สนามเลือกตั้งคราวนี้มีความกระตือรือร้น หรืออาจจะถึงขั้นกระเหี้ยนกระหือรือจากพรรคขนาดกลางมากเป็นพิเศษ เรียกว่าออกอาการมากกว่า 2 พรรคใหญ่ที่เป็นคู่แข่งขันกันด้วยซ้ำไป
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไม่ปกติ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น หลายคนเลยเปลี่ยนนนามสกุลตัวเองมาเป็น “แซ่หวัง” กันหมด เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใครๆ ก็อยากนั่งเพื่อเป็นเกียรติประวัติท้ายชื่อว่าเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว
แต่สิ่งที่คนเหล่านี้ลืมไป คือ เก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการนำพาประเทศฟันฝ่าวิกฤตความขัดแย้ง นำการเมืองเข้าสู่ระบบ เพื่อให้เกิดความสงบเป็นปกติสุขอย่างแท้จริง
ซึ่งสำนึกเหล่านี้คงไม่มีอยู่ในหัวสมองของบรรดานักเลือกตั้ง “แซ่หวัง” ทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็น “ชาละวันฝันค้าง” อย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หรือแม้แต่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ก็ยังอดแอบฝันไม่ได้ แม้จะเคยพลาดไปแพ้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสภามาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม
รวมทั้ง ร.ต.อ.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ก็ได้รับข้อเสนอจาก เนวิน ชิดชอบ ว่าไม่ต้องทำอะไรมาก เอาตัวรอดเป็น ส.ส.ให้ได้ ก็จะประเคนตำแหน่งนายรัฐมนตรีให้
โดยลืมคิดไปว่าคนกรุงเทพฯ ไม่โง่ ดังนั้น แม้แต่ตำแหน่ง ส.ส. ร.ต.อ.ปุรชัยก็อาจไม่มีโอกาสสัมผัสก็เป็นไปได้ จะหวังอะไรถึงขั้นนายกรัฐมนตรี
ในยามที่การตัดสินใจของประชาชนยังไม่ตกผลึกว่าจะกำหนดอนาคตไปในทิศทางไหน กระแสต่อต้านทักษิณ และการนิรโทษกรรมใช้อำนาจนิติบัญญัติล้มล้างอำนาจตุลาการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองได้ตัดสินไปแล้ว ก็ยังไม่แรงอย่างที่คิดว่าคนไทยจะออกมาร่วมต้านพรรคการเมืองเผาบ้านเผาเมือง ลงโทษ คนทรยศอย่างทักษิณ ชินวัตร ที่นอกจากหนีคุกไปอยู่ต่างประเทศ ยังถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท จากทรัพย์ที่ปล้นไปให้กลับมาเป็นของแผ่นดิน
แถมยังพ่นน้ำลายให้ร้ายประเทศไทยกับสื่อต่างชาติว่าไทยรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ก็จินตนาการได้เลยว่าไทย-เขมร ปรองดองด้วยการยกดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารให้กับฮุน เซน และผลประโยชน์อื่นๆ ที่จะเอาทรัพยากรชาติไทยไปแปรเป็นประโยชน์ส่วนตนของตระกูลชินวัตร
ส่วนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพรรคประชาธิปัตย์ ก็หวังจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลอีกรอบ พยายามเดินหาเสียงออดอ้อนอวดอ้าง ขอโอกาสกลับเข้าไปสานต่อนโยบายของเก่าที่คั่งค้างอยู่ว่า วันแรกเดินหน้าต่อยอดทำงานได้เลย แต่ประชาชนก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมสองปีเศษที่ให้โอกาสแล้ว ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ทำ ดีแต่พูด มั่วการทุจริตคอร์รัปชันกันฉาวโฉ่ จนบ้านเมืองจะพังพินาศอยู่แล้ว ยังหน้าด้านจะขอกลับเข้าไปบริหารประเทศชาติอีก
ประชาชนเลยรับไม่ได้ ปวดขมองกุมขมับเพราะในการเลือกตั้งคราวนี้ไม่รู้จะเลือกใครดี เลือกเพื่อไทยก็จะเอาทักษิณกลับบ้าน ประชาธิปัตย์ก็ห่วยแตก จึงมีกระแส “โหวตโน” แรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองภาคประชาชนให้มีพลังเหมือนคลื่นสึนามิ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงปฏิรูปการเมืองไทย เอาการเมืองออกจากวงจรอุบาทว์ในมือนักการเมืองชั่ว!
แม้ว่าจะมีความชัดเจนในการชิงชัยระหว่างสองพรรคใหญ่ อย่างเพื่อไทย กับประชาธิปัตย์ แต่การเมืองที่ยังเป็นเรื่องของคณิตศาสตร์ ตัวเลข และการจัดสูตรรัฐบาล จึงทำให้พรรคขนาดกลาง กระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ เพราะเล็งว่ามีอำนาจต่องรองสูงกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา
ขนาด บรรหาร ศิลปอาชา หรือ “เติ้งห้าสั้น” ยังเก็บอาการไม่อยู่ ประกาศพร้อมเป็นใบเฟิร์นประดับแจกันให้กับพรรคเพื่อไทย และสนับสนุนให้ “เสธ.หนั่น” เป็นนายกรัฐมนตรีปูดอง ซึ่งหากพิเคราะห์แล้ว จะเห็นว่าเรื่องนี้ดำเนินการกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เริ่มตั้งแต่มีโทรศัพท์จากแดนไกลถึง “เสธ.หนั่น” พร้อมเสนอแผนแรกให้เป็นนายกฯ ขัดตาทัพหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ ส่วนขั้นที่สองนั้นทักษิณวางแผนอ้างความปรองดอง กำหนดเรื่องการนิรโทษกรรมเอาไว้เป็นนโยบาย เพื่อใช้ประชาชนเป็นข้ออ้างว่าต้องการให้มีการนิรโทษกรรมเพื่อความสงบของบ้านเมืองผ่านการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ซึ่งทักษิณ เชื่อว่า เขาจะชนะ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าบุคลากรในพรรคตัวเองจะถูกกระแสต่อต้านมากน้อยแค่ไหน จึงเสนอแผนสองไว้กับ “เสธ.หนั่น” ว่า
หากพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้ แต่กระแสคัดค้านยังมีต่อเนื่องก็จะให้ “ตาอยู่” อย่าง พล.ต.สนั่น ซึ่งเดินเกมปรองดองล่วงหน้ามาแล้วเกือบปี เป็นนายกรัฐมนตรีในวัยใกล้ลงโลง และทักษิณ ก็ประกาศตัวแบบเปิดหน้าชกว่า เขาจะต้องเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมเพื่อความปรองดองครั้งนี้ด้วย
จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่มีรูป เสธ.หนั่น เสนอหน้าขอเป็นคนสร้างความปรองดองเต็มกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังไม่มีการเลืกตั้ง เมื่อปี่กลองเชิด มีการยุบสภา การหาเสียงของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ประหลาดกว่าพรรคอื่น เพราะมีการติดป้ายโชว์รูป พล.ต.สนั่น ซึ่งเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ลำดับสองของพรรค พร้อมสโลแกนปูดองเต็มกรุงเทพฯ เรียกว่ามากกว่าภาพ ชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคนอมินีของพี่ชายเติ้ง ซึ่งมีรายชื่อลำดับ 1 ในปาร์ตี้ลิสต์ของพารคชาติไทยพัฒนาเสียอีก
แถมพี่ชายที่กำลังตายซากทางการเมือง สุขภาพย่ำแย่ถึงขั้นต้องใช้ไม้เท้าก็ยังแผลงฤทธิ์พ่นพิษปลาไหลไม่เลิก พูดออกมาโต้งๆ ว่า “ไม่อยากได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ เพราะทำงานด้วยยาก และเสนอให้อภิสิทธิ์ปรับปรุงตัว” ประกาศชัดเจนว่า พร้อมยืนฝั่งทักษิณ เพราะตัวเองก็จะได้ประโยชน์จากการนิรโทษกรรมกันทั้งตระกูล
แต่ก็ถูกสวนกลับจากอภิสิทธิ์ คนทำงานด้วยยากว่า ไม่ตามใจเพราะหลายเรื่องโครงการของพรรคร่วมรัฐบาลถูกครหาไม่โปร่งใส จึงไม่ปล่อยผ่าน โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เพื่อให้ตระกูลศิลปอาชา ออกจากโทษแบนการเมืองมาแสวงประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินเร็วขึ้น ซึ่งก็แฉชัดว่า ขอมาแต่ไม่ทำ เพราะคนเป็นผู้นำประเทศไม่ควรแก้กฎหมายเพื่อให้ตัวเองหลุดคดี ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะถูกยุบพรรคหรือไม่
การเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ จึงเป็นวันสำคัญที่คนไทยควรจะได้กำหนดทิศทางประเทศ ตัดหางปลาไหล และบรรดาสัตว์การเมืองทั้งหลายไม่ให้เข้าสภา ต้อง “โหวตโน” เท่านั้น
อยากให้ประเทศเดินทางไหนอำนาจอยู่ในมือท่านแล้ว ใช้สิทธิให้เต็มที่ กำหนดชะตากรรมบ้านเมืองด้วยตัวเราเอง อย่าปล่อยให้ความกระสันของเสธ.หนั่น ซึ่งเคยประกาศว่าไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มาวันนี้หางโผล่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีปูดอง โดยไม่คิดดูสารรูปตัวเองว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ซะงั้น
คนที่กลับคำพูดโดยไม่รู้สึกละอายใจ ก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่หวังสูง ถ่มน้ำลายรดฟ้า สุดท้ายน้ำลายสกปรกก็ตกใส่หน้าตัวเอง แถมผู้คนจะถ่มถุยไล่หลังการจบชีวิตการเมืองที่ก้าวข้ามความอยากทางอำนาจไม่ได้ และอย่าหวังว่า “ลูกยอด” สุดที่รัก จะมีโอกาสเติบโตทางการเมือง เพราะเมื่อบารมีพ่อหมด ก็คงทำได้แค่กระดกไวน์ ควงหญิงเท่านั้น