน้น” เรื่องแบบนั้นอีกแล้ว แต่หันมากลับเกลื่อนไปพูดเรื่องอื่น เช่นให้รอผลการเลือกตั้งก่อน รอการตัดสินใจของประชาชนก่อน เป็นต้น
นอกจากนี้ จากความมั่นใจดังกล่าวยังทำให้มีการเปิดศึกรอบทิศโดยเฉพาะกับ “กลุ่มอำนาจรัฐ” ที่มีผู้นำในกองทัพเป็นแกนหลัก เช่น มีการกล่าวหาว่ามีการสั่งการให้ทหารโหวตให้พรรคประชาธิปัตย์ หรือข่มขู่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดการตอบโต้ จากผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างแข็งกร้าว จนหวั่นเกรงว่าอาจทำให้บรรยากาศตึงเครียด จนต้องมีความพยายามจะเข้าพบเพื่อขอ “เคลียร์” กับ พล.อ.ประยุทธ์ ในที่สุด
ล่าสุดเริ่มมีการเคลื่อนไหวของบางกลุ่มผสมโรงเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชื่อกลุ่ม “เสื้อหลากสี” ที่นำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ หรือกลุ่มใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอร์รัปชันทักษิณ (คนท.)” มีการเคลื่อนไหวผ่านสื่อออนไลน์ในหัวข้อ “กล่าวโทษปู..หยุดกฏหมู่ชินวัตร” นำโดย แก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยจะมีการแถลงข่าวเพื่อชี้แจงและอธิบายถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของพวกเขาในวันนี้ (7 มิ.ย.54)
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบในหน้าเฟซบุ๊กของเขาทราบล่วงหน้าว่าได้เตรียมที่จะเอาผิดกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในข้อหาให้ “ข้อมูลเท็จ” อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากคดี “ซุกหุ้นภาค 2” ของทักษิณ ในกรณีขายหุ้นชินคอร์ป โดยคราวนั้น ยิ่งลักษณ์ไปยืนยันว่าร่วมรับซื้อหุ้นดังกล่าวมา แต่ต่อมาศาลตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่องเท็จและพิพากษาให้ยึดทรัพย์ทักษิณจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท ดังนั้น การกระทำของยิ่งลักษณ์ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้วและเป็นคดีอาญาจะต้องดำเนินการตามกฏหมายต่อไป รวมไปถึงการรณรงค์ชี้ให้สังคมได้เห็นว่าความพยายามในการนิรโทษกรรมลบล้างความผิดให้ทักษิณ ถือว่าเป็นการใช้ “กฎหมู่” เป็นการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมโดยใช้วิธี “ประชามติ” หรือการเลือกตั้ง
แม้ว่าหากติดความความเคลื่อนไหวของบุคคลทั้งสอง คือ นพ.ตุลย์ และ แก้วสรร ล้วนแล้วแต่เคยเดินมาในเส้นทางเดียวกับประชาธิปัตย์ก็ตาม แต่การออกมาชี้ให้สังคมได้มองเห็นแบบนี้มันก็ย่อมส่งผลสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทยต่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และที่สำคัญสะเทือนต่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะประเด็นดังกล่าวที่นำมาแสดงต่อชาวบ้านนั้นมันเป็นเรื่องจริงเสียด้วย อย่างน้อยก็เป็นการดับกระแส “ฟีเวอร์” ชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องการเมืองที่ “เห็นแก่ตัว” และเป็น “อภิสิทธิชน” โดยแท้
ประกอบกับในช่วงสองสามวันมานี้ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นลูกเล่นใหม่ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มาใน “ฟอร์มเทพ” อ้างหลักการ “ส่วนรวมต้องมาก่อน เรื่องส่วนตัวของนักการเมือง” หาคะแนนนิยมจากคนอีกกลุ่มในสังคม ขย่มซ้ำเข้ามาอีก
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ทางพรรคเพื่อไทยต้องออกมาแก้เกมอย่างหนัก ทั้งในเรื่องของการออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาในเรื่อง “แผนบันใด 4 ขั้น” เหยียบชาวบ้านไปสู่การนิรโทษฯ ซึ่งมีทั้ง ยิ่งลักษณ์ และ ทักษิณที่พูดผ่าน “คนรับใช้” อย่างนพดล ปัทมะ เพื่อหวังตัดเกมโดยเร็วก่อนที่จะลุกลามขยายวงออกไปจนเสียการณ์ใหญ่ในภายหน้า นอกจากนี้ในระยะหลังก็ไม่ค่อยได้เห็นบุคคลที่เคยอาสาออกมารณรงค์เรื่องดังกล่าวออกมาให้เป็นข่าว เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เงียบเสียงจนผิดไปจากเดิม เชื่อว่าคงต้องกลับมาประเมินกันใหม่ เพราะแม้ว่าจะมั่นใจในเสียงสนับสนุนของคนเสื้อแดงแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย มันก็จะยุ่ง
ดังนั้นถ้าพิจารณาอย่างรอบด้านแล้วถือว่านี่คือเกม “ย้อนศร” วัดความรู้สึกของสังคมส่วนใหญ่กลับไปว่าคิดอย่างไรกันแน่ กับแนวความคิด “อภิสิทธิชน” ที่นักการเมืองคนหนึ่งมีความผิดในเรื่องคอร์รัปชัน กำลังจะใช้วิธีการ “พิเศษ” เฉพาะตัวผ่านการเลือกตั้ง หรือเรียกว่าใช้ “ประชามติฟอกความผิด” ก็แล้วแต่ เหนือกว่านิติรัฐที่คนทั่วไปยอมรับกันอยู่ และแม้ว่าจะรู้ทันว่าเป็นเกมการเมืองที่แฝงอยู่ แต่อีกด้านหนึ่งต้องยอมรับว่านี่คือความจริงที่กำลังมีการทดสอบกันอยู่ว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเห็นกันอย่างไร!!