xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ประชาธิปัตย์จัดให้ บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่ ควบรถถังเก่า-ยานเกราะยูเครนเข้าป้าย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างประชาธิปัตย์ - บิ๊กทหารเอื้ออาทรจนถึงนาทีสุดท้าย กลาโหมดันเอาจนได้จัดซื้อยานเกราะล้อยางล็อตสอง 121 คัน ควบรถถังสายพานลำเลียงจากยูเครนเจ้าเก่ารวมวงเงินหมื่นกว่าล้านผ่านฉลุย วงการค้าอาวุธวิจารณ์แซ่ดบิ๊กทหารชอบซื้อยุทโธปกรณ์เก่าเพราะค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 30%

การอุ้มสมให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลของเหล่าบิ๊กทหาร ทำให้บุญคุณนี้ต้องทดแทน ยิ่งเมื่อสถานการณ์ชายแดนตึงเครียด มีเหตุปะทะสู้รบกับเขมรเพราะการเดินเกมพลาดพลั้งตกเป็นเบี้ยรองฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งทำให้คำขอของทหารเป็นคำขอที่ประชาธิปัตย์แทบไม่มีสิทธิปฏิเสธ มีแต่ต้องจัดให้และจัดหนักตามข้อเสนอทั้งสิ้น

หากติดตามข่าวคราวเรื่องการจัดซื้อยานเกราะล้อยางในภาพรวม จะเห็นว่า โครงการนี้มีปัญหามาตั้งแต่ต้นและถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทั้งจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สภานิติบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎร และถูกยกเป็นประเด็นอภิปรายไม่ไว้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เนื่องจากโครงการจัดซื้อจัดหายานเกราะล้อยางนี้มีพิรุธมาตั้งแต่การจัดซื้อจัดหาในเฟสแรก จำนวน 96 คัน เมื่อปี 2550โดยกระบวนการเปิดประมูล การคัดเลือกผู้ชนะประมูล ถูกร้องเรียนมาตั้งแต่ต้นว่ามีความไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์ให้ผู้เข้าร่วมประมูลบางราย กระทั่งปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ที่ประเทศเยอรมันผู้ผลิตเครื่องยนต์ไม่ขายให้กับประเทศไทย

ทางกองทัพบก ต้องดิ้นรนหนีข้อกล่าวหาโดยพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อจัดหาจากวิธีการประมูลโดยวิธีพิเศษ ไปเป็นการจัดซื้อโดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล ทางด้านบริษัทผู้ชนะประมูลได้วิ่งเต้นเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์และเครื่องเปลี่ยนความเร็วใหม่ ขณะที่กองทัพบกมีการสอบถามความเห็นไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด กรณีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญา เพื่อสร้างความชอบธรรมและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ขณะเดียวกันก็ถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อยืนยันว่าความตกลงจัดซื้อจัดหายานเกราะล้อยางจากยูเครน เป็น “หนังสือสัญญา” ตามมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ด้วยหรือไม่ ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวต่างก็ล้วนตอบเอาใจกองทัพทั้งสิ้น

ย้อนกลับไปดูโครงการจัดซื้อจัดหายานเกราะล้อยางยูเครน เฟสแรก 96 คัน นั้นประเด็นที่ สตง.ตรวจสอบหนักก็คือ ความไม่โปร่งใสในการประมูล มีการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ชนะประมูล การทำผิดเงื่อนไขประมูลหรือทีโออาร์ที่กองทัพบก กำหนดว่า “ต้องเป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ ไม่เก่าเก็บหรือเคยใช้งานมาก่อน” แต่ในที่สุดคณะกรรมการคัดเลือกแบบ กลับคัดเลือกแบบยานเกราะจากยูเครนที่เป็นรถเก่าจากรัสเซียนำมาดัดแปลง อีกทั้งยังมีคำถามเรื่องประสิทธิภาพความทนทานต่อตะปูเรือใบ กระสุนปืนเอ็ม 16 หรือกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. ฯลฯ

ต่อมา “รัฐบาลขิงแก่” ก็มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2550 เห็นชอบตามที่ พล.อ.บุญรอด สมทัต รมว.กลาโหมขณะนั้นเสนอ เพื่อขอผูกพันงบประมาณข้ามปี โครงการจัดหารถหุ้มเกราะ จำนวน 96 คัน ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปี 50 - 54 วงเงิน 3,898 ล้านบาท และให้ผู้บัญชาการทหารบกหรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายรถหุ้มเกราะระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลยูเครน ท่ามกลางการติดตามตรวจสอบอย่างไม่ลดละของ สตง.ทั้งเรื่องราคาที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าตอนเสนอประมูล รถเก่านำมาดัดแปลงใหม่ กระบวนดำเนินการจัดซื้อจัดหาไม่โปร่งใส ฯลฯ

อาการดันทุรังของกองทัพบก เกิดสะดุดเมื่อเยอรมนี ได้ปฏิเสธส่งออกเครื่องยนต์ Deutz เพื่อนำมาติดตั้งให้กับยานเกราะล้อยาง BTR-3E1 ทางกองทัพบกจึงตั้งคณะทำงานฯพิจารณาเปลี่ยนแปลงระบบกำลังเป็นเครื่องยนต์ MTU และเครื่องเปลี่ยนความเร็ว และสรุปว่ามีความเหมาะสม จึงเสนอให้คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กองทัพบก (กมย.ทบ.) พิจารณาและผบ.ทบ.ได้อนุมัติรับรองมาตรฐานยานเกราะล้อยางที่ติดตั้งเครื่องยนต์ MTU และเครื่องเปลี่ยนความเร็ว Allison ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุด มีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสัญญานี้ทำได้เพราะเป็นความตกลงซื้อขายระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ขณะที่สตง.เห็นว่า เป็นการแก้ไขในสาระสำคัญและอาจทำให้ราชการเสียประโยชน์ รวมทั้งอาจเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ขายได้

แต่ข้อท้วงติงของ สตง. ดูเหมือนรมว.กลาโหม และคณะรัฐมนตรีจะไม่สนใจฟัง เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมได้อนุมัติแผนจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพบก ประจำปีงบประมาณ 2553 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 ให้ซื้อรถยานเกราะแบบต่างๆ จำนวน 121 คัน ประมาณ 4,999 ล้านบาท แน่นอน ยานเกราะที่พล.อ.ประวิตร อนุมัตินั้น ย่อมเป็นยานเกราะล้อยาง BTR-3E1ประเทศยูเครน ที่ติดตั้งด้วยเครื่องยนต์ MTU ซึ่งว่ากันว่า นายหน้าค้าเครื่องยนต์ MTU ซึ่งปกติจะใช้เป็น “เครื่องเรือ” นั้นเป็นญาติกับบิ๊กทหารนั่นเอง

จากนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 อนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปี ตามแผนการจัดซื้อยานเกราะล้อยางแบบ BTR-3E1 จำนวน 121 คัน จากบริษัท UKRSPECEXPORT ด้วยวิธีพิเศษ กรณีเป็นพัสดุที่โดยลักษณะการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ วงเงิน 4,999 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2553 ถึงปีงบประมาณ 2556

แต่การจัดซื้อด้วย “วิธีพิเศษ” ซึ่งเป็นประเด็นอาจเกิดปัญหาตามมาโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ เนื่องจากเป็นการแก้ไขในสาระสำคัญ ผบ.ทบ.จึงยกเลิกแผนจัดหาโครงการจัดหายานเกราะดังกล่าวข้างต้นใหม่ และได้ดำเนินการตามแผนหาใหม่ดำเนินการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง BTR-3E1 จากประเทศยูเครน ด้วยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล พร้อมกับทำการต่อรองราคากับผู้แทนรัฐบาลยูเครน เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2554 ตกลงราคากันได้ที่ประมาณ 4,334 ล้านบาท จากนั้น พล.อ.ประวิตร ก็ได้เสนอเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554

หากตามไปดูเอกสารแนบเรื่องที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม ระบุด้วยว่า ร่างความตกลงซื้อยานเกราะล้อยาง 121 คันนี้ ไม่แตกต่างไปจากเฟสแรก 96 คัน จึงไม่ต้องส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาอีกแต่อย่างใด ส่วนประเด็นที่ว่า ร่างความตกลงจัดซื้อดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญฯ 2550 หรือไม่นั้น งานนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ตอบกองทัพบกมาว่า ความตกลงดังกล่าวไม่น่าเป็น “หนังสือสัญญา” ตามหนังสือของกต. ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2553 ขณะที่เรื่องนี้ สตง. มีความเห็นว่า เข้าข่ายหนังสือสัญญา ตามมาตรา 190 ซึ่งต้องผ่านรัฐสภาก่อน

ไม่เพียงแต่ ยานเกราะล้อยาง เท่านั้น ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ จัดให้แก่กองทัพ ในประชุมคณะรัฐมนตรีนัดสั่งลา เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยังได้กล่าวถึงเรื่องจัดซื้อรถถังในราคา 7,300 ล้านบาท จากประเทศยูเครน ที่นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติด้วย รถถังหลักหรือรถสายพานลำเลียงที่กองทัพบกเสนอและได้รับอนุมัติครั้งนี้เป็นการจัดหาเพื่อเข้าประจำการในหน่วยงานต่างๆ ของกองทัพบกเพื่อทดแทนรถถังเดิมที่ชำรุด โดยกระบวนการจัดหานั้น มีผู้เสนอที่ผ่านคุณสมบัติขั้นต้น 12 ราย แต่มีบริษัทที่นำเสนอข้อมูลให้คณะทำงานฯ พิจารณา 9 บริษัท และสรุปสุดท้ายมี 3 รายที่ผ่านการรับรองแบบ คือ จากเกาหลี, รัสเซีย และยูเครน แต่สุดท้ายกองทัพบกได้เลือกรถถังเก่าจากยูเครน เช่นเดียวกับยานเกราะล้อยาง

การเลือกซื้อยุทโธปกรณ์เก่าแทนที่จะเป็นของใหม่นั้น พ่อค้าในแวดวงค้าอาวุธ ให้ข้อมูลว่า เป็นเพราะการให้ส่วนลดทางการค้า หรือคอมมิชชั่น ให้ได้สูงกว่า อย่างรถเก่าส่วนลดจะตกประมาณ 30% แต่หากเป็นของใหม่ คอมมิชชั่นจะอยู่ที่ประมาณ 10% เท่านั้น อีกทั้งหากเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์จากโซนยุโรปหรืออเมริกา ส่วนลดการค้าก็จะได้ประมาณ 10% เช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น