xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ฮุนเซน” ไม่ถอนทหาร “มาร์ค” ยุบสภาหนีปัญหา ศึกพระวิหารไทยมีแต่ “เจ๊ง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจบการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศอินโดนีเซียจบลง ประชาชนคนไทยก็ได้เห็นชัดเจนถึงท่าทีของ “นายฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาแล้วว่า เป็นเช่นไร

นายฮุนเซนกล่าวชัดเจนในการประชุมทวิภาคีอย่างไม่เป็นทางการร่วมกับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรไทยที่มี “พล.อ.สุสิโล บัมบัง ยูโดโยโน” ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเป็นผู้ประสานงานให้ว่า การที่นายอภิสิทธิ์ยอมรับร่างข้อตกลงในอินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปพื้นที่พิพาท แต่มีเงื่อนไขว่า ให้ทหารกัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เป็นเงื่อนไขที่กัมพูชายอมรับไม่ได้

“ทหารกัมพูชาอยู่ในเขตกัมพูชา จึงเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลที่จะให้กัมพูชาถอนทหารออกไปจากดินแดนของตนเอง”

ทั้งนี้ ดินแดนของตนเองที่นายฮุนเซนประกาศกร้าวนั้น ต้องขีดเส้นใต้ตอกย้ำกันให้เห็นชัดเจนว่า คือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทยโดยชอบธรรมตามคำสั่งของศาลโลก

คำถามที่ตามมาก็คือ ในเมื่อนายฮุนเซนยืนยันที่จะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนของกัมพูชา แล้วนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะทำอย่างไรต่อไป

นายอภิสิทธิ์จะไปท่องบ่นคำพูดอันเป็นแผ่นเสียงตกร่องแบบเดิมๆ หรือว่า จะยึดหลักการเจรจาแบบทวิภาคีตามที่ได้ตกลงกันไว้ในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือ “MOU43” แล้วปล่อยให้ชุมชนกัมพูชาและทหารติดอาวุธของกัมพูชาสามารถเข้ามายึดพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเอาไว้ได้เช่นนั้นหรือ

หรือนายอภิสิทธิ์คิดว่าการประกาศยุบสภาทำให้ปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหารพ้นจากความรับผิดชอบของตัวเองไปแล้ว และรอให้อธิปไตยของไทยแขวนอยู่บนเส้นด้ายด้วยการนั่งอยู่เฉยๆ เพื่อรอให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารที่จะเกิดขึ้นในราวปลายเดือนมิถุนายนจบสิ้น หรือนั่งงอมืองอเท้ารอให้ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ”(International Court of Justice-ICJ) ตีความคำพิพากษาในเรื่องของเขตแดนตามเกมของกัมพูชา

หรือนายอภิสิทธิ์จะปล่อยให้นายฮุนเซนเล่นบทเด็กเกเรด้วยการสั่งให้ทหารกัมพูชายิงอาวุธนานับชนิดเข้าใส่ทหารไทยและราษฎรชาวไทย จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ไม่นับรวมถึงผู้อพยพหลายหมื่นคนที่ต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องของตัวเองเหมือนที่เกิดขึ้นในศึกปราสาทพระวิหาร และศึกปราสาทตาควาย ตาเมือนธม เสร็จแล้วพร่ำบ่นคำพูดเดิมๆ เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาว่า “ให้ตอบโต้ตามความเหมาะสม”

แน่นอน แม้นายอภิสิทธิ์จะไม่ได้พูดชัดเจนถึงเรื่องดังกล่าวแต่การที่นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “การที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชายืนยันไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่นั้น คงต้องพยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป” ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์มิได้มีแผนหรือมียุทธศาสตร์ในการต่อสู้ในการปกป้องดินแดนของราชอาณาจักรไทยเลยแม้แต่น้อย

เพราะคนอย่างนายอภิสิทธิ์ย่อมต้องรับรู้ว่า นิสัยและสันดานของคนอย่างนายฮุนเซนนั้นเป็นเช่นไร และย่อมคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว

ถามว่า นายอภิสิทธิ์เชื่อหรือว่า นายฮุนเซนจะยอมกลับมาเจรจาทวิภาคีดังที่นายอภิสิทธิ์ ตลอดรวมถึงขุนพลฝ่ายการต่างประเทศที่ชื่อ “กษิต ภิรมย์” คาดหวังเอาไว้อีกหรือ เพราะนายฮุนเซนมีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า จะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร

และนายฮุนเซนก็ยืนยันชัดเจนว่า การจะให้กัมพูชาจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ซึ่งเป็นเวทีประชุมของทหารในเดือนหน้านั้น ฝ่ายไทยจะต้องส่งหนังสือตอบรับเรื่องการส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปในบริเวณชายแดนอย่างเป็นทางการก่อน

นั่นคือ นายฮุนเซนมิได้สนใจเรื่องทวิภาคี เพราะมีเป้าหมายชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้วว่า ต้องการดึงปัญหานี้ไปสู่เวทีพหุภาคี ต้องการดึงปัญหานี้ไปสู่คณะกรรมการมรดกโลก ต้องการดึงปัญหานี้ไปสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และต้องการดึงปัญหานี้ไปสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

คำถามที่นายอภิสิทธิ์ต้องตอบก็คือ ทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงไม่ทำอะไรกับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเพื่อประกาศความเป็นดินแดนภายใต้อธิปไตยของราชอาณาจักรไทย หรือแม้จะใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อน นายอภิสิทธิ์ก็ไม่อาจปล่อยให้ทหารกัมพูชาของนายฮุนเซนอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเลยแม้แต่คนเดียว

นายอภิสิทธิ์คงลืมไปแล้วว่า ข้อตกลงใน MOU43 ที่เซ็นลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสมัยที่นายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรีมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง

นายอภิสิทธิ์ที่กอดลูกรัก MOU43 เอาไว้ในอ้อมอกคงทะลุปรุโปร่งในรายละเอียดของบันทึกข้อตกลงดังกล่าวในข้อ 5 ซึ่งระบุเอาไว้ว่า “งดเว้นดำเนินการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน”

นายอภิสิทธิ์คงไม่ต้องตีความอีกต่อไปแล้วว่า การที่กัมพูชาส่งทหารเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร การสร้างวัดแก้วฯ การส่งประชาชนกัมพูชาเข้าไปสร้างบ้านเรือน คือการกระทำที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน

และนั่นคือความชอบธรรมที่นายอภิสิทธิ์จะต้องสั่งการให้ทหารแห่งราชอาณาจักรไทยใช้กำลังผลักดันให้ทหารกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว

แต่ก็อีกเช่นเคย นายอภิสิทธิ์คงไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะนายอภิสิทธิ์กลับเลือกที่จะยึด MOU43 ในข้อ 8 คือ “ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้ MOU43 โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา” แทน

นี่คือวิธีการแก้ปัญหานายอภิสิทธิ์ผู้ดีอีตั้นซึ่งมีดีกรีบัณฑิตจากอ็อกซฟอร์ดยึดมั่นถือมั่น โดยมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่มิเคยสนใจ แถมยังอาศัย MOU43 ลูกรักของนายอภิสิทธิ์สร้างความได้เปรียบให้กับกัมพูชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งการส่งทหาร สร้างวัด สร้างถนน และส่งประชาชนกัมพูชาเข้ามายึดพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร

ทั้งนี้ ถ้านายอภิสิทธิ์ไม่ยึดมั่นและอวดดีจนเกินไปนัก นายอภิสิทธิ์ย่อมจะต้องอาศัยจังหวะที่กัมพูชายื่นเรื่องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาในปี 2505 ขับไล่ทหารกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรทันที เพราะการที่กัมพูชายื่นขอศาลโลกตีความคำพิพากษาในเรื่องของเขตแดน ก็ย่อมเป็นคำตอบในตัวเองอยู่แล้วว่า พื้นที่ดังกล่าวกัมพูชาเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าเป็นของกัมพูชา เพราะถ้ากัมพูชามีความมั่นใจจริงจะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

นายอภิสิทธิ์เคยคิดถึงประเด็นเหล่านี้เพื่อปกป้องดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่

แน่นอน นายอภิสิทธิ์ย่อมไม่คิดถึงประเด็นเหล่านี้

เพราะถ้านายอภิสิทธิ์คิด เขาจะต้องหาช่องว่างเพื่อดำเนินการอย่างไม่รอช้า ไม่ใช่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ โดยที่หาประโยชน์อะไรไม่ได้

สุดท้ายเชื่อว่า ถ้าหากสุดท้ายแล้วศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะ หรือคณะกรรมการมรดกโลกมีมติยอมรับแผนบริหารจัดการพื้นที่ของกัมพูชา นายอภิสิทธิ์คงจะลอยตัวหนีปัญหาโดยอ้างการยุบสภาเป็น “จำเลย” ของเหตุการณ์ทั้งหมด

นายอภิสิทธิ์คงจะอ้างว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจเต็มในการสั่งการหรือดำเนินการใดๆ ที่มีผลเกี่ยวเนื่องกับอธิปไตยของชาติ

ที่สำคัญคือ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ง่อยเปลี้ยเสียขา กัมพูชาเองก็ยังคงเดินเกมเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีการเคลื่อนไหวของกำลังทหารกัมพูชาอย่างต่อเนื่องที่บริเวณเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยกัมพูชาได้ส่งกำลังทหารขึ้นมาบนเขาพระวิหารกลุ่มละประมาณ 10 -20 คน และเมื่อทหารกัมพูชาเหล่านี้ขึ้นมาแล้วจะพากันหลบอยู่ภายในหลุมบังเกอร์ ไม่ออกมาเดินเพลินพล่านเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งจนถึงขณะนี้มีทหารกัมพูชาขึ้นมาเพิ่มเติมที่เขาพระวิหารแล้วประมาณ 100 - 150 คน

นอกจากนี้ ทหารกัมพูชายังได้นำเด็ก ผู้หญิง เข้ามาอาศัยอยู่ที่บริเวณเชิงเขาพระวิหารเพิ่มเติมมากขึ้นด้วย มีลักษณะที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทหารกัมพูชาต้องการนำเอาโล่มนุษย์มาเป็นกำแพงกั้นหรือเป็นโล่กำบังระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย เนื่องจากกฎการปะทะกันของทหารจะไม่มีการโจมตีหรือทำร้ายพลเรือนอย่างเด็ดขาด

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ชะตากรรมของปัญหาเขาพระวิหารจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะนักการเมืองก็มิได้ใส่ใจที่จะปกป้อง ขณะที่ข้าราชการประจำบางคนในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาก็ไปกันคนละทางสองทาง บ้างก็มีผลประโยชน์ตลอดแนวชายแดนเบื้องบูรพาเป็นอาหารอันโอชะ บ้างก็นั่งงอมืองอเท้ารอให้ถึงวันที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีคำพิพากษาออกมา

ประเทศไทยในเวลานี้ จึงวังเวงยิ่งนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น