ต้องบันทึกเอาไว้ว่า ครม.นัดสุดท้ายของคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2554 ได้อนุมัติโครงการต่างๆ มากเป็นประวัติการณ์หรือประวัติศาสตร์ในลักษณะที่เรียกกันว่า “ทิ้งทวน” ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและคาดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้...
ผมทราบมาว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 พ.ค.มีวาระเข้า ครม.เพียง 100 เรื่องแต่ต่อมาเพิ่มเป็น 160 กว่าวาระ แต่สุดท้ายของท้ายสุดโพสต์ ทูเดย์ รายงานว่าในการประชุม ครม.นัดที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่ 08.00-23.00 น. มีวาระเสนอเข้าทั้งสิ้นถึง 300 วาระ ที่ประชุมอนุมัติรวมวงเงินตามกรอบวาระที่เสนอมาถึง 6 แสนล้านบาท
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ และต้องเรียนกันตรงไปตรงมาว่า...ครม.นัดส่งท้ายนัดนี้ (ถ้ามีการยุบสภาภายในวันที่ 6-9 พ.ค.ตามข่าว) ได้ทำลายต้นทุนความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 นาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปมากพอประมาณ
ไม่ต้องมาท้าทายถามหาใบเสร็จหรอกว่าในจำนวนนับร้อยๆ วาระ มีการโกงกินทุจริตกันจริงหรือเปล่า...เพราะดูชื่อโครงการ ดูชื่อใบอนุญาต ดูการอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างของแต่ละกระทรวงแล้วก็พอจะดูกันออกว่าแต่ละโครงการมีค่านายหน้าค่าหัวคิวมีเงินทองสะพัด....
น่าเสียดายที่นายกฯ อภิสิทธิ์ปล่อยให้สภาพการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ซ้ำเติมคำว่า “การเมืองที่ล้มเหลว” ที่ตัวเองประกาศเอาไว้ตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่าจะต้องแก้ไขหรือยุติมันให้ได้...แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ก่อน ครม.นัดทิ้งทวน 3 พ.ค. 2554 มีการประชุม ครม.นัดก่อนหน้าเมื่อ 26 เม.ย.2554 และได้อนุมัติโครงการต่างๆ ตามที่กระทรวงของพรรคร่วมรัฐบาลได้เสนออย่างทั่วถึงหลายหมื่นล้านบาทมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ที่เป็นข่าวและถูกจับตามากกว่าใครเพื่อนคือ งบของกองทัพ-กระทรวงกลาโหม ซึ่งผมขออนุญาตที่จะหมายเหตุในวันนี้สักเล็กน้อย
งบฯ ที่กระทรวงกลาโหม-กองทัพ ได้รับการอนุมัติรวมแล้วประมาณ 17 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
1. จัดซื้อรถบรรทุกขนาด 2 ตันครึ่ง จำนวน 1,475 คัน วงเงิน 4,998 ล้านบาท ของกองทัพบก (จัดซื้อพิเศษผูกพัน 3 ปี)
2.โครงการปรับปรุงเรือฟรีเกตของกองทัพเรือ วงเงิน 2,951 ล้านบาท (จัดซื้อพิเศษผูกพัน 4 ปี)
3. งบลับเร่งด่วนพิเศษให้กระทรวงกลาโหม เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ตอบโต้กัมพูชา วงเงิน 1,200 ล้านบาท
4. งบลับฉุกเฉินให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) 8,729 ล้านบาท
นอกจากนี้ ครม.นัดก่อนหน้า ยังได้อนุมัติให้กองทัพบกจัดซื้อรถยานเกราะล็อต 2 จากประเทศยูเครนเจ้าเก่า 221 คัน วงเงิน 4,318 ล้านบาท และปืนเล็กยาว 13,000 กระบอกวงเงิน 882 ล้านบาท อีกต่างหาก
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ารัฐบาลต้องสนับสนุนจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่บัญญัติว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกองกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็นและเพียงพอเพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ”
เพียงแต่การอนุมัติแบบรูดปื๊ด รูดปื๊ด ที่ชาวบ้านเขาวิจารณ์กันคราวนี้มันดูแล้ว “มากไป”แล้วครับท่าน...เข้าทำนองฉวยโอกาสอนุมัติกันแบบไม่เห็นหัวเจ้าของเงิน จะอธิบายความจำเป็นกันสักหน่อยก็แทบจะไม่มี
เอาเข้าจริงๆ แล้วการจัดซื้ออาวุธหนนี้มันเป็น “ความจำเป็นของผู้ซื้อ” หรือ “ความต้องการของผู้ขาย” กันแน่ (วะ)
อยากจะบอกกองทัพไทยว่า...อย่าได้ไปโกรธชาวบ้านชาวช่องที่เขาวิจารณ์กันเลยว่า...จัดซื้อจัดหาอาวุธกันหูดับตับไหม้แต่ทำไมยังรบไม่ชนะเขมร...!? เรื่องแบบนี้มันต้องอธิบายพูดความจริงกับประชาชนเป็นสำคัญ และมากกว่านั้นก็คือปล่อยให้กัมพูชายึดพื้นที่ 4.6 ตร.กิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารอยู่ได้ยังไง!?
อันที่จริงก็ต้องฟันธงว่ากองทัพไทยเวลานี้อยู่ในห้วงเวลาที่เป็นทางโค้งของการเมืองไทย กลุ่มที่เป็นขั้วอำนาจหลักในกองทัพคือกลุ่มที่จำเป็นต้องเดินเกมเดียวกับขั้วอำนาจการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งได้เทใจเทกระจาดให้กองทัพในการจัดสรรงบประมาณ ขณะที่แม่ทัพนายกองจำนวนไม่น้อยที่ตกผลึกความคิดและภารกิจร่วมกันว่าต้อง “หยุดทักษิณ” เหตุเพราะพวกเขายังเชื่อว่า “ทักษิณ” ยังเป็นหนึ่งเดียวกับคนเสื้อแดงซึ่งมีทั้งแดงนักเลือกตั้งและแดงล้มเจ้า...
มากกว่านั้นแม่ทัพนายกองบางรายรู้ดีว่า..ถ้า “ระบอบทักษิณกลับมา” ตัวเองก็อาจจะตกสวรรค์ หลุดจากตำแหน่ง...!!
ที่ผมกล่าวเช่นนี้ก็ด้วยความปรารถนาใคร่เห็นกองทัพไทยกองทัพมีความเป็นตัวของตัวเอง ตระหนักอย่างหนักแน่นในภารกิจของตัวเองตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้นมากกว่าที่จะท่องคาถาสำเร็จรูปเพื่อเอาตัวรอดแบบที่แทบทุกยุคทุกสมัยผู้นำกองทัพจะบอกว่า “กองทัพเป็นกลไกของรัฐ” ซึ่งโดยเนื้อหาคำพูดก็ไม่มีอะไรผิด หากแต่เป็นคำพูดคำนิยามที่ไร้ซึ่งเลือดเนื้อ จิตวิญญาณของคนที่เป็นทหาร เป็นกองทัพ....
ร่วมทศวรรษแล้วที่ (ระดับนำ) กองทัพไหลลอยไปตามเกมการเมืองหรือนักการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งในส่วนที่เป็นตำแหน่งหน้าที่และเม็ดเงินผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เนื้อในกองทัพเองก็ไม่มีความเป็นเอกภาพ มีความปริร้าว เพราะระดับนำส่วนใหญ่เลือกที่จะเอาตัวรอดทางการเมือง ถูกฝ่ายการเมืองแยกสลายโดยไม่รู้ตัว...
ผมไม่แน่ใจว่างบประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาทที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ทิ้งทวน “จัดหนัก” ให้กองทัพจะทำให้กองทัพไทย ซึ่งรวมทั้ง กอ.รมน.มีความเข้มแข็งเข้มข้นมากกว่าเดิมสักแค่ไหนอย่างไร ได้แต่หวังว่าวันนี้กองทัพไทยควรจะได้พัฒนาปรับปรุง ทบทวนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีขอ งตัวเองสักครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป
ถึงที่สุด ณ เบื้องหน้ากองทัพไม่ต้องช่วยการเมืองขั้วไหนฝ่ายไหนหรอก แค่สนับสนุนทำให้การเลือกตั้งสะอาด หรือสนับสนุนการปฏิรูปการเมืองและจัดการกับคนที่ทำลายสถาบันสูงสุดอย่างเข้มแข็งยุติธรรม ก็นับว่าเป็นพระคุณยิ่งนักแล้ว
ใคร การเมืองขั้วไหน ฝ่ายไหนจะมาเป็นรัฐบาลไม่ต้องสนใจมากเท่ากับต้องสนใจว่า...ทำยังไงกองทัพจะเป็นเอกภาพ เป็นทหารอาชีพ การเมืองฝ่ายไหนขั้วไหนก็ไม่อาจแยกสลายกองทัพได้...
ผมรู้ว่าตัวเองกำลังวาดหวังอะไรที่มากเกินไป....แต่ถ้ากองทัพยุคนี้ไม่พยายามทำ ดีแต่พูดไปวันๆ สุดท้ายการเมืองก็จะทำร้ายทำลายกองทัพให้อ่อนแอและอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
และยากที่กองทัพที่อ่อนแอจะปกป้องสถาบันฯ ได้อย่างทรงพลัง หรือมีพลานุภาพ ต่อให้มีงบประมาณเป็นล้านล้านบาทต่อปีก็เถอะ!!
samr_rod@hotmail.com
ผมทราบมาว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 พ.ค.มีวาระเข้า ครม.เพียง 100 เรื่องแต่ต่อมาเพิ่มเป็น 160 กว่าวาระ แต่สุดท้ายของท้ายสุดโพสต์ ทูเดย์ รายงานว่าในการประชุม ครม.นัดที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่ 08.00-23.00 น. มีวาระเสนอเข้าทั้งสิ้นถึง 300 วาระ ที่ประชุมอนุมัติรวมวงเงินตามกรอบวาระที่เสนอมาถึง 6 แสนล้านบาท
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ และต้องเรียนกันตรงไปตรงมาว่า...ครม.นัดส่งท้ายนัดนี้ (ถ้ามีการยุบสภาภายในวันที่ 6-9 พ.ค.ตามข่าว) ได้ทำลายต้นทุนความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 นาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปมากพอประมาณ
ไม่ต้องมาท้าทายถามหาใบเสร็จหรอกว่าในจำนวนนับร้อยๆ วาระ มีการโกงกินทุจริตกันจริงหรือเปล่า...เพราะดูชื่อโครงการ ดูชื่อใบอนุญาต ดูการอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างของแต่ละกระทรวงแล้วก็พอจะดูกันออกว่าแต่ละโครงการมีค่านายหน้าค่าหัวคิวมีเงินทองสะพัด....
น่าเสียดายที่นายกฯ อภิสิทธิ์ปล่อยให้สภาพการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ซ้ำเติมคำว่า “การเมืองที่ล้มเหลว” ที่ตัวเองประกาศเอาไว้ตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่าจะต้องแก้ไขหรือยุติมันให้ได้...แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ก่อน ครม.นัดทิ้งทวน 3 พ.ค. 2554 มีการประชุม ครม.นัดก่อนหน้าเมื่อ 26 เม.ย.2554 และได้อนุมัติโครงการต่างๆ ตามที่กระทรวงของพรรคร่วมรัฐบาลได้เสนออย่างทั่วถึงหลายหมื่นล้านบาทมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ที่เป็นข่าวและถูกจับตามากกว่าใครเพื่อนคือ งบของกองทัพ-กระทรวงกลาโหม ซึ่งผมขออนุญาตที่จะหมายเหตุในวันนี้สักเล็กน้อย
งบฯ ที่กระทรวงกลาโหม-กองทัพ ได้รับการอนุมัติรวมแล้วประมาณ 17 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
1. จัดซื้อรถบรรทุกขนาด 2 ตันครึ่ง จำนวน 1,475 คัน วงเงิน 4,998 ล้านบาท ของกองทัพบก (จัดซื้อพิเศษผูกพัน 3 ปี)
2.โครงการปรับปรุงเรือฟรีเกตของกองทัพเรือ วงเงิน 2,951 ล้านบาท (จัดซื้อพิเศษผูกพัน 4 ปี)
3. งบลับเร่งด่วนพิเศษให้กระทรวงกลาโหม เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ตอบโต้กัมพูชา วงเงิน 1,200 ล้านบาท
4. งบลับฉุกเฉินให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) 8,729 ล้านบาท
นอกจากนี้ ครม.นัดก่อนหน้า ยังได้อนุมัติให้กองทัพบกจัดซื้อรถยานเกราะล็อต 2 จากประเทศยูเครนเจ้าเก่า 221 คัน วงเงิน 4,318 ล้านบาท และปืนเล็กยาว 13,000 กระบอกวงเงิน 882 ล้านบาท อีกต่างหาก
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ารัฐบาลต้องสนับสนุนจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่บัญญัติว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกองกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็นและเพียงพอเพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ”
เพียงแต่การอนุมัติแบบรูดปื๊ด รูดปื๊ด ที่ชาวบ้านเขาวิจารณ์กันคราวนี้มันดูแล้ว “มากไป”แล้วครับท่าน...เข้าทำนองฉวยโอกาสอนุมัติกันแบบไม่เห็นหัวเจ้าของเงิน จะอธิบายความจำเป็นกันสักหน่อยก็แทบจะไม่มี
เอาเข้าจริงๆ แล้วการจัดซื้ออาวุธหนนี้มันเป็น “ความจำเป็นของผู้ซื้อ” หรือ “ความต้องการของผู้ขาย” กันแน่ (วะ)
อยากจะบอกกองทัพไทยว่า...อย่าได้ไปโกรธชาวบ้านชาวช่องที่เขาวิจารณ์กันเลยว่า...จัดซื้อจัดหาอาวุธกันหูดับตับไหม้แต่ทำไมยังรบไม่ชนะเขมร...!? เรื่องแบบนี้มันต้องอธิบายพูดความจริงกับประชาชนเป็นสำคัญ และมากกว่านั้นก็คือปล่อยให้กัมพูชายึดพื้นที่ 4.6 ตร.กิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารอยู่ได้ยังไง!?
อันที่จริงก็ต้องฟันธงว่ากองทัพไทยเวลานี้อยู่ในห้วงเวลาที่เป็นทางโค้งของการเมืองไทย กลุ่มที่เป็นขั้วอำนาจหลักในกองทัพคือกลุ่มที่จำเป็นต้องเดินเกมเดียวกับขั้วอำนาจการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งได้เทใจเทกระจาดให้กองทัพในการจัดสรรงบประมาณ ขณะที่แม่ทัพนายกองจำนวนไม่น้อยที่ตกผลึกความคิดและภารกิจร่วมกันว่าต้อง “หยุดทักษิณ” เหตุเพราะพวกเขายังเชื่อว่า “ทักษิณ” ยังเป็นหนึ่งเดียวกับคนเสื้อแดงซึ่งมีทั้งแดงนักเลือกตั้งและแดงล้มเจ้า...
มากกว่านั้นแม่ทัพนายกองบางรายรู้ดีว่า..ถ้า “ระบอบทักษิณกลับมา” ตัวเองก็อาจจะตกสวรรค์ หลุดจากตำแหน่ง...!!
ที่ผมกล่าวเช่นนี้ก็ด้วยความปรารถนาใคร่เห็นกองทัพไทยกองทัพมีความเป็นตัวของตัวเอง ตระหนักอย่างหนักแน่นในภารกิจของตัวเองตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้นมากกว่าที่จะท่องคาถาสำเร็จรูปเพื่อเอาตัวรอดแบบที่แทบทุกยุคทุกสมัยผู้นำกองทัพจะบอกว่า “กองทัพเป็นกลไกของรัฐ” ซึ่งโดยเนื้อหาคำพูดก็ไม่มีอะไรผิด หากแต่เป็นคำพูดคำนิยามที่ไร้ซึ่งเลือดเนื้อ จิตวิญญาณของคนที่เป็นทหาร เป็นกองทัพ....
ร่วมทศวรรษแล้วที่ (ระดับนำ) กองทัพไหลลอยไปตามเกมการเมืองหรือนักการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งในส่วนที่เป็นตำแหน่งหน้าที่และเม็ดเงินผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เนื้อในกองทัพเองก็ไม่มีความเป็นเอกภาพ มีความปริร้าว เพราะระดับนำส่วนใหญ่เลือกที่จะเอาตัวรอดทางการเมือง ถูกฝ่ายการเมืองแยกสลายโดยไม่รู้ตัว...
ผมไม่แน่ใจว่างบประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาทที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ทิ้งทวน “จัดหนัก” ให้กองทัพจะทำให้กองทัพไทย ซึ่งรวมทั้ง กอ.รมน.มีความเข้มแข็งเข้มข้นมากกว่าเดิมสักแค่ไหนอย่างไร ได้แต่หวังว่าวันนี้กองทัพไทยควรจะได้พัฒนาปรับปรุง ทบทวนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีขอ งตัวเองสักครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป
ถึงที่สุด ณ เบื้องหน้ากองทัพไม่ต้องช่วยการเมืองขั้วไหนฝ่ายไหนหรอก แค่สนับสนุนทำให้การเลือกตั้งสะอาด หรือสนับสนุนการปฏิรูปการเมืองและจัดการกับคนที่ทำลายสถาบันสูงสุดอย่างเข้มแข็งยุติธรรม ก็นับว่าเป็นพระคุณยิ่งนักแล้ว
ใคร การเมืองขั้วไหน ฝ่ายไหนจะมาเป็นรัฐบาลไม่ต้องสนใจมากเท่ากับต้องสนใจว่า...ทำยังไงกองทัพจะเป็นเอกภาพ เป็นทหารอาชีพ การเมืองฝ่ายไหนขั้วไหนก็ไม่อาจแยกสลายกองทัพได้...
ผมรู้ว่าตัวเองกำลังวาดหวังอะไรที่มากเกินไป....แต่ถ้ากองทัพยุคนี้ไม่พยายามทำ ดีแต่พูดไปวันๆ สุดท้ายการเมืองก็จะทำร้ายทำลายกองทัพให้อ่อนแอและอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
และยากที่กองทัพที่อ่อนแอจะปกป้องสถาบันฯ ได้อย่างทรงพลัง หรือมีพลานุภาพ ต่อให้มีงบประมาณเป็นล้านล้านบาทต่อปีก็เถอะ!!
samr_rod@hotmail.com