แม้ท่าทีของบรรหาร-เนวิน และชุมพลกับชวรัตน์ จะเป็นการเมืองแบบเดิมๆ ที่นักเลือกตั้ง รีบสร้างอำนาจการต่อรองไว้แต่เนิ่นๆ ทั้งที่ยังไม่มีการยุบสภา ไม่มีการเลือกตั้ง
แต่ก็ถือเป็นความเก๋าเกมการเมืองของ “เติ้ง-ห้อย” ที่ย่อมรู้ดีว่า การเลือกตั้งรอบนี้ แม้สองขั้วพรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย จะมีเดิมพันการเมืองสูงที่ต้องชนะเลือกตั้งให้ได้ แต่ก็ยากที่สองพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์-เพื่อไทย จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 250 เสียงได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพึ่งเสียงพรรคขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเมื่อดูจากจำนวนส.ส.ของชาติไทยพัฒนากับภูมิใจไทยที่ทั้งอยู่ภายในพรรคและอยู่กับพรรคการเมืองอื่นแต่จะมาอยู่ด้วยในช่วงการเลือกตั้ง เช็คเสียงกันแล้วตัวเลขส.ส.รวมของสองพรรคเขี้ยวนี้อยู่ที่ระดับเกิน 70 คน
เอาแค่ว่า “เติ้ง-เนวิน” รักษาฐานส.ส.ที่มีในมือตอนนี้เอาให้กลับเข้าสภามาได้ในตัวเลขเท่านี้ หรือหากทุ่มหนักได้มากกว่านี้คือสองพรรครวมกันแล้วอยู่ที่ระดับเกิน 80 ที่นั่ง
“เติ้ง-ห้อย” ก็นั่งตีขิม
รอให้ทั้งทักษิณ ชินวัตรและสุเทพ เทือกสุบรรณ วิ่งมาหา แล้วก็ต่อรองขอจิ้มกระทรวงได้เลยว่าอยากคุมกระทรวงไหน จะเอามหาดไทย-คมนาคม-พาณิชย์-เกษตรและสหกรณ์-ท่องเที่ยว อีกรอบก็ได้แน่นอน
เผลอๆ หลายคนประเมินไว้มากกว่านั้น คือภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา สามารถขอเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”มาไว้กับคนสองพรรคนี้ได้ด้วยซ้ำ
เพราะหากเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แล้วไม่ได้เกินกึ่งหนึ่ง โดยตัวเลือกของพรรคอย่างมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ-เฉลิม อยู่บำรุง-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม ทักษิณก็พร้อมยอมยกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้กับพรรคการเมืองอื่นแน่นอน ขอเพียงให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและคุมกระทรวงหลัก ๆอย่างกระทรวงมหาดไทย-กลาโหม-คมนาคม ย่อมดีกว่าจะเป็นฝ่ายค้าน
แต่คนที่ชาติไทยพัฒนา-ภูมิใจไทยจะผลักดันให้เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นพลตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ หรือชวรัตน์ ชาญวีรกูล หลายคนในพรรคยังบอกว่า อาจมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ แต่จะเป็นใคร สองพรรคนี้ยังอุบไต๋เอาไว้ก่อน!
นี่คือความเขี้ยวของบรรหาร-เนวิน-อนุทิน-สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่คงคุยกันหลายรอบแล้วว่า รีบโชว์ตัวจับมือกันเป็นพันธมิตรตอนนี้ มันมีแต่ได้กับได้
ตั้งแต่ในช่วงเลือกตั้ง หากพื้นที่ไหน -จังหวัดไหน การแข่งขันไม่รุนแรงมากนักเช่นส.ส.ของชาติไทยพัฒนาเป็นส.ส.อยู่ และมีโอกาสชนะค่อนข้างสูง ภูมิใจไทยก็พร้อมหลีกทางให้ ไม่ส่งคนที่เป็นตัวแข็งไปลงแข่งเพื่อตัดคะแนน เพื่อให้คนของชาติไทยพัฒนาไปแข่งกับพรรคการเมืองอื่นให้เต็มที่ จะได้มีส.ส.ในมือแบบชัวร์ๆ
หลักการ “หลีกทาง ไม่บี้กันเอง” หากพื้นที่ไหน เนวิน บอกบรรหารว่า พื้นที่นี้ ภูมิใจไทยหวังไว้สูง ตัวผู้สมัครของภูมิใจไทยแข็งกว่าของชาติไทยพัฒนา บรรหาร ก็พร้อมหลีกทางให้เนวิน ด้วยการไม่ส่งตัวแข็งไปลงแข่งจนเกิดการ ตัดคะแนนกันเอง
ฮั้วกันได้อย่างนี้ สองพรรคภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา ก็ไม่ต้องออกแรง-ออกเงินกันให้มาก ยิงกันหนักแต่ผลลัพธ์ไม่คุ้ม
แต่ผลเสียการฮั้วทางการเมืองก็คือ ประชาชนในพื้นที่ก็จะขาดตัวเลือกที่น่าจะมีมากขึ้น สังคมต้องตัดสินกันเอาเอง
การรีบประกาศสัญญาใจสัญญาณโจรทางการเมืองรอบนี้ของเติ้ง-ห้อย จึงเป็นการสร้างอำนาจต่อรองของนักการเมืองในระดับชั้นที่ “มารเรียกพี่”
แต่ก็ถือเป็นความเก๋าเกมการเมืองของ “เติ้ง-ห้อย” ที่ย่อมรู้ดีว่า การเลือกตั้งรอบนี้ แม้สองขั้วพรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย จะมีเดิมพันการเมืองสูงที่ต้องชนะเลือกตั้งให้ได้ แต่ก็ยากที่สองพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์-เพื่อไทย จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 250 เสียงได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพึ่งเสียงพรรคขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเมื่อดูจากจำนวนส.ส.ของชาติไทยพัฒนากับภูมิใจไทยที่ทั้งอยู่ภายในพรรคและอยู่กับพรรคการเมืองอื่นแต่จะมาอยู่ด้วยในช่วงการเลือกตั้ง เช็คเสียงกันแล้วตัวเลขส.ส.รวมของสองพรรคเขี้ยวนี้อยู่ที่ระดับเกิน 70 คน
เอาแค่ว่า “เติ้ง-เนวิน” รักษาฐานส.ส.ที่มีในมือตอนนี้เอาให้กลับเข้าสภามาได้ในตัวเลขเท่านี้ หรือหากทุ่มหนักได้มากกว่านี้คือสองพรรครวมกันแล้วอยู่ที่ระดับเกิน 80 ที่นั่ง
“เติ้ง-ห้อย” ก็นั่งตีขิม
รอให้ทั้งทักษิณ ชินวัตรและสุเทพ เทือกสุบรรณ วิ่งมาหา แล้วก็ต่อรองขอจิ้มกระทรวงได้เลยว่าอยากคุมกระทรวงไหน จะเอามหาดไทย-คมนาคม-พาณิชย์-เกษตรและสหกรณ์-ท่องเที่ยว อีกรอบก็ได้แน่นอน
เผลอๆ หลายคนประเมินไว้มากกว่านั้น คือภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา สามารถขอเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”มาไว้กับคนสองพรรคนี้ได้ด้วยซ้ำ
เพราะหากเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แล้วไม่ได้เกินกึ่งหนึ่ง โดยตัวเลือกของพรรคอย่างมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ-เฉลิม อยู่บำรุง-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม ทักษิณก็พร้อมยอมยกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้กับพรรคการเมืองอื่นแน่นอน ขอเพียงให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและคุมกระทรวงหลัก ๆอย่างกระทรวงมหาดไทย-กลาโหม-คมนาคม ย่อมดีกว่าจะเป็นฝ่ายค้าน
แต่คนที่ชาติไทยพัฒนา-ภูมิใจไทยจะผลักดันให้เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นพลตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ หรือชวรัตน์ ชาญวีรกูล หลายคนในพรรคยังบอกว่า อาจมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ แต่จะเป็นใคร สองพรรคนี้ยังอุบไต๋เอาไว้ก่อน!
นี่คือความเขี้ยวของบรรหาร-เนวิน-อนุทิน-สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่คงคุยกันหลายรอบแล้วว่า รีบโชว์ตัวจับมือกันเป็นพันธมิตรตอนนี้ มันมีแต่ได้กับได้
ตั้งแต่ในช่วงเลือกตั้ง หากพื้นที่ไหน -จังหวัดไหน การแข่งขันไม่รุนแรงมากนักเช่นส.ส.ของชาติไทยพัฒนาเป็นส.ส.อยู่ และมีโอกาสชนะค่อนข้างสูง ภูมิใจไทยก็พร้อมหลีกทางให้ ไม่ส่งคนที่เป็นตัวแข็งไปลงแข่งเพื่อตัดคะแนน เพื่อให้คนของชาติไทยพัฒนาไปแข่งกับพรรคการเมืองอื่นให้เต็มที่ จะได้มีส.ส.ในมือแบบชัวร์ๆ
หลักการ “หลีกทาง ไม่บี้กันเอง” หากพื้นที่ไหน เนวิน บอกบรรหารว่า พื้นที่นี้ ภูมิใจไทยหวังไว้สูง ตัวผู้สมัครของภูมิใจไทยแข็งกว่าของชาติไทยพัฒนา บรรหาร ก็พร้อมหลีกทางให้เนวิน ด้วยการไม่ส่งตัวแข็งไปลงแข่งจนเกิดการ ตัดคะแนนกันเอง
ฮั้วกันได้อย่างนี้ สองพรรคภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา ก็ไม่ต้องออกแรง-ออกเงินกันให้มาก ยิงกันหนักแต่ผลลัพธ์ไม่คุ้ม
แต่ผลเสียการฮั้วทางการเมืองก็คือ ประชาชนในพื้นที่ก็จะขาดตัวเลือกที่น่าจะมีมากขึ้น สังคมต้องตัดสินกันเอาเอง
การรีบประกาศสัญญาใจสัญญาณโจรทางการเมืองรอบนี้ของเติ้ง-ห้อย จึงเป็นการสร้างอำนาจต่อรองของนักการเมืองในระดับชั้นที่ “มารเรียกพี่”
นกหวีด