แม้กระมิดกระเมี้ยนอย่างไรก็ตาม ก็ยังได้เห็นอาการที่เผยออกมาจากปากของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวสายตรงของทักษิณ ชินวัตร ว่าภารกิจหลักของเธอและพรรคเพื่อไทยก็คือ ต้องหาทางทำให้ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิดให้จงได้ ส่วนจะใช้วิธีการแบบไหน ในช่วงเวลาไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อยมาว่ากันอีกที แต่รับรองว่าไม่ช้าไม่นานแน่นอน
แต่การที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายดังกล่าวก็ย่อมหมายความว่า พรรคเพื่อไทยต้องชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล และยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
ขณะเดียวกันหากผลออกมาในลักษณะที่ว่า หากพรรคเพื่อไทยแพ้ หรือชนะมาที่ 1 แต่ไม่มีเสียงข้างมากเด็ดขาด แล้วหาพรรคมาร่วมรัฐบาลเสียงข้างมากไม่ได้ อย่างนี้ก็ต้องป่วน และเชื่อกันว่าคราวนี้จะป่วนแบบยกกำลังสาม แบบฉิบหายวายป่วงกันไปเลย “ประเภทเมื่อกูไม่ได้มึงก็อย่าอยู่เป็นสุข” อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี ก่อนจะไปถึงบทสรุปลงท้ายแบบนั้นก็ต้องมาไล่เรียงลำดับอาการและชี้ให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยและคนที่บงการอยู่ข้างหลัง ซึ่งก็คือ ทักษิณ ว่าเขาคิดอย่างไร
เริ่มจากการตัดสินใจเสี่ยงส่ง “น้องสาวคนเล็ก” คนนี้ออกมายืนแถวหน้าเต็มตัว แบบไม่กลัวเจ็บปวด ทั้งที่จะว่าไปแล้ว คนอย่างยิ่งลักษณ์ นั้นมี “แผล” ไม่น้อยทั้งในเรื่อง “ส่วนตัว” และเรื่องธุรกิจ แต่ในเมื่อมันเป็น “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่ต้องเล่น ก็จำเป็นต้องเสี่ยง ดีกว่าไปพึ่งพาคนนอกเหมือนก่อน ที่ในที่สุดแล้วไม่ได้ดังใจ เสียทั้งเงินและเวลา โดยเปล่าประโยชน์
ดังนั้น เมื่อกดดันทั้งในและนอกสภามาอย่างต่อเนื่อง จนบีบให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องยอมยุบสภาเพื่อเล่นเกมกันใหม่ แต่อย่างไรก็ดีไม่ว่ามองในมุมไหนถือว่า ฝ่ายทักษิณ มีความได้เปรียบอยู่ทุกประตู แต่ความ “ได้เปรียบ” ดังกล่าวมองอีกด้านหนึ่งมันกลับเกิดขึ้นจากการหนุนส่งของรัฐบาล อภิสิทธิ์ และผู้นำกองทัพที่ “ไม่เอาไหน” ขณะเดียวกันหากจะให้หมายรวมถึงกลุ่ม “อำมาตย์” ในความหมายของพวกแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นต้นเหตุทำให้ความหมายของ “โจร-คนถ่อย” กลายเป็น “วีรบุรุษ” หน้าตาเฉย และกำลังจะเข้ามายึดเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
พิจารณาจากการวางตัวผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ที่ต้องเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมเป็นการยืนยันให้เห็นชัดเจนว่า ทักษิณ ให้ความสำคัญกับมวลชนคนเสื้อแดงเป็นหลัก การรักษาพื้นที่ รวมไปถึงไปการขยายพื้นที่รุกคืบออกไปอีกเพื่อประกันความชัวร์เอาไว้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันสิ่งที่ลืมกันไม่ได้ก็คือเป็นการกระชับพื้นที่ “คนใกล้ชิด” ประเภทไว้ใจได้เอาไว้พร้อมสรรพ ซึ่งคนพวกนี้ถูกจัดลำดับเอาไว้ใน “โซนปลอดภัย” ทั้งสิ้น สรุปก็คือ เป็นการยกย่อง-ให้บำเหน็จ-รักษามวลชน-ขยายพื้นที่ พร้อมกันไปในคราวเดียวกัน
เป็นการจัดบัญชีแบบเน้นเฉพาะคนที่มีประโยชน์กับเขาเท่านั้น พวกที่ไม่ลงทุน มาเกาะหากินอย่างเดียว ไม่มีศักยภาพในตัวเอง คนประเภทนี้ก็ต้องมีอันหล่นไปอยู่ในอันดับท้ายๆอย่างที่เห็น
เริ่มจากการวางตัว “หัวโจก” คนเสื้อแดงระดับ “แม่เหล็ก” อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ กับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในอันดับ 8-9 ถือว่าเป็นการยกระดับขึ้นมา “หัวแถว” แซงหน้าแบบพรวดพราด รวมไปถึงระดับแกนนำคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็อยู่ไม่เกินอันดับที่ 50 ซึ่งโอกาสสอบได้มีสูงยิ่ง
อีกคนที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ตอนแรกนึกว่าหลุดวงโคจรออกไปแล้ว กลายเป็นว่ามีชื่ออยู่ในลำดับที่ 3 ขณะที่ “ไม้เบื่อไม้เมา” อย่าง “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หล่นไปอยู่ที่ 6 แม้ว่าจะโอเค แต่เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างคนสองคนมันก็ย่อมเห็นภาพได้ดี เพราะนี่คือการให้ความสำคัญกับเฉลิมมากกว่าก็เป็นเพราะอย่างน้อยลีลาการปราศรัย “เรียกแขก” ทั่วไปได้ดีกว่าแน่นอน
ส่วน เสนาะ เทียนทอง นาทีนี้ก็จำเป็น อย่างน้อยพื้นที่ชายแดน สระแก้ว ปราจีนบุรีก็อาจจะเบาใจได้บ้างมีเวลาไปทุ่มในพื้นที่อื่นๆ แบบไม่ต้องพะวงข้างหลัง และที่น่าจับตาก็คือการ “โปรโมท” พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฉายา “อินทรีอีสาน” ขึ้นมาอย่างผิดสังเกต หวังว่าจะให้ไปคุมโซน “อีสานใต้” ชนกับ “ยี้ห้อย” เนวิน ชิดชอบ ถือว่าน่าจับตา เพราะเหมือนกับเป็นการตรึงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามขยับออกนอกพื้นที่
อีกด้านหนึ่งได้เห็นภาพคนอีกจำพวกหนึ่งที่ถูก “ถีบ” ออกไปอย่างไม่ใยดีก็เห็นจะเป็น รายของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ ที่มักเคยเห็นคุ้นตาในสภาชุดสีกากี คราวนี้หล่นมาอยู่ที่อันดับที่ 100 รวมไปถึง ต่อพงษ์ ไชยสาส์น ที่เคยเป็นถึงประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศ ก็หายไปอยู่ในอันดับที่ 121 โซนสอบตกอย่างน่าเจ็บปวด ซึ่งนี่ยกตัวอย่างเฉพาะที่รู้จักชื่อเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันก็หมายความว่าคนพวกนี้ “ไร้ค่า” ในสายตาของทักษิณ
ดังนั้น ถ้าให้สรุปในภาพรวมยุทธศาสตร์ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นทุกอย่างในพรรคเพื่อไทย ต้องการอาศัยการเลือกตั้งคราวนี้ชนะการเลือกตั้งเข้ามายึดอำนาจรัฐให้ได้ นั่นย่อมหมายความว่าต้องเป็นรัฐบาลสถานเดียวเท่านั้น เห็นได้จากการจัดลำดับบัญชีรายชื่อแบบไม่เกรงใจใคร เน้นเฉพาะคนที่มีประโยชน์ หวังผลด้านมวลชนและคะแนนเสียงเท่านั้น เป้าหมายเพื่อเป็นแรงหนุนให้ นิรโทษกรรม ลบล้างความผิดให้กับเขา เพียงแต่ว่านาทีนี้ยังพยายามซ่อนเร้นวิธีการเอาไว้ก่อน
แต่ถ้าแพ้ ยึดอำนาจรัฐไม่ได้ก็น่าจะเป็นสัญญาณคาดเดากันล่วงหน้าเช่นเดียวกันว่า ต้องป่วน และต้องป่วนให้หนักกว่าเดิมหลายเท่า เอากันแบบให้ “ฉิบหาย” แบบไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย!!