xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปลาไหลพ่นพิษ ทิ้งระเบิดใส่ ปชป.-ภูมิใจไทย ตีกินปรองดองแค่ลมปาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้ว่าขณะนี้ตัวเองยังต้องติดบ่วงกรรมถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนาน 5ปี ในช่วงที่พรรคชาติไทยถูกตัดสินยุบจากศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวสำหรับนายบรรหาร ศิลปอาชา ตัวจริงเสียงจริงแห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะยอมเข้าโหมดโลว์โปรไฟล์ ทำตัวสงบเสงี่ยม สมวัย หรือปฏิบัติตัวเฉกเช่นผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่เขาก็ยังเห็นกฎหมายเป็นแค่กระดาษชำระ เพราะยังคอยออกมาให้ความเห็นอยู่ทุกวี่วัน คอยบัญชาการอยู่ในทุกกลเกม ทุกหมากการเมืองและทุกความเป็นไปของพรรคชาติไทยพัฒนา

อีกทั้งสถานการณ์การเมืองในช่วงการเลือกตั้งที่ทุกพรรคการเมืองต้องขับเคี่ยวแย่งชิงซีนกันออกสื่อกันจ้าละหวั่นเพื่อกอบโกยคะแนนเสียงทางการเมือง ประกอบกับในช่วงนาทีทองเช่นนี้คงจะต้องเป็นเรื่องวิปริตผิดเพี้ยนเป็นแน่แท้ หากเราจะไม่เห็นนายบรรหารออกมาเคลื่อนไหวทำตัวเป็นข่าวอย่างที่เคยเห็นอยู่อย่างชินตาตลอดเวลาที่ติด ล็อกทางการเมือง

เพราะล่าสุด นายบรรหาร ก็ได้ออกมาแย่งซีนแต่งตัวใส่เสื้อ และผูกเนกไทสีชมพู ถือไม้เท้าสีชมพู มีหัวเป็นรูปสิงห์ ออกมาชูรูป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หุ่นเชิดแห่งพรรคเพื่อไทย พร้อมประกาศสร้างหนังให้ 2 คนเป็นพระเอกนางเอก

"ที่ผ่านมาจะมีข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายอภิสิทธิ์ บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน เมื่อสองวัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปไถนา ดูแล้วไม่เลว วันนี้มีนายอภิสิทธิ์ไปดำนา ตนก็มาคิดดูว่าจะสร้างละครเรื่อง “ปรองดองคล้องใจ” จะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนางเอก และนายอภิสิทธิ์เป็นพระเอก ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็หล่อ เหมาะสมกันดี ประพันธ์บทโดยตน โดยจะเป็นพ่อสื่อ แต่เป็นเรื่องละคร แต่เรื่องการเมืองคงเป็นไปไม่ได้ คงตีกันยับ และหลังเลือกตั้งจะสร้างจริงๆ"

แต่ยังไม่ทันข้ามวันดี ละครน้ำเน่าการเมืองของนายบรรหาร ก็ต้องปิดกล้องตั้งแต่ยังไม่เริ่มถ่ายทำด้วยซ้ำ เมื่อทั้งนายอภิสิทธิ์ และยิ่งลักษณ์ ออกมาปฏิเสธไม่รับมุขด้วย ทำเอาฝันลมๆ แล้งๆ ของนายบรรหารกลายเป็นแผ่นเสียงตกร่องไปในพริบตา

ขณะเดียวจะว่าไปแล้วในแง่หนึ่งก็เป็นการสร้างข่าว ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง เพราะทำให้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ทีวีออกกันทุกช่อง แต่หากพิเคราะห์คำพูดของนายบรรหาร ก็ใช่ว่าจะหาสาระอันใดได้ด้วยซ้ำ เพราะในขณะที่บอกว่าจะเล่นบทเป็นพ่อสื่อปรองดอง ให้กับทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย แต่ก็กลับบอกว่าทางการเมืองเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งในความเป็นจริงไม่ว่าจะมองมุมไหน ละครปรองดองดังที่นายบรรหารฝันลมๆ แล้งๆ ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หากดูเป้าหมายที่แท้จริง ของนายบรรหารแล้ว ก็คงไม่ใช่อื่นใดนอกเสียจาก ออกมา "ตีกิน" เน้นย้ำประเด็นปรองดองให้เป็นจุดขายของพรรคชาติไทย อีกทั้งเมื่อไม่นานนี่เองก็ยังได้แสดงอาการดี๊ด๊าจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ด้วยการประกาศพร้อมเป็นใบเฟิร์นประดับแจกันให้กับพรรคเพื่อไทย และสนับสนุนให้ “เสธ.หนั่น” เป็นนายกรัฐมนตรีปรองดอง ซึ่งจะเห็นว่าเรื่องนี้ดำเนินการกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาตลอด

ย้อนกลับไปช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์ กำลังคอพาดเขียงในคดีที่จะถูกยุบพรรค ก็มีโทรศัพท์จากแดนไกลจาก นช.แม้ว ถึง “เสธ.หนั่น” ด้วยข้อเสนอที่มิอาจห้ามใจ ด้วยการเสนอเสนอแผนแรกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ขัดตาทัพหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ

ส่วนขั้นที่สอง นช.ทักษิณจะวางแผนอ้างความปรองดอง กำหนดเรื่องการนิรโทษกรรมเอาไว้เป็นนโยบาย เพื่อใช้ประชาชนเป็นข้ออ้างว่าต้องการให้มีการนิรโทษกรรมเพื่อความสงบของบ้านเมืองผ่านการหย่อนบัตรเลือกตั้ง แต่ขณะนั้นก็ยังไม่มั่นใจว่าถ้าเป็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะถูกกระแสต่อต้านมากน้อยแค่ไหน จึงเสนอแผนสองไว้กับ “เสธ.หนั่น” ว่าหากพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้ แต่กระแสคัดค้านยังมีต่อเนื่องก็จะให้ “ตาอยู่” อย่าง พล.ต.สนั่น ที่ลงทุนเดินเกมปรองดองล่วงหน้ามาแล้วเกือบปี เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในวัยใกล้ลงโลง และ นช.ทักษิณ ก็ประกาศตัวแบบเปิดหน้าชกว่า เขาจะต้องเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมเพื่อความปรองดองครั้งนี้ด้วย

จึงไม่แปลกที่เห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่มีรูป เสธ.หนั่น เสนอหน้าขอเป็นคนสร้างความปรองดองเต็มกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังไม่มีการเลือกตั้ง เมื่อปี่กลองเชิด มีการยุบสภา การหาเสียงของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ประหลาดกว่าพรรคอื่น เพราะมีการติดป้ายโชว์รูป พล.ต.สนั่น ซึ่งเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ลำดับสองของพรรค พร้อมสโลแกนปรองดองเต็มกรุงเทพฯ เรียกว่ามากกว่าภาพ ชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคนอมินีของพี่ชายเติ้ง ซึ่งมีรายชื่อลำดับ 1 ในปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคชาติไทยพัฒนาเสียอีก

ขณะเดียวกันหากจะฉายภาพยี่ห้อปลาไหล ที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยด้วยแล้ว ก็คงต้องมามาดูสัญญาณการเมืองแปร่งๆ ที่นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ส่งไปถึงพรรคภูมิใจไทย ที่ว่า "เราสัญญาว่าจะทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกัน โดยเฉพาะการเลือกตั้งแต่ไม่ได้พูดถึงประเด็นอื่นๆ ส่วนใหญ่เราจะหารือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากกว่า"

การส่งสัญญาณเช่นนี้ สะท้อนชัดยิ่งกว่าชัดว่า นายบรรหาร และพรรคชาติไทยพัฒนา แสดงท่าทีชัดเจนยิ่งว่าพร้อมลอยแพพรรคภูมิใจไทย ฉีกสัตยาบันเป็นพันธมิตรแบบไปไหนไปด้วยลงแบบไม่มีเยื้อใย เหตุผลคงไม่ใช่อื่นใดนอกเสียจาก เกรงว่าจะไปขัดใจพรรคเพื่อไทยของ นช.ทักษิณ ที่ได้ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคภูมิใจไทย เป้าหมายก็คือเพื่อให้ได้ร่วมหอลงโรงกับพรรคเพื่อไทยที่มีข้อเสนออันยากจะปฏิเสธ คือการให้พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ เป็นนายกรัฐมนตรีขั้วกลาง

และหากถามว่า ทำไมนายบรรหาร ต้องเลือกเวลานี้ในการส่งสัญญาณ ไปถึงพรรคภูมิใจไทย ก็คงไม่ใช่อื่นใดนอกเสียจาก กระแสที่ว่ากันว่าพรรคใดจะเข้าวินในศึกเลือกตั้ง ขณะนี้หวยไปออกที่พรรคเพื่อไทยที่ว่าจะได้ ส.ส.เข้าสภามากที่สุด พรรคชาติไทยพัฒนาจึงได้กระโดดเกาะกระแสพรรคเพื่อไทย และลอยคอพรรคภูมิใจไทย แบบหน้าตาเฉย ซึ่งแม้ปากนายบรรหารจะบอกว่าไม่ทิ้งภูมิใจไทย แต่ถ้าหลุดไปเป็นฝ่ายค้านค่อยว่ากันอีกที ก็คงไม่ต้องอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม
และหลังจากนี้ก็อย่าได้ห่วงว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดอย่างไรในการพลิกตัวจากพรรคภูมิใจไทย เพราะอีกไม่ช้าคงจะได้ยินวลีใหม่เช่น "เสียบเพื่อให้ชาติเดินต่อไปได้" เป็นแน่แท้ ซึ่งทำราวกับว่าประเทศจะเดินหน้าไปไหนไม่ได้หากขาดบรรดานักการเมืองอย่างพวกเขาเข้าไปเป็นรัฐบาล

หลังจากจัดเต็มแทงหลังพรรคภูมิใจไทยแบบเนียนๆ แล้ว อีกฟากหนึ่งกับฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ นายบรรหารยังได้เผยตัวตนและอุดมการณ์ทางการเมืองของเขาอย่างหมดเปลือก เพราะในช่วงที่พรรคตนเองมีอำนาจต่อรองสูง ณ ขณะนี้ เขาก็เลือกที่จะออกมาถล่มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า "จริงหรือไม่ คราวก่อนตัดสินใจจะแก้มาตรา237 กัน แล้วก็ไม่ทำ หืดขึ้นคอพูดบอกหลายครั้งก็ไม่ทำ พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาอย่างเดียวคือต้องไปแก้ที่นายอภิสิทธิ์" ทั้งนี้ ก็หาใช่เรื่องอื่นใดนอกเสียจากเรื่องผลประโยชน์ที่ตัวเองไม่ได้รับ มิใช่เรื่องที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์ด้วยเลยแม้แต่น้อย

เพราะนาทีนี้หลังการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ที่หากได้คะแนนเสียงไม่ถึงครึ่ง ก็ยังต้องแบกหน้าไปง้อพรรคชาติไทยพัฒนาอยู่วันยังค่ำ เรียกว่าจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในสายตาของนายบรรหาร

อย่างไรก็ดีหากเกิดการพลิกล็อกพรรคประชาธิปัตย์เกิดได้คะแนนสูงมากพอในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่นายบรรหารจะกลับลำมาจับขั้วกับพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง ซึ่งคงไม่มีใครกล้าลืมพรรคการเมืองเจ้าของแนวคิดสัจจะนิยมที่ว่า "เป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง" อย่างแน่นอน

ยิ่งสอดรับกับ นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ที่ออกมาให้ข่าวเหน็บแนมนายอภิสิทธิ์ว่า “นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่สบายใจ ไปบอกได้อย่างไรว่าที่เลือกพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาเป็นเพราะว่าไม่มีตัวเลือก เหมือนกับว่าไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลเลย ซึ่งนายกฯ ไม่น่าจะพูดอย่างนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาก็น้อยใจตายสิ รวมถึงที่เขียนในเฟซบุ๊กด้วยก็ไม่ควรทำ ไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนาอยากจะร่วมรัฐบาล ถ้าไม่ถูกบีบบังคับก็ไม่ร่วมแน่ ซึ่งเราถูกบีบด้วยพลังที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องมาร่วม"

ทั้งนี้ การออกไล่ถล่มนายอภิสิทธิ์ แบบไม่มีชิ้นดีอย่างต่อเนื่อง และลอยแพพรรคภูมิใจไทย ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคชาติไทยมิได้แคร์การจะกลับเข้าไปร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิในไทยอีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นบทเรียนให้เห็นแบบชัดเจน สำหรับจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคชาติไทยพัฒนาได้เป็นอย่างดีในคำว่า "สัญญา" ไม่ได้มีอยู่ในพจนานุกรมของบรรดาพรรคปลาไหลเสียด้วยซ้ำ

ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือ การออกมาจุดพลุประเด็นปรองดอง มาถึงขณะนี้ก็จะใกล้วันเลือกตั้งเข้ามาทุกขณะ แต่พรรคชาติไทยพัฒนา ก็หาได้มีแนวทางที่ชัดเจนในทางปฏิบัติอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน นอกเสียจากเสนอตัวลักษณะตีกินเป็นคนกลางท่ามกลางความขัดแย้ง ซึ่งไม่ได้มีรูปธรรมอันใดที่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อย

ส่วนประชาชนนั้นที่อยากให้เห็นการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นประตูที่เปิดไปสู่การปรองดอง สมานฉันท์ ก็คงจะได้เห็นเพียงเป็นการปรองดองสมานฉันท์ของนักการเมืองที่จ้องแต่จะสมสู่เพื่อผลประโยชน์ ซึ่งหนีไม่พ้นประชาชนคงจะได้เห็นภาพกอดกันดึงกันเข้าไปชนแก้วไวน์ หลังการจับขั้วสำเร็จในการร่วมรัฐบาล อันเป็นภาพที่ชินตา
กำลังโหลดความคิดเห็น