xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองสู้กัน 2 พรรคใหญ่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

3 ก.ค. 2554 เลือกตั้งชี้ชะตาประเทศไทย การเมืองยามนี้คึกคักเป็นพิเศษ ฝุ่นควันตลบอบอวลไปทุกหย่อมหญ้า นักการเมืองตระเวนเดินสายลงพื้นที่หาเสียงทั่วประเทศ ท้องไร่ทุ่งนาที่เคยเงียบเหงา สงัดวังเวง วันนี้เต็มไปด้วยเสียงเพลง เสียงโทรโข่ง เสียงปราศรัย

ทุกพรรคการเมืองต่างเข็นนโยบาย โพนทะนาบอกชาวบ้านจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้หากได้รับการเลือกตั้ง ถ้าประเทศไทยเป็นอย่างนี้ตลอดไป มีคนเอาใจใส่ชาวบ้านเหมือนเช่นช่วงเลือกตั้งคงจะดีไม่น้อย

ไม่ใช่เลือกตั้งเสร็จแล้วก็หายหัว ไม่สนใจชาวบ้านเหมือนอย่างเคยๆ มา

อย่างไรก็ตาม สำหรับการหาเสียงของแต่ละพรรคการเมืองในช่วงโค้งแรกของการเลือกตั้งนี้ จะสังเกตเห็นว่าพรรคการเมืองที่เป็นพรรคใหญ่จะเน้นลงพื้นที่ฐานเสียงที่แข็งแกร่ง แน่นหนาของตัวเองก่อน เพื่อรักษาฐานคะแนน

พื้นที่ใดที่กระแสตัวเองแรง หรือมีผู้สมัครที่ฐานเสียงแข็งแรง จะเข้าไปก่อนอันดับแรก นัยหนึ่งก็เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นเจ้าของพื้นที่ และอีกนัยหนึ่งเพื่อสร้างความฮึกเหิม สร้างขวัญกำลังใจก่อนออกสู้ศึก เหยียบถิ่นดินแดนศัตรู

พรรคเพื่อไทย นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม่ลูกหนึ่ง โคลงนิ่ง นช.ทักษิณ ชินวัตร ตะลุยพื้นที่ภาคเหนือ ต่อเนื่องอีสาน ซึ่งเป็นเครือข่ายฐานอำนาจ ผนวกเครือข่ายคนเสื้อแดง ที่ให้ตายอย่างไรก็ต้องเลือก

พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลงละเมอว่าคนเมืองหลวงยังรัก ศรัทธา ตระเวนเดินสายถี่ยิบ โดยเฉพาะแหล่งชุมชนเมือง ชนชั้นกลาง ชั้นสูง

ขณะที่พรรคขนาดกลาง เช่น ภูมิใจไทย ของ เนวิน ชิดชอบ ก็ตะลุยพื้นที่อีสานตอนล่าง ขุมข่ายอำนาจที่แผ่กระจายมาจากบุรีรัมย์ พรรคชาติไทยพัฒนา ของ บรรหาร ศิลปอาชา ก็ต้องเน้นพื้นที่ภาคกลาง สุพรรณบุรี อ่างทอง แถวๆ นั้น

ส่วนพรรคเล็ก หรือพรรคเกิดใหม่ เช่น พรรครักษ์สันติ ของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ พรรครักประเทศไทย ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หรือ พรรคกิจสังคม ของ สุวิทย์ คุณกิตติ ซึ่งไม่มีฐานเสียง ไม่มีฐานส.ส.เดิมมาก่อน เลือกใช้วิธีหาเสียงที่กรุงเทพฯ และตามหัวเมืองใหญ่ เพื่อหวังผลคะแนนส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

พรรคเล็กพรรคน้อยเหล่านี้ ส่งผู้สมัคร ส.ส.เขตลงเป็นจุดๆ แบบเบาบาง โดยไม่คาดหวังว่าจะได้ ส.ส.ระบบเขต หวังเพียงให้มีชื่อติดป้ายติดประกาศ ให้รู้ว่ามีตัวตนอยู่ แล้วไปเน้นขายหัวหน้าพรรค แกนนำพรรค เพื่อหวังผลคะแนนปาร์ตี้ลิสต์เพียงอย่างเดียว

ซึ่งระบบการเลือกตั้งแบบใหม่นี้ ก็เอื้อให้พรรคเล็กมีโอกาสแจ้งเกิด มีโอกาสสอดแทรกเข้ามา ด้วย ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์

นักการเมืองบางคนที่หลบอยู่ในซอกหลืบ จึงออกมาโชว์หน้าเปิดตัว เพราะมองเห็นโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะมีที่ยืนบนเวทีการเมือง

อย่างไรก็แล้วแต่ สนามเลือกตั้งคราวนี้จะเป็นการวัดอนาคตประเทศไทย โดย 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

พรรคขนาดเล็ก ขนาดกลาง ที่เที่ยวออกมาป่าวประกาศว่าจะเป็นทางเลือกที่ 3 จะเป็นทางเลือกพิเศษในสถานการณ์จำเป็น นายกฯคนถัดไปอาจจะอยู่ในพรรคเหล่านั้น มันคงเป็นเพียงการปั่นกระแส สร้างราคา พยายามเชื่อมโยงสถานการณ์ที่ยังมั่วๆ ฝุ่นตลบในประเทศไทย เข้ามาผสมโรงให้เข้าทางตัวเอง พยายามเพิ่มเก้าอี้ ส.ส.มากกว่า

ไม่ต้องคิดอื่นไกล ถ้าเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่บีบรัดจนเกินไป พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย ที่เป็นตัวเต็งจะได้เสียงมาอันดับ 1 จะยอมยกตำแหน่งนายกฯให้กับพรรคการเมืองที่ได้ส.ส.มาเพียงจำนวนหนึ่ง หรือเพียงหยิบมืออย่างนั้นหรือ ในขณะที่ตัวเองได้ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 มาเป็นกอบเป็นกำ

ความเฮี้ยวของพรรคประชาธิปัตย์ แวดวงการเมืองย่อมรู้กันดี มีหรือจะให้ใครมาเหยียบจมูก ข้ามหัวให้มีอำนาจเหนือตัวเอง แบบค้านความรู้สึก ต้องทะเลาะทุ่มเถียงจนเป็นอันไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลกันแน่ หรือแม้หากเป็นรัฐบาลในรูปแบบนี้ได้จริงๆ เชื่อขนมกินได้เลยไม่นานก็พังพาบด้วยเกมป่วน ของถนัดของเซียนการเมืองของค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม

เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย เครือข่ายคนเสื้อแดง หากปล่อยให้ใครก็ตามแต่ มาชุบมือเปิดหยิบตำแหน่งนายกฯไป ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ทุ่มใจ ทุ่มคะแนนให้เต็มที่ มีหวังเดือดดาล จนต้องเคลื่อนไหวใหญ่ทั่วประเทศออกมาเผาบ้านเผาเมืองเป็นจุณอีกคำรบแน่

เหตุการณ์ความวุ่นวายปั่นป่วนที่เคยหลอกหลอนคนไทยคงได้กลับมาอีกครั้งเป็นแน่แท้

นอกจากนั้น “ทักษิณ” นายใหญ่เจ้าของเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ระหกระเหินหนีคดีบัญชาการอยู่แดนไกล ที่มีเดิมพันสุดท้ายกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน จะยอมยกตำแหน่งนายกฯให้ใครก็ไม่รู้ ซึ่งไม่สามารถคาดหวังได้เลยว่าจะสานฝันภารกิจกลับมาตุภูมิ ด้วยการผลักดันทำให้จริงจังมากน้อยแค่ไหน อย่างนั้นหรือ?

ฉะนั้นแล้ว ประเทศไทยน่าจะเหลือพรรคการเมืองหลักเพียง 2 พรรค เป็นการเมือง 2 ขั้ว การเมืองอาจเปลี่ยนรูปแบบที่เหลือเพียง 2 ขั้วใหญ่ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ การเมืองแบบนี้เป็นสิ่งที่ใครหลายคนถวิลหา แต่ก็ใช่ว่ามี 2 พรรค 2 ขั้วแล้วจะได้การเมืองที่มีมาตรการสูงอย่างประเทศอื่น

เพราะวัฒนธรรมการเมืองไทยยังตกอยู่ในปลักโคลนเดิมๆ ที่เข้ามาทำงานการเมืองด้วยความหื่นกระหายแสวงอำนาจเพื่อนำมากอบโกยประโยชน์ รวบรวมกันมาเป็นหมู่คณะ เป็นก๊วน แก๊ง เอาแต่บริหารจัดการ “การเมือง” เป็นหลัก บริหารประเทศเป็นรอง ประชาชนตาดำๆ จึงได้อรรถประโยชน์ไม่เต็มที่แต่กลับต้องแบกภาระไว้อย่างหนักกันทั่วหน้าหลังที่นักการเมืองเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองผ่านไปชุดแล้วชุดเล่า

เมื่อไม่มีตัวเลือกที่ดี แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ยังมีช่องทางเปิดรออยู่อีกด้านที่จะหนีออกจากวงจรอุบาทว์ นั่นก็คือเข้าคูหากาช่องไม่ประสงค์จะเลือกใคร หรือ “โหวตโน” เพราะเลือกประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นไป ก็ไม่ชนะเพื่อไทย เสียคะแนนไปเปล่าๆ ถ้า “โหวตโน” กันมากๆ ก็จะกลายเป็นคลื่นใหญ่เป็น “อำนาจต่อรอง” ให้พลังประชาชนที่จะหยุดความชั่วของนักการเมืองได้แน่
กำลังโหลดความคิดเห็น