xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เติ้ง-ห้อย-สุวัจน์ “จ้องผสมพันธุ์” !

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงได้รู้เช่นเห็นชาติกันแล้วว่า สันดานนักการเมืองนั้น “ดูถูก” ประชาชนขนาดไหน เพราะขนาดยังไม่ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง แต่บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองต่างก็แบะท่า “ขอผสมพันธุ์” แบ่งสันปันส่วน “อำนาจและผลประโยชน์” ในการร่วมรัฐบาลล่วงหน้ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่รวมหัวกันเพื่อต่อรองกับพรรคใหญ่คือ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” เพื่อหวังเข้าร่วมรัฐบาล ขณะเดียวกันหากได้จังหวะก็จะฉวยโอกาสผลักดันคนของตัวเอง “ต่อยอด” ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ เพราะว่าพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กเหล่านี้ต่างก็รู้ดีว่าอย่างไรเสียสองขั้วใหญ่ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” ก็ต้องพึ่งพาเสียงของบรรดา “พรรคใบเฟิร์น” พรรคไม้ประดับในการจัดตั้งรัฐบาลอยู่แล้ว ดังนั้น, พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กจึงออกมาเคลื่อนไหว เพื่อเป็นตัวกำหนดอนาคตของพรรคใหญ่ หรืออาจเรียกได้ว่าร่วมกำหนด “โฉมหน้ารัฐบาล” ใหม่อยู่ในขณะนี้

โดยมีการวางหมากเกมการเมืองไว้อย่างเสร็จสรรพ เป็นขั้นเป็นตอน และเล่นสอดประสานกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้พรรคและพวกของตัวเองได้เพิ่มแต้มต่อ และมีอำนาจต่อรองในการเป็นพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล

เริ่มจาก ปลาไหลเขี้ยวโง้ง “บรรหาร ศิลปอาชา” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ออกมาเปิดเกม “เขี่ยลูก” ด้วยการพูดดักคอและเตะสกัดขา “นารีขี่ม้าขาว” กรณี “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่คนในพรรคเพื่อไทยเกิดอุปาทานหมู่ว่าจะเป็น “นารีขี่ม้าขาว” มาเป็นนายกฯ บริหารบ้านเมือง และช่วยให้ประเทศไทยเกิดความสันติสุข ว่า “ระวังนารีจะตกม้าขาว” และกล่าวสำทับเพิ่มเติมว่า “การที่คุณยิ่งลักษณ์ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทย จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเปล่า วันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ อาจจะไม่ได้เป็นก็ได้ อาจจะให้คนอื่นเป็นก็ได้” ปลาไหลเฒ่ากล่าวไว้อย่างนั้น

ถัดจากนั้นมาไม่นาน หมอผีบุรีรัมย์ “เนวิน ชิดชอบ” เจ้าของพรรคภูมิใจไทย ก็ออกมารับลูกจากปลาไหลเฒ่า ด้วยการทำนายทายทักแบบฟันธงว่าทั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 นัยว่าเพราะไม่อาจฝืนกระแสสังคมที่ต้องการ “ความปรองดอง”

นั่นคือลีลาเลื้อยลากและสลับขาหลอกของจอมเก๋า-เจ้าของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ พีอีเอ ที่เล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดีกับ “บรรหาร ศิลปอาชา” ปลาไหลเขี้ยวโง้ง ที่ล่าสุด ก็รีบออกมารับลูก ฉวยจังหวะดันหลัง “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาของตัวเอง ขึ้นแท่น “นายกฯ ปรองดอง” ทันที !

โดยรูปเกมนี้สอดคล้องกับการเดินเกม “ปรองดอง” ของเสธ.หนั่นที่ก่อนหน้านี้เดินสายพบแกนนำพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแกนนำเสื้อเหลือง, เสื้อแดง รวมถึงการที่ เสธ.หนั่น ที่มีตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เดินทางไปหา นช.ทักษิณ ที่นอร์เวย์ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับ บรรหาร ศิลปอาชา งานนี้ถือว่า “ออกตัวแรง” และส่งเสียงดังผิดปกติ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการ “นิรโทษกรรม” ลบล้างความผิดให้กับตัวเอง ถึงกับยื่นข้อเสนอกลายๆ กันล่วงหน้าไม่ว่าจะร่วมกับใครเป็นรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการต่อให้สำเร็จเป็นลำดับต้นๆ พร้อมทั้งได้ “ตบหัว” ต่อว่านายอภิสิทธิ์ ว่า ไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครั้งมาขอเสียงสนับสนุนเป็นรัฐบาล แต่กลับ “ลูบหลัง” ชม “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ว่าเป็นเพียงคนเดียวที่พูดรู้เรื่อง เอาอย่างไรก็เอาด้วยกัน จนถึงกับมีคำพูดที่ “ช็อก” คนไทยทั้งประเทศว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี!

แต่ทั้งนี้ ก็มีคำพูดแปลกๆ จาก “ปลาไหลเฒ่า” ทำนองที่ว่าหากพรรคใหญ่ 2 พรรคไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ พรรคชาติไทยพัฒนา หนึ่งในพรรคขนาดกลาง ก็พร้อมเป็นคนกลางในการตั้งรัฐบาลแทน

แปลจากภาษาปลาไหล เป็นภาษาไทยได้ว่า หากในที่สุดแล้วพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีพรรคไหนได้คะแนนเกินครึ่ง หรือ 250 เสียงขึ้นไป งานนี้พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กจึงคิดการใหญ่ ด้วยการสร้างสูตร “ขั้วที่ 3” คือชาติไทยพัฒนาจับมือภูมิใจไทย เดินสายรวบรวมเสียงพรรคขนาดเล็กให้ได้เกิน 100 เสียงขึ้นไป ก่อนเสนอเงื่อนไขตั้งรัฐบาล 300 เสียง ด้วยข้ออ้างให้รัฐบาลมีเสถียรภาพที่แข็งแกร่ง โดยมี “นายกฯ ปรองดอง” ชื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์

แต่พูดตามความเป็นจริง สูตรนี้มันดู “จินตนาการ” เกินไป คงเป็นไปได้ยาก และสุดท้ายคงหนีไม่พ้นกลับมา “จ้องผสมพันธุ์” กันเหมือนเดิม

เพราะขณะเดียวกัน "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ก็ให้สัมภาษณ์เปรียบตัวเองเป็น “หินเขียวรองแจกัน” หากมีโอกาสร่วมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย

เช่นเดียวกับ "พรรคภูมิใจไทย" ที่ประกาศบนเวทีหาเสียงพร้อมจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทย แม้จะถูก "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ตอกกลับเปรียบ "พรรคภูมิใจไทย" เป็น "แจกันจะขว้างทิ้งทันที" แต่คำพูดของโจกแดงจะมีน้ำหนักอะไร และถึงแม้ว่าล่าสุด พรรคเพื่อไทยจะออกแถลงการณ์ไม่ร่วมสังฆกรรมกับภูมิใจไทยเด็ดขาด แต่อย่างน้อยที่สุด ก่อนหน้านี้หลายคนก็ได้เห็นลีลาของนายหญิง “ยิ่งลักษณ์” ที่แบะท่าแบบ แวบๆ ประมาณว่า ไม่ได้รังเกียจพรรคภูมิใจไทยของยี้ห้อยร้อยยี่สิบ และยินดีที่จะร่วมรัฐบาลด้วยกัน หมายความว่า ไม่ว่าพรรคไหนก็ตามก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะเป้าหมายสูงสุดก็คือต้องการเป็นรัฐบาล ขึ้นอยู่กับว่าสามารถชิงเหลี่ยมเอาชนะฝ่ายตรงข้ามเข้ามาได้หรือไม่

อย่าเพิ่งไปแน่ใจอะไร เพราะเลือกตั้งยังไม่เสร็จ การตั้งรัฐบาลก็ยังไม่ได้เริ่มต้น และที่สำคัญ การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น !

แต่ที่แน่ๆ มาจนถึงวันนี้ แม้จะยังไม่ทราบผลการเลือกตั้ง แต่ก็เริ่มมีการจับขั้วทางการเมืองกันแล้ว และดูเหมือนว่า "พรรคชาติไทยพัฒนา" และ "พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน" ที่มี "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" เป็นเหมือนแกนนำผู้กำหนดทิศทางในพรรค จะเป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ เพราะโดยชื่อชั้น "บรรหาร" และ "สุวัจน์" นั้นต่างก็รู้กันว่าไม่เคยเป็นฝ่ายค้านนาน จนได้ฉายา "ปลาไหลใส่สเก็ต" และ "เสียบเพื่อชาติ"

“ผมมองวันนี้ว่าพรรคใหญ่รวมกัน 400 เสียง พรรคเล็กรวมกัน 100 เสียง หมายความว่า 2 พรรค 400 เสียง ส่วนอีก 5-6 พรรครวมกัน 100 เสียง จะไหลอะไรกันก็ไหลในกลุ่มนั้น สมมุติพรรคใหญ่ได้ 400 อาจจะออกมาแบบ 200-200 ก็ได้ หรือ 220-180 หรือ 240-160 ถ้าใครไปถึง 250 อีกฝั่งก็เหลือ 150 ก็จะไหลกันอยู่แบบนี้

“ส่วนพรรคเล็กก็จะไหลกันอยู่ในกลุ่ม 100 เสียง ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีก 1 เดือน อาจจะมีสงครามมาร์เก็ตติ้ง (การตลาด) ก็ต้องดูว่าแต่ละพรรคจะเลือกใช้ยุทธศาสตร์อะไร แต่ยอมรับเลยว่าพรรคเล็กเหนื่อย เพราะยิ่งนานวันกระแสพรรคใหญ่ก็ยิ่งมากขึ้น ส่วนพรรคเล็กก็ต้องกลับมารักษาฐานที่มั่น เฝ้าบ้านเฝ้าถ้ำกันให้ดี ของมีอยู่น้อยแล้ว อย่าให้ใครมาฉกไป” สุวัจน์ ถอดสมการรัฐบาลในใจ ให้ดู

นั่นเป็นความเคลื่อนไหวและบรรยากาศการเมืองในยามนี้ ที่นักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งหลายที่หากินอยู่กับการเมืองต่างออกมาเสนอหน้า เสนอความคิดเห็น ทั้งที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์เกี่ยวข้องกับการเมือง และที่สำคัญเป็นการแสดงออกที่ “ไร้มารยาท” เพราะนอกเหนือจากเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการดูถูกชาวบ้าน อย่างที่ไม่สมควรให้อภัยอีกด้วย เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าเวลานี้ยังเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นหาเสียง ยังไม่มีการโหวตลงคะแนนว่าจะให้ใครมาเป็นตัวแทน ยังไม่รู้ว่าใครจะได้กี่เสียง หรือไว้วางใจให้ใครเข้ามา แต่คนพวกนี้ก็ไม่เคยสนใจเลยว่า “ประชาชน” จะรู้สึกอย่างไร

ดังนั้น, จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นักการเมืองไทย และพรรคการเมืองไทยในวันนี้มองประชาชนเป็นแค่ “เครื่องมือเลือกตั้ง” มีหน้าที่เพียงหย่อนบัตรลงคะแนนเพื่อให้พรรคและพวกเขาเข้ามากุมอำนาจรัฐ ดูจากการประดิดประดอยถ้อยคำหาเสียงสวยหรู และชูนโยบายเพ้อฝันต่างๆ นานาที่ไม่สามารถทำได้จริงหลังจากที่พวกเขาได้เข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะหลังจากนั้นพวกเขาก็ลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชน กลายเป็น ส.ส. ที่ “ความจำสั้น แต่สันหลังยาว” เหมือนอย่างที่เคยเป็นมายังไง มันก็จะยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น...
กำลังโหลดความคิดเห็น