xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เมื่อ “ปูแดง” หวานใส่ “บิ๊กตู่” จึงหวานตอบ แล้วละครตบจูบก็ถึงขั้น “กินตับ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ถ้าท่าน(พรรคเพื่อไทย) มาเป็นรัฐบาล ท่านก็ต้องถูกแย่งชิงไปเหมือนกัน เพราะต้องมีคนออกมาต่อต้าน เนื่องจากท่านมาด้วยวิธีการที่ใช้คนหมู่มาก ใช้การละเมิดกฎหมายตลอด”

การออกมาประกาศของ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก ด้วยท่วงทำนองที่ดุดัน ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญและมีนัยต่อความเป็นไปของอนาคตการเมืองไทยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทยที่เวลานี้ “นายใหญ่จากแดนไกล” กำลังฝันหวานถึงการกลับมาครองความยิ่งใหญ่ในราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง

แต่คำประกาศที่ดุดันของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่สำคัญเท่าปฏิกิริยาตอบกลับจากทางฝั่งเสื้อแดงซึ่งมีความผิดปกติจากที่เคยเป็นมาในอดีต กล่าวคือ แทนที่บรรดาลูกสมุนระดับ “องครักษ์พิทักษ์นาย” จะออกมาเปิดศึกท้าชน กลับมีน้ำเสียงที่อ่อนหวาน ออดอ้อนและเบียดกระแซะผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพส่งผ่านออกมาจาก “น้องปู-น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวคนสวยของ นช.ทักษิณ ชินวัตรแทนที่

ประหนึ่งเพลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้กลายสภาพเป็น “ชายในฝัน” ที่ “น้องปูแดง” จำต้องงอนง้อไปเรียบร้อยแล้ว

แน่นอน เกมของขุมกำลังทั้ง 2 ขุมที่เปิดเข้าใส่กันครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา เพราะสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ “หน้ากากแห่งความหลอกลวง” ครั้งนี้ มีเงื่อนปมที่เดิมพันทั้งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทั้งเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกของ พล.อ.ประยุทธ์ ตลอดรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์และพี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” ชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่กำลังจะเปลี่ยนไป

และเปลี่ยนไปภายในเงื่อนไขและสมการการเมืองใหม่ที่มิอาจกระพริบตาได้เลยทีเดียว

ปริศนาเกมต่อรองของ “ตู่นะจ๊ะ”
 

6 พฤษภาคม 2554

ผู้สื่อข่าวถาม-หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล กองทัพจะรับได้หรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ขึ้นอยู่กับประชาชน เพราะต้องเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ต้องปล่อยให้ประชาชนตัดสินใจเอง ไม่ควรชี้นำ ซึ่งส่วนตัวต้องการเห็นนักการเมืองที่เข้ามาทำงานซื่อสัตย์ เป็นคนดี นำพาชาติบ้านเมืองปลอดภัย ดูแลประชาชนทุกหมู่เหล่า สร้างความรักความสามัคคี เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า อย่าได้ห่วง ทหารเป็นมิตรกับประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ทหารจะทำงานได้หรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เป็นก็เป็น ผมไม่ได้เป็น กกต. จะห้ามได้อย่างไร”

3 มิถุนายน 2554

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะ 3 ก.ค.แล้ว ประชาชนต้องแยกแยะให้ออกว่าใครพูดจริง พูดเท็จ ใครโกหก ให้กลับไปดูว่าปี 53 , 54 มันเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองบ้าง ทหารก็ต้องทำตามกฎหมาย ประชาชนก็ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย ถ้าท่านมาเป็นรัฐบาล ท่านก็ต้องถูกแย่งชิงไปเหมือนกัน เพราะต้องมีคนออกมาต่อต้าน เนื่องจากท่านมาด้วยวิธีการที่ใช้คนหมู่มาก ใช้การละเมิดกฎหมายตลอด ผมขอพูดอีกครั้งว่าอย่ามายุ่งกับทหาร ผมไม่อยากทะเลาะกับเด็กเลี้ยงแกะ”

จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพบกที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นอย่างดี จนหลายคนอดตั้งคำถามมิได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทีที่มีอะไรแอบแฝงหรือไม่

เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ต่างกันไม่มากนัก และใกล้ถึงวันเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมเข้ามาทุกที

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากถอดรหัสคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะพบสิ่งที่ผู้บัญชาการทหารบกต้องการสื่อสารชัดเจน 2 ประการด้วยกันคือ

หนึ่ง-กองทัพบกภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศชัดเจนว่า การเมือง(พรรคเพื่อไทย) อย่ามายุ่งกับทหาร เพราะถ้ามายุ่งกับทหาร ทหารก็พร้อมที่จะต่อต้าน ซึ่งคำว่าอย่ามายุ่งกับทหารนี้ มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นว่า อย่ามายุ่งกับเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกของเขา และอย่ามายุ่งกับการแต่งตั้งโยกย้ายภายในกองทัพบก มิฉะนั้น ทหารก็พร้อมที่จะแย่งชิงและพร้อมทะเลาะกับเด็กเลี้ยงแกะทันที

เนื่องเพราะต้องไม่ลืมว่า ทหารคือจำเลยอันดับต้นๆ ของคนเสื้อแดงที่ก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองในเดือนพฤษภาคม และถ้าเพื่อไทยก้าวขึ้นมามีอำนาจ บรรดาขุนทหารที่อยู่ใต้ปีกของ พล.อ.ประยุทธ์ย่อมถูกหมายหัวที่จะตกเป็นเป้าหมายของการล้างแค้น ซึ่งนั่นหมายถึงการล้างบางครั้งใหญ่ในกองทัพ ดังจะเห็นได้จากท่าทีของ “พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร” อดีตผู้บัญชาการทหารบกที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตด้วยเหตุผลเดียวคือมีนามสกุลชินวัตรที่ประกาศว่า คนนามสกุลชินวัตรจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถ้าหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง

และแน่นอนว่า ถ้าสมการการเมืองเป็นเช่นนั้น นอกจากเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกจะหลุดไปจากก้นของ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว บูรพาพยัคฆ์ทั้งแผงจะต้องหลุดพ้นไปจากวงโคจรของอำนาจ ซึ่งคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ย่อมยอมไม่ได้

สอง-แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ได้กล่าวหาชัดเจนว่า ใครพูดเท็จ ใครพูดโกหก ใครละเมิดกฎหมาย ทว่า กองทัพบกภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่า หมายถึงพรรคเพื่อไทย พร้อมเตือนกันซึ่งๆ หน้าว่า พรรคเพื่อไทยที่จะก้าวขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดินของราชอาณาจักรสยามนั้นมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะจะต้องมีคนออกมาต่อต้าน เนื่องจากมาด้วยวิธีการที่ใช้คนหมู่มากและละเมิดกฎหมายตลอด ดังนั้น จึงมีสิทธิที่จะถูกแย่งชิงอำนาจไปเช่นกัน

ที่สำคัญคือ ทั้ง 2 ประเด็น พล.อ.ประยุทธ์ต้องการแสดงให้เห็นว่า อำนาจในบ้านนี้เมืองนี้ไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมืองและนักการเมืองเท่านั้น หากแต่มี “ทหาร” เป็นจักรกลในการขับเคลื่อนด้วย ดังนั้น จงอย่าได้ลำพองหรือฝันหวานกับชัยชนะที่จะเกิดขึ้นจนเกินไปนัก เพราะอาจถูก “แย่งชิง” และ “ต่อต้าน” ได้ตลอดเวลา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็แสดงให้เห็นด้วยการ “กระชับอำนาจ” จากคำสั่งโยกย้ายและแต่งตั้ง 157 ผู้บังคับการกองพันมาแล้วสดๆ ร้อนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา

โดยใน 157 ตำแหน่งนั้นส่วนใหญ่ยังคงเป็นการโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับหน่วยคุมกำลัง เพื่อตอบแทนนายทหารที่เคยทำงานในภารกิจการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์จะมีเป้าประสงค์อื่นใดแอบแฝง ต้องการเล่นเกมต่อรอง หรือต้องการอะไรนอกเหนือไปจากจากการแสดงท่าทีครั้งนี้หรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจ “ตัดข้อสงสัย” ได้เช่นกัน

ปริศนาเกมออดอ้อนของ “ปูจอมหนีบ”

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะว่าไปแล้ว การส่งสัญญาณครั้งใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก ถ้าหากเทียบกับความเปลี่ยนแปลงในท่าทีของ “ค่ายสีแดง” เพราะเป็นที่รับรู้ว่า ความสัมพันธ์ของคนเสื้อแดงกับ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในขั้น “ไม่เผาผี” จากกรณี 91 ศพคนเสื้อแดง

ยิ่งท่าทีจาก “ผู้นำโคลนนิง” ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยแล้ว ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า งานนี้ “มีอะไรในกอไผ่” แน่นอน ไม่เช่นนั้นจะไม่ออกมาในลักษณะออดอ้อน ออเซาะเยี่ยงนี้ ซึ่งนั่นแสดงว่า ปูแดงโคลนนิงได้รับสัญญาณที่ชัดเจนจากนักโทษชายผู้พี่มาเรียบร้อยแล้ว

“ประเทศชาติบอบช้ำมามากแล้ว อยากให้ทุกคนเห็นด้วยกับเสียงของประชาชน ดิฉันยินดีเข้าไปรับคำแนะนำหรือหารือถ้ากองทัพให้โอกาส ส่วนกระแสการปฏิวัตินั้น จากที่ ผบ.ทบ.ระบุว่า ไม่มี เชื่อว่า การเลือกตั้งจะผ่านไปได้ด้วยดี”

และแม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์จะออกมาปฏิเสธผ่าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกโดยอ้างเรื่องความไม่เหมาะสม น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ยังยืนยันคำเดิมด้วยท่วงทำนองและลีลาเหมือนเดิมว่า “ยังไม่ได้ประสานไป แต่อยากจะเข้าไปพบ ส่วนที่ ผบ.ทบ.ระบุว่า ไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปคุยนั้น ก็แล้วแต่กองทัพจะเป็นผู้พิจารณา แต่ดิฉันมีความตั้งใจและเจตนา หวังว่าจะให้โอกาสตนที่จะเข้าไปทำงานเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความสามัคคีปรองดอง เป็นสิ่งที่ควรจะทำมิใช่หรือ”

เป็นการออดอ้อนพร้อมกับเปิดเกมรุกเข้าใส่ด้วยการขอโอกาสเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ชนิดที่ต้องบอกว่า “ทันเกม” และเป็นไปตาม “บท” ที่เขียนเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อการนี้เป็นการเฉพาะเลยทีเดียว ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า นอกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว ไม่มีบรรดา “ลิ่วล้อ” ของพรรคเพื่อไทยหรือคนเสื้อแดงรายใดออกมาตอบโต้คำประกาศอันแข็งกร้าวของ พล.อ.ประยุทธ์เลยแม้แต่คนเดียว

ขนาดน้ำเสียงจากแกนนำเสื้อแดงตัวพ่ออย่าง “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่เวลานี้แปรสภาพเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทย ยังพูดจาถึงผู้บัญชาการทหารบกด้วยท่วงทำนองที่เปลี่ยนแปลงไปว่า “พรรคเพื่อไทยไม่ได้คาดคั้นหรือพยายามจะเข้าไปพบพล.อ.ประยุทธ์แบบต้องพบให้ได้ หรือตื้อจนกว่าจะได้พบ เพียงแต่แสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าผบ.ทบ.มีความคิดเห็นประการใดก็พร้อมที่จะเข้าพบเพื่อรับความคิดเห็นก็เท่านั้นเอง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรด้วยตนเอง ดังนั้น ถ้าน้ำแกงยังไม่ได้เคลื่อนไหว น้ำล้างชามอย่าเพิ่งขยับได้หรือไม่ ให้ผู้ใหญ่เขาดูกันเองว่าถึงเวลาจะพูดคุยกันแล้วหรือไม่”

อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังของการออดอ้อนครั้งนี้ ไม่ใช่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่ใช่นึกจะพูดก็พูด หากแต่มี “สคริปต์” เขียนบทให้พูดเอาไว้อยู่แล้วตามเกมที่พี่ชายสุดที่รักกำลังเร่งปฏิบัติการชนิดมือเป็นระวิงเช่นกัน เพราะแม้เขาจะมั่นใจใน “กองทัพเสื้อแดง” ว่ามี พลานุภาพเพียงใด แต่ถ้าหาก “เคลียร์” กับทหารได้เข้าใจ ก็ย่อมจะเป็นหลักรับประกันในศึกชิงบ้านชิงเมืองนี้มากกว่า

มีชุดข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า ขณะนี้ “นายใหญ่” ได้ยื่นเงื่อนไขต่อกองทัพต่อการกลับคืนสู่อำนาจเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เงื่อนไขที่หนึ่ง-พรรคเพื่อไทยจะไม่แตะต้องเก้าอี้ผู้บัญชาการกองทัพบกและผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทั้งนี้ เพื่อขจัดจุดอ่อนในการทำรัฐประหารให้หมดสิ้น

และเงื่อนไขที่สอง-พรรคเพื่อไทยพร้อมส่งรายชื่อคนที่เหมาะสมจะนั่งเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” มาให้กองทัพพิจารณาคัดเลือกได้ตามใจชอบ และถ้าไม่พอใจกองทัพก็พร้อมที่จะให้กองทัพคัดเลือก “คนที่ตัวเองไว้ใจ” มานั่งในเก้าอี้สำคัญตัวนี้ได้เต็มที่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมีข้อแม้ข้อเดียวคือ คนที่จะมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ขอยกเว้นคนชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์ เพราะถือเป็นศัตรูที่ไม่สามารถร่วมงานกันได้ เพราะทางนายใหญ่เองก็รู้ข่าววงในมาเช่นกันว่า เวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประวิตรและพล.อ.ประยุทธ์ดูจะไม่ราบรื่นเท่าใดนัก เพราะพล.อ.ประยุทธ์ต้องการดำรงตนเป็นทหารอาชีพ ขณะที่พี่ใหญ่ของเขานำความเป็นบูรพาพยัคฆ์ไปผูกติดกับ “ขั้วอำนาจใหม่” ของ “นายเนวิน ชิดชอบ” มากจนเกินไป

แน่นอน นช.ทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์รู้อยู่เต็มอกว่า กองทัพคืออุปสรรคสำคัญในการก้าวขึ้นสู่อำนาจของคนในตระกูลชินอีกครั้ง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว “พล.อ.ประยุทธ์” ก็มิต่างอะไรจาก “ชายในฝัน” ที่ไม่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนทำให้ต้องมีอันโคจรจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก่อนเวลาอันควร ดังนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเล่นบทโหดเหมือนที่ผ่านมา และเปลี่ยนมาเป็นเล่น “บทหวาน” โดยอาศัยความเป็นผู้หญิงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นใบเบิกทาง ซึ่งในที่สุดความเป็นผู้หญิงก็สามารถโยกคลอนชายชาติทหารได้ในระดับหนึ่ง

เพราะแม้ พล.อ.ประยุทธ์จะตอบปฏิเสธการเข้าพบของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่เมื่อตรวจสอบน้ำเสียงล่าสุดก็จะพบว่า เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

“ต้องขอขอบคุณที่ท่านให้เกียรติกองทัพ ซึ่งไม่ได้ให้เกียรติผม ผมถือว่าท่านให้เกียรติกองทัพ ทุกคน ทุกพรรคการเมือง เขาก็ให้เกียรติกองทัพมาโดยตลอด แต่ผมคิดว่าช่วงเวลาต่างๆ น่าจะดูความเหมาะสม เพราะช่วงนี้เป็นช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งคิดว่าท่านก็เข้าใจ แต่ผมก็ขอขอบคุณที่ให้เกียรติ แต่เวลาเช่นนี้ขอให้ผ่านไปก่อน คือให้ผ่านช่วงเวลาที่สำคัญ ผมคุยได้ทุกคน แต่อย่าเอาเวลาไปคุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่ เราต้องปฏิบัติตามกฎหมายรวมทั้งรักษาระบอบประชาธิปไตยที่เรามีอยู่”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

และไม่เพียง พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น หากแต่ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศก็มีท่าทีที่น่าสนใจเช่นกัน โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีแกนนำของพรรคการเมืองมาขอพบ เช่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย จะขอพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.จะได้หรือไม่ พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า “ถ้าพบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานเราก็ยินดี แต่ต้องการออกห่างจากเรื่องการเมือง และสิ่งใดที่เป็นเรื่องการเมืองก็จะให้ความเห็นลำบาก แต่เราก็ยินดีให้การสนับสนุนทุกพรรคการเมือง ใครมาเป็นรัฐบาลหรือรมว.กลาโหม ก็ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของเรา เราจะปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลตามขอบเขตหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด”

หรือว่า ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว?

กำลังโหลดความคิดเห็น