“ประยุทธ์” ย้ำจุดยืนกองทัพไม่ยุ่งเกี่ยวเลือกตั้ง ให้ช่วยแค่ รปภ. ไฟเขียวทุกพรรคหาเสียงหน่วยทหาร เผยอยากได้คนดี ซื่อสัตย์ จงรักภักดี สร้างความสามัคคี ยันประเทศต้องเดินไปข้างหน้า อย่าหยุดอีก ไม่เกี่ยง พท.จัดตั้ง รบ. หากคนส่วนใหญ่รับได้ วอนเห็นใจกองทัพดันอาวุธล็อตใหญ่ หลังถูกตัดงบฯมากกว่า 10 ปี เผยรถถังเบาเก่าเก็บ ซื้อทดแทนแค่1ใน 4
วันที่ 6 พ.ค.54 ที่หน้าห้องประชุมกิตติขจร กองทัพบก เมื่อเวลา 16.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวภายหลังการประชุมระดับผู้บังคับกองพันว่า เป็นการประชุมเพื่อสรุปผลการปฏิบัติการทำงานของกองทัพบก จากฝ่ายกรมฝ่ายเสนาธิการ กรมฝ่ายยุทธบริการ หน่วยกำลังรบ หน่วยสนับสนุนการช่วยรบ ในช่วง 6 เดือนหลังจากที่ตนได้เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่ 2 ที่เป็นการพูดคุยว่าที่ทำไปแล้ว มีข้อดี ข้อด้อยอย่างไร ซึ่งเรียบร้อยดี ไม่มีใครมีปัญหา ทั้งนี้ ไม่ได้เน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษ เพราะภารกิจในประเทศ รวมถึงภารกิจตามแนวชายแดน มีศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และศูนย์อำนวยการติดตามสถานการณ์ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ทำหน้าที่อยู่แล้ว ครั้งนี้เพียงกำชับว่าควรให้ความสำคัญในประเด็นที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะบางครั้งการอธิบายด้วยเอกสาร หรือพูดจาทางโทรศัพท์ไม่เห็นหน้ากัน อาจไม่เข้าใจ
เมื่อถามว่า กองทัพบกมีนโยบายอย่างไรในช่วงที่พรรคการเมืองรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นโยบายของกองทัพบกมีอย่างเดียวคือ ให้การสนับสนุนการเลือกตั้งตามกฎหมายที่มีอยู่ โดยเฉพาะการให้ความร่วมมือเรื่องการรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอมาก็ต้องสนับสนุน ตนได้เน้นย้ำว่าให้ระมัดระวังการเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการนับคะแนน หากหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยง ตนให้เฉพาะเรื่อง รปภ.อย่างเดียว เพราะกฎหมายระบุว่าต้องให้การสนับสนุน หากไม่ให้ก็คงไม่ได้ ทั้งนี้ ในส่วนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพภาคที่ 4 ก็จะดูเรื่องการ รปภ. เป็นหลักในพื้นที่นอกหน่วย ในพื้นที่ข้างในหน่วยเลือกตั้งหากไม่จำเป็นก็ไม่เข้าไป
“เรื่องอื่นเราไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คงร่วมมือในฐานะที่ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ให้กำลังพล และ ครอบครัว ไปเลือกตั้งมากที่สุด ดูแลให้ความเป็นธรรมให้ทุกพรรคการเมืองที่เข้ามาหาเสียงในหน่วยทหาร พรรคใดอยากเข้าไปก็ติดต่อได้ทุกหน่วย ท่านอยากเข้าไปก็เข้าไปเลย ไม่ห้ามพรรคใดพรรคหนึ่ง เข้าไปได้ทุกพรรค ผมให้นโยบายไปแล้ว ทุกพรรคเชิญตามสบาย ส่วนเนื้อหาที่ไปพูดบนเวที ก็ให้ทหาร และ ครอบครัวตัดสินเองว่า ที่เสนอมาเป็นนโยบายที่มีความเป็นไปได้แค่ไหน อย่างไร และที่เคยพูดมาแล้วทำได้หรือยัง ผมว่านโยบายต่างๆ พูดมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้น ต้องดูว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนอย่างไร ทุกนโยบายมันต้องใช้เงิน ใช้ทองมหาศาล ได้มาจากที่ไหนผมก็ไม่รู้ขณะเดียวกัน ภาษีก็ไม่ควรจะเก็บจนประชาชนเดือดร้อน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า รับได้หรือไม่หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเพราะยังมีการพาดพิงสถาบันอยู่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องถามประชาชนส่วนใหญ่รับได้หรือไม่ ถ้าเขารับได้ก็รับได้ เพราะเป็นกลไกของประชาธิปไตย ตนจะบอกว่ารับไม่ได้ ได้อย่างไร อย่าไปดูถูกคนไทย ให้โอกาสเขาคิด ได้เลือก และ ตัดสินใจ อย่าไปชี้นำเขามากนัก เมื่อถามว่าอยากได้รัฐบาลและนักการเมืองแบบไหน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า” คนดีๆ ซื่อสัตย์ สุจริต จงรักภักดี นำพาชาติ บ้านเมือง ให้ปลอดภัย ดูแลทุกข์สุขของประชาชนทุกหมู่เหล่า สร้างความรักความสามัคคี ประเทศไทยต้องก้าวไปข้างหน้าไปแล้ว อย่าหยุดอีกเลย อย่าห่วงทหาร เพราะทหารยังเป็นมิตรกับประชาชนและนักข่าวอยู่เสมอ” ถามย้ำว่า ถ้าเพื่อไทยขึ้นเป็นรัฐบาลจะทำงานกับเขาได้หรือ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ถามซ้ำอยู่นั่นแหละ ถ้าเขาจะเป็นก็เป็นสิ เรื่องของเขา ผมจะไปห้ามอะไรเขา ผมมีระบบอะไรเหรอ ผมไม่ได้เป็นคณะกรรมการเลือกตั้ง”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณโครงการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพบกว่า เป็นการอนุมัติตามหลักการ ตามแนวทางที่ดำเนินการมาโดยตลอด สิ่งต่างๆ ไม่ได้ทำแค่ 1-2 วัน แล้วอนุมัติ แต่ทำเป็นปีๆ ตามแผนพัฒนากองทัพ 5 ปี หรือ 10 ปี มีการตั้งคณะทำงาน กำหนดความต้องการ ทั้งหมดนำไปสู่กระบวนการจัดซื้อจัดหา ทำมาหลายเดือน หรือเป็นปี บางโครงการตัดมาจากปีที่แล้วมา ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ ทำต่อกัน ทำให้คับคั่งในเวลานี้ เพราะรัฐบาลยุบสภาไป ถ้าไม่ยุบสภาก็คงไม่เข้าเข้าพร้อมกันคงเข้าเดือนต่อๆ ไป ซึ่งคงไม่น่าเกลียด แต่พอมาเข้ารวมๆ กันก็ดูมีวาระมากไปหน่อย ก็ว่ากันไป
“ถ้าไม่เห็นชอบก็ไม่ผ่าน แต่ก็อย่าไปดูถูก ครม. เพราะ ครม.ประกอบด้วยคนหลายพรรคการเมือง ท่านก็มีประสบการณ์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่เห็นดี เห็นงามด้วย ท่านก็คงไม่อนุมัติมั้งครับ วันนี้ผมบอกกับผู้บังคับกองพันไปว่า ต้องขอบคุณเขาว่าที่เราได้รับความกรุณาจากผู้บังคับบัญชา หรือรัฐบาลก็ตาม ก็เป็นผลงานของพวกเราที่เป็นกำลังพลทั้งสิ้น ทั้งจากการช่วยเหลือประชาชน ดูแลพิทักษ์ชายแดน ปกป้องรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ ทำให้ทุกส่วนงานเห็นความสำคัญของเรา ทำให้ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น ขอเรียนว่าก่อนหน้านี้ หลายสิบปี หรือสิบกว่าปีที่ไม่ได้รับมา ก็ต้องเห็นใจเราตรงนี้ด้วย ที่ผ่านมาได้แค่งบฯกำลังพลเป็นส่วนใหญ่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า อดีตนักวิจัยกรมสรรพาวุธและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการทหารฯ ออกมาระบุว่าการจัดซื้ออาวุธของกองทัพระยะหลังไม่ได้ซื้อจากประเทศมหาอำนาจอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องความร่วมมือในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนอ่านแล้ว และรู้ว่าท่านต้องถาม อยากถามว่านักวิชาการที่เขียนนำหลักการอะไรมาพูด ต้องไปดูว่าเป็นนักวิชาการ หรือนักยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของทางทหาร ซึ่งวิเคราะห์ได้แต่ท่านก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ทหารด้วย ที่มีกรมฝ่ายเสนาธิการที่มีความรู้เรื่องพวกนี้ และ มีแนวโน้มที่จะพัฒนากองทัพไปในทิศทางไหน และควรจะมีเท่าไหร่
“ขอเรียนว่าที่อนุมัติเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไม่ใช่ทั้งหมด รถถัง M-41 A 1 จำนวน 200 คันที่มีประจำการชำรุดหมดแล้ว เก่า ใช้มา 40 กว่าปีแล้ว ท่านอนุมัติให้ 40 กว่าคัน 1 ใน 4 ของรถถังที่ต้องเปลี่ยน แทร็กทู ที่ใช้วิ่งบนถนนก็ชำรุด ทำให้ถนนเป็นรอย ก็พยายามให้เขาทำแทร็กทรูเพิ่มจนกว่าจะได้รถถังใหม่ ซึ่งกว่าจะได้มาก็ 3 ปีข้างหน้า 3 ปี ที่เหลือ M-41 จะวิ่งไปถึงไหนบ้างยังไม่รู้เลย ท่านต้องเข้าใจว่าซื้อของแล้วไม่ได้วันนี้ ต้องใช้เวลาในการจัดหา หรือสร้าง อย่างที่บอกไปแล้วว่าถ้ามีปัญหาก็ระงับได้ ถ้าไม่ดีก็ต้องว่ากันไป หากไม่โปร่งใสตรงไปก็ว่ากันไป ขอให้เห็นใจว่าเมื่อเริ่มต้นมาแล้ว ก็ให้รันไปตามระบบของมัน พูดไปก่อนไม่ได้ จะบอกว่าทุจริตตรงนั้นตรงนี้ ถ้าบอกอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้เลย ประเทศไทยไปไหนไม่ได้เพราะมองว่าทุจริตกันไว้ก่อน ผู้สื่อข่าวก็ไปดูว่าทุจริตกันตรงไหนแล้วก็ดำเนินการแก้ไขดีกว่า อย่างบ้านเรามีปัญหาเรื่องการขนส่ง ซึ่งช้าไปหมดเพราะมองกันว่าทุจริตกันหรือเปล่า ก็ต้องแก้ไขกัน การเลือกตั้งก็จะช่วยท่าน ในการเลือกคนดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง” ผู้บัญชาการทหารบกกล่าว