ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - บัดนี้ ก็เป็นที่แน่ชัดพันเปอร์เซ็นต์แล้วว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 3 กรกฎาคม ไม่ว่าผลจะจบออกมาอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้หรือพรรคเพื่อไทยจะชนะ ประเทศไทยก็จะต้องยอมรับว่าที่นายกรัฐมนตรีซึ่งทั้งสองพรรคส่งเข้าประกวด
ถ้าเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ประเทศไทยก็จะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
และในทางกลับกัน ถ้าประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ประเทศไทยก็จะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
ช่างโชคดีเสียจริงๆ ที่นายกรัฐมนตรีคนถัดไปของประเทศไทยมีทั้ง “คนหล่อ” และ “คนสวย” ให้เลือกกันอย่างถูกใจ ถ้าคนหล่อพลาดก็ยังได้คนสวย หรือถ้าคนสวยพลาดก็ยังได้คนหล่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี
เดชะบุญของคนไทย 65 ล้านคนจริงๆ
แต่จะอย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนไทยจะต้องช่วยกันขบคิดก็คือ ความหล่อและความสวยของทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายอภิสิทธิ์นั้น จะช่วยให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่
รวมกระทั่งถึงคำถามสำคัญว่า นัยของชัยชนะของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ได้สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของสังคมไทยในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างไรบ้าง เพราะคะแนนเสียงที่ปรากฏจะกลายเป็นเครื่องมือที่แต่ละพรรคอ้างถึงความชอบธรรมอันจะเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญต่อไป
ก็แค่นายกฯ หุ่นเชิด
แม้ทั้งนายอภิสิทธิ์และ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะได้ชื่อว่า เป็น 2 ตัวเต็งนายกรัฐมนตรีของไทยคนถัดไป แต่คำถามแรกที่เชื่ออย่างยิ่งว่ายังคงวนเวียนในหัวสมองของทุกคนก็คือ ทั้ง 2 คนคือนายกรัฐมนตรีของประเทศที่มีอำนาจอยู่ในมือเต็มที่จริงหรือไม่
เพราะต้องไม่ลืมว่า เบื้องหลังของคนหล่อและคนสวยทั้งสองคนนั้นมี “มือที่มองไม่เห็น" ชักใยกำกับการแสดงอยู่อย่างใกล้ชิด
เบื้องหลังของนายอภิสิทธิ์ก็มี “จรกาหน้าดำ” ที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นคนสั่งให้ซ้ายหันขวาหัน รวมถึงบรรดา “ผู้มีพระคุณ” ที่ส่วนทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายเนวิน ชิดชอบ หรือนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งจะเข้ามากระทำการทั้งหลายทั้งปวง โดยที่นายอภิสิทธิ์มิอาจทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
ขณะที่เบื้องหลังของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีผู้เป็นพี่ชายชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ยืนเป็นเงาทะมึนชี้นิ้วสั่งการจนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้ และการที่พี่ชายตัดสินใจเลือกน้องสาวก็มิได้มีเหตุผลอะไรมากไปกว่า “ความไว้ใจ” ในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือดที่จะนำพาผู้เป็นพี่ชายให้กลับคืนสู่ประเทศไทยอีกครั้ง รวมทั้งสยบทุกมุ้งและทุกความเคลื่อนไหวของปีกต่างๆ ในพรรคเพื่อไทย เพราะการส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าประกวดในครั้งนี้ย่อมมีกระสุนดินดำที่จะสั่งจ่ายให้บรรดา “สัตว์การเมือง” ใน “Animal Farm” อยู่ภายใต้การสนตะพายอย่างยินยอมพร้อมใจเพื่อทำให้เธอเป็น “นายหญิง” คนใหม่ของพรรคอย่างสง่างามสมกับเป็นน้องสาวของนักโทษชายหนีคดีที่ร่ำรวยเงินทองมากมายมหาศาล
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนหรือพรรคเพื่อไทย สุดท้ายชื่อที่แท้จริงของพรรคพรรคนี้ก็ยังคงเป็น “พรรคชินวัตร” เหมือนเช่นเดิม ยิ่งเมื่อมี น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นแม่ทัพหญิงคนใหม่ด้วยแล้ว คำตอบยิ่งมีความชัดเจนในตัวเอง
ด้วยเหตุดังกล่าว การเมืองไทยหลัง 3 กรกฎาคมจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะทั้งนายอภิสิทธิ์และน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นได้แค่เพียง “หุ่นเชิด” ที่รอให้ผู้มีอำนาจตัวจริงชี้นิ้วสั่งการให้ซ้ายหันหรือขวาหันเท่านั้น
คนไทยยังคงวนเวียนอยู่กับนักการเมืองทั้งหน้าเดิมๆ ที่ดีแต่พูดและหาผลประโยชน์เข้าใส่ตัวเองและพวกพ้อง ขณะที่นักการเมืองหน้าใหม่ๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่มิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด
เราจะยอมให้สังคมไทยดำเนินไปในบริบทเช่นนั้นหรือ?
ก็แค่ “ปูแดง” กับ “แมลงสาบ
นอกจากนี้ อีกคำถามที่สำคัญคือ ถ้าหากประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 4 ปีภายใต้การบริหารของทั้ง 2 คน ประเทศไทยจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง
แน่นอน ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยที่มียิ่งลักษณ์เป็นแม่ทัพและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ
สิ่งที่สังคมจะต้องช่วยกันตอบก็คือ ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยกำลังยอมรับกลุ่มคนที่ใช้ความรุนแรง กลุ่มเผาบ้านเผาเมืองว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยมีการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการฟอกความผิดให้กับคนเหล่านั้น ใช่หรือไม่
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่พรรคเพื่อไทยส่งแกนนำคนสำคัญของโจกแดงลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ เช่นนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฯลฯ คือการแสดงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคนเสื้อแดง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนเผาบ้านเผาเมือง มิฉะนั้นแล้วพรรคเพื่อไทยจะไม่มีทางส่งคนเหล่านี้ลงในบัญชีปาร์ตี้ลิสต์โดยเด็ดขาด
สิ่งที่สังคมจะต้องช่วยกันตอบก็คือ ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง หมายความว่าสังคมไทยโดยรวมหรือคนที่ลงคะแนนเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยกำลังให้การยอมรับหรือยกย่องกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบัน ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ไปสู่รัฐไทยใหม่ โดยมีการปกครองในระบอบประธานาธิบดีเช่นนั้นหรือ
สังคมไทยยอมรับในสิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอเช่นนั้นหรือ
เช่นเดียวกับข้อขบคิดที่สำคัญว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง หมายความว่า สังคมไทยและคนไทยกำลังยินยอมให้พรรคพรรคนี้เดินหน้าออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายหนีคดีที่ชื่อ “ทักษิณ” โดยมิได้สนใจในความผิดต่ออาญาแผ่นดินที่เขาก่อกระนั้นหรือ หรือสังคมไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธยเช่นนั้นหรือ
สังคมไทยกำลังจะยอมรับสิ่งที่พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ “ปูแดง” ขีดเส้นให้เดินอย่างยินยอมพร้อมใจเช่นนั้นหรือ
ขณะเดียวกันการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ หรือถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ นอกจากคนไทยจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่มิต่างอะไรจากที่พวกเขากระทำมาในช่วงที่เป็นรัฐบาลแล้ว คนไทยจะต้องตอบคำถามอีกเช่นกันว่า เรากำลังยอมรับสิ่งที่พรรคพรรคนี้ หรือพรรคร่วมรัฐบาลของเขากระทำในช่วงที่เป็นรัฐบาลเช่นนั้นหรือ
สังคมไทยกำลังยอมรับผู้นำที่พิสูจน์แล้วว่า “ดีแต่พูด” และ “ทำงานไม่เป็น” กระนั้นหรือ
หรือสังคมไทยมิได้ไยดีกับปัญหาข้าวยากหมากแพงที่สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง หรือสังคมไทยยินดีกับภาวะน้ำมันปาล์มที่มีราคาแพงชนิดกระเดือกไม่ลงแถมขาดแคลนอีกต่างหาก
หรือสังคมไทยจะยินดีเพียงแค่หน้าตาอันหล่อเหลาของท่านผู้นำ โดยไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่พากันสวาปามผลประโยชน์ ซึ่งมิต่างอะไรกับ “แมลงสาบ” ที่รอจังหวะให้คนเผลอ แล้วก็วิ่งออกมากัดกินเศษอาหารทั้งที่อยู่บนโต๊ะและใต้โต๊ะอาหารกินกันอย่างมูมมาม
และหรือว่าสังคมไทยไม่ได้สนใจว่า พรรคประชาธิปัตย์คือพรรคที่กำลังจะทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรเหนือปราสาทพระวิหาร รวมทั้งดินแดนตลอดแนวชายแดนกัมพูชา (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน “นายกฯ'อภิสิทธิ์' กับ 2 ปีรัฐบาล' และ 7 ผลงานอัปยศ)
ในเมื่อตลอด 2 ปีที่เป็นรัฐบาลยังดีแต่พูด แล้วในการกลับมาครั้งใหม่พรรคพรรคนี้จะทำได้ตามนโยบายสวยหรูที่ประกาศไว้หรือ
นอกจากนี้ คนที่ตัดสินใจเลือกพรรคประชาธิปัตย์ แน่ใจหรือว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง จะถึงกาลอวสานของระบอบทักษิณ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่พรรคพรรคนี้บริหารประเทศ ระบอบทักษิณมิเพียงแต่ไม่ถูกจัดการตามหลักนิติรัฐ หากกลับกลายเป็นเติบใหญ่กลายเป็นพรรคที่ผลโพลทุกสำนักมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า จะสามารถได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรอย่างท่วมท้น
สิ่งเหล่านี้คือโจทย์ใหญ่ที่สังคมจะต้องช่วยกันขบคิดและแสวงหาคำตอบก่อนที่จะตัดสินใจไปลงคะแนนให้พรรคใดในวันที่ 3 กรกฎาคม
เพราะไม่เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ที่กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการเมืองไทย