xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เติ้ง-เนวิน” จับมือไว้ แล้วไป (สู่ที่ชอบที่ชอบ) ด้วยกัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นภาพ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” และ “นายเนวิน ชิดชอบ” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาตัวจริง ที่ยกขบวนแกนนำพรรครัฐมนตรี ส.ส.สมาชิกพรรคและว่าที่ผู้สมัคร มาร่วมหารืออย่างคับคั่งกว่า 100 คน ที่โรงแรมสยามซิตี้ ภายใต้คำขวัญ “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” แล้ว ก็คงจับสัญญาณทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี

เพราะทั้งนายบรรหารและนายเนวินแสดงออกถึงสัญญาณทางการเมืองให้เห็นอย่างชัดๆ ว่า ใครก็ตามที่ชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหรือพรรคเพื่อไทยของ นช.ทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่สามารถมีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ตามลำพังพรรคเดียวได้ พวกเขาคือ “ตัวแปรทางการเมือง” ที่จะชี้ชะตาอนาคตการก้าวขึ้นไปเป็นรัฐบาล

หรือสรุปง่ายๆ ก็คือใครอยากเป็นนายกรัฐมนตรี ใครอยากเป็นรัฐบาล จำเป็นที่จะต้องมางอนง้อพวกเขาให้เข้าร่วมด้วย เพราะพวกเขามั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่มีพรรคได้ ทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยได้คะแนนเสียงจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

นี่คือการเคลื่อนเกมทางการเมืองที่เพิ่มแต้มต่อและเพิ่มราคาทางการเมืองให้กับนายบรรหารและนายเนวินที่ไม่จำเป็นต้องแปลความหมาย ซึ่งนั่นหมายถึงว่า พวกเขาจะสามารถต่อรองเก้าอี้สำคัญๆ ทางการเมือง กระทรวงเกรดเอมาไว้ในกำมือได้

ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปตรวจสอบแถลงการณ์ร่วมที่หัวหน้าพรรคตัวปลอมของทั้ง 2 พรรคคือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูลและนายชุมพล ศิลปอาชาอ่านร่วมกันแล้ว ยิ่งเห็นเจตนารมณ์ร่วมกันที่ชัดเจน

1.พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาจะมุ่งมั่นทำงานการเมืองเพื่อเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ 1.ปกป้องสถาบันสูงสุดของชาติ และสร้างความปรองดองให้แก่คนในชาติ 2. พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาตกลงให้สัจจะวาจาว่านับแต่นี้ไป จะดำเนินการทางการเมืองร่วมกัน มีจุดยืนเดียวกัน 3. หลังการเลือกตั้งทั่วไป ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา จะตัดสินใจทางการเมืองร่วมกัน 

สำหรับแถลงการณ์ข้อ 1 นั้น ต้องบอกว่า เป็นตัวหลอกเพราะมิได้มีนัยอะไร แต่ข้อที่สำคัญคือ ข้อ 2 และข้อ 3 ที่ประกาศเจตนารมณ์ในการเป็น “ขั้วการเมืองขั้วใหม่” ที่ทุกฝ่ายมิอาจไม่ให้ความสนใจ

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าแถลงการณ์ก็คือคำพูดของนายเนวินภายหลังการจัดทำพิธีกรรมว่า “กลับได้แล้ว การจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นแล้ว”

หรือนั่นหมายความว่า นายเนวินมั่นใจว่า ทั้งพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคภูมิใจไทยจะกลับมาเป็นรัฐบาลได้อย่างแน่นอน และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การจับมือครั้งนี้อาจไม่ใช่แค่การเป็นพรรคร่วมธรรมดาๆ หากแต่อาจคิดการใหญ่ถึงขั้นเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นได้

ขณะเดียวกันก็เป็นการเล่นไพ่สองหน้าและเปิดโอกาสทางการเมืองให้กับตัวเองครั้งสำคัญของนายเนวิน ถ้าหากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่งและต้องการพรรคอื่นๆ มาร่วมรัฐบาล เพราะต้องไม่ลืมว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูทางการเมืองที่ถาวร นายบรรหารกับนายเนวินเคยทะเลาะกันจะเป็นจะตาย สุดท้ายก็หันกลับมาจูบปากกันได้ แล้วทำไมนายเนวินที่เคยรับใช้ใกล้ชิด นช.ทักษิณจึงจะไม่สามารถพลิกขั้วกลับไปอยู่ร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้

แม้สายสัมพันธ์ระหว่างนายใหญ่กับหมอผีดูเหมือนจะไม่มีวันบรรจบเข้าหากันได้ด้วยข้อหาทรยศหักหลังที่ผนึกแน่นอยู่ที่หน้าผากของนายเนวิน ดังคำโฟนอินของ นช.ทักษิณที่ประกาศชัดเจนว่า “เลือกพรรคเพื่อไทยได้ทักษิณ เลือกประชาธิปัตย์ได้อภิสิทธิ์ สุเทพ เนวิน แต่เมื่อมีกาวใจชั้นยอดที่ชื่อนายบรรหาร โอกาสที่นายเนวินจะกลับไปคืนดีกับนายเก่าคนเดิมก็มีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นมาในทันที

ยิ่งมองเกมที่นายบรรหารส่ง “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” เดินเกมปรองดองด้วยการคาดฝันเก้าอี้นายกรัฐมนตรีสำรองด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้การผสมพันธุ์กันของทั้ง 3 พรรคคือพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคภูมิใจไทยสามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะนั่นคือการวางแผนปูทางเอาไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม เกมครั้งนี้ถ้าหากจะวิเคราะห์กันในเบื้องลึกแล้ว เชื่อว่า การส่งสัญญาณครั้งนี้ นายบรรหารและนายเนวินน่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นสำคัญ เนื่องจากพวกเขามั่นใจว่า ภาพของนายอภิสิทธิ์น่าจะสามารถขายได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าและเป็นนายอภิสิทธิ์ที่มีเงาทะมึนของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่เหตุที่จำเป็นต้องจับมือกันก็เพราะต้องการเพิ่มพลังต่อรองทางการเมืองในการขอเก้าอี้รัฐมนตรีเกรดเอเหมือนเช่นเมื่อครั้งที่ผ่านมา

ที่สำคัญคือ นายบรรหารและนายเนวินน่าจะพอใจกับภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถทำมาหากินได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น

ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อวิเคราะห์จากคำพูดของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัด เพราะนายสุเทพไม่ได้มีท่าทีที่หนักอกหนักใจแต่การเป็นพันธมิตรของสองอาหลานคู่นี้ แถมยังพูดอย่างมั่นใจด้วยว่า “ผมคิดว่าเราได้ทำงานร่วมกันมา 2 ปี รู้จิตรู้ใจ รู้มือรู้ไม้กันพอสมควร”

ด้วยเหตุดังกล่าว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร การเมืองไทยก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะตัวละครทางการเมืองก็ยังคงเป็นตัวเดิมๆ หน้าเดิมๆ และมีพฤติกรรมเดิมๆ แถมคราวนี้จะยิ่งหนักกว่าครั้งที่ผ่านมาเสียอีก

ดังนั้น จึงไม่อาจกล่าวได้ไปมากกว่าคำว่า “วังเวงประเทศไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น