xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

6 ศพทหารกล้า 2 ศพราษฎร ตอบโต้ตามความเหมาะสม “มาร์ค” ทำได้แค่เนี้ย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์

“ฉันรักเธอนะ”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายของ “จ.ส.อ.บุญรัตน์ สุขจิตร์” ทหารสังกัด ร.23 พัน 4 ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกบุรีรัมย์ ปฏิบัติราชการกรมทหารพรานที่ 26 ที่โทรศัพท์บอกกับ “นางศิริชนม์ สุขจิตร์” ผู้เป็นภรรยา ก่อนที่จะพลีชีพหลังการปะทะกันของทหารไทย-กัมพูชาที่ปราสาทตาควาย อ.พนมพงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อเช้าวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา

ความสูญเสียและการพลีชีพของเหล่าทหารกล้าคนแล้วคนเล่า อย่าง จ.ส.อ.บุญรัตน์ สุขจิตร์ ร.ต.อุทัย หมื่นอภัย จ.ส.อ.วิทยะ สวนชูผล ส.อ.ประเวช หาราช อาสาสมัครทหารพรานสมคิด สมศรีและอาสาสมัครทหารพรานอารี คงนาคเพนา 6 ทหารผู้กล้า ประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ต้องเสียชีวิต2 คน รวมถึงการอพยพหนีตายของชาวบ้านกว่า 3 หมื่นคนใน 3 อำเภอของจังหวัดสุรินทร์ ไล่เรื่อยลุกลามขยายแนวรบไปถึงภูมะเขือ ปราสาทพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ และ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ การสั่งปิด 9โรงพยาบาล ก่อให้เกิดคำถามสำคัญตามมาว่า ทำไมเหตุการณ์ครั้งนี้จึงเกิดขึ้นและใครควรจะต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน รวมทั้งอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยบ้าง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2

พวกเขาเหล่านี้สมควรจะต้องรับผิดชอบและได้รับการขนานนามว่า “7 คนบาปแห่งตาควาย-ตาเมือนธม” หรือไม่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ปฐมเหตุสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายทางการเมือง ทางการทหารและทางการต่างประเทศที่ผิดพลาดของบุคคลเหล่านี้ทั้งสิ้น

และแน่นอน นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของนายฮุนเซนมิได้สนใจในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือ “MOU43” เลยแม้แต่น้อย

และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพิษร้ายของ MOU43 ที่ทำให้ทหารมิสามารถการตอบโต้รัฐบาลของนายฮุนเซนได้อย่างสมควรแก่เหตุ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า นักการเมืองไทยไม่ว่าหน้าไหนหรือพรรคใดสามารถปกป้องอธิปไตยของชาติ รวมทั้งปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของปวงชนชาวไทยเอาไว้ได้

**ฮุนเซนใช้สงคราม
ดึงประเทศที่ 3 รับรอง 1 ต่อ 2 แสน
บี้หัวรัฐบาลมาร์คเด็กอมมือ

กรณีการทำสงครามครั้งใหม่ของรัฐบาลนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชานั้น มีประเด็นที่ต้องให้ขบคิดหลายกรณีว่า เกิดขึ้นด้วยสาเหตุอันใด เพราะต้องไม่ลืมว่า ทั้ง “ปราสาทตาเมือนธม” และ “ปราสาทตาควาย” คือโบราณสถานที่อยู่ในดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย

กล่าวคือปราสาทตาควาย ตั้งอยู่ที่บ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

ขณะที่ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

ดังนั้น สงครามที่ตาควาย-ตาเมือนธมจึงแตกต่างไปจากกรณีปราสาทพระวิหาร เนื่องเพราะกัมพูชามิอาจมั่วนิ่มแอบอ้างว่าทั้งสองปราสาทคือดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาได้ เนื่องจากมีหลักฐานชี้ชัด ทั้งปราสาทตาเมือนธมที่กรมศิลปากรไทยที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 ซึ่งเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงการเป็นดินแดนภายใต้ราชอาณาจักรไทย เช่นเดียวกับปราสาทตาควายที่กรมศิลปากรของไทยเข้าไปบูรณะ

ดังนั้น มูลเหตุสำคัญของการเปิดฉากสงครามครั้งนี้ จึงมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า นายฮุนเซนต้องการเล่นเกมดึง “ประเทศที่ 3” ให้เข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาปัญหาข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากประสบกับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่ากับการเปิดศึกที่ปราสาทพระวิหารและภูมะเขือในการทำสงครามก่อนหน้านี้ เพราะแม้ว่า รัฐบาลนายฮุนเซนจะประสบความสำเร็จในการส่งเรื่องร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UNSC) แต่สุดท้ายโต๊ะเจรจาก็จำกัดวงอยู่แค่เวทีอาเซียนที่มีนายมาตีร์ นาตาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย เป็นประธานอาเซียน แถมฝ่ายทหารไทยยังพร้อมใจกันตบเท้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่า จะไม่เข้าร่วมประชุมจีบีซีที่ประเทศอินโดนีเซียและต้องการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี กระทั่งเกมของกัมพูชาต้องพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า

และเมื่อแผนแรกล้มพังพาบ แผนที่สองจึงเริ่มก่อกำเนิดขึ้น

ประจักษ์พยานที่ยืนยันถึงเกมดึงประเทศที่ 3 ได้เป็นอย่างดีก็คือ การพยายามตัดถนนเข้ามาที่ปราสาทตาควาย หรือการขุดหลุดดัดแปลงฐานที่มั่นของกัมพูชาบริเวณทิศตะวันออกของปราสาทตาควาย รวมทั้งหลังการเปิดศึก รัฐบาลของนายฮุนเซนก็เล่นเกมบีบน้ำตาเพื่อหวังให้ประเทศที่ 3 เข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยการส่งสาส์นจากนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถึงนายมาตีร์ นาตาเลกาวาเรียกร้องให้นำเรื่องดังกล่าวแจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UNSC) รวมทั้งกล่าวหาด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นจริงเรื่องการใช้อาวุธเคมี หรือคลัสเตอร์บอมบ์ของทหารไทย ไม่นับรวมถึงการที่ “พล.ต.ชุม โสเสต” โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งขณะแถลงข่าวกล่าวหาไทยก็พยายามบีบน้ำตาและทำเสียงสะอึกสะอื้นต่อหน้าผู้สื่อข่าว

“การเจรจาทั้งหมดเกี่ยวกับพรมแดนที่ตกเป็นข้อพิพาทใกล้กับปราสาทพระวิหาร จะต้องให้บุคคลที่ 3 เข้ามามีส่วนร่วมด้วย”นั่นคือคำกล่าวของนายฮุนเซนที่ประกาศในระหว่างการประชุมของสมาคมสตรีกัมพูชาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา

ที่สำคัญคือ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและสามารถดึงความสนใจของชาวโลกได้สำเร็จ การทำศึกของกัมพูชาเที่ยวนี้เขาเลือกที่จะเล่นเกมแรงโดยมีเป้าหมายอยู่ที่พื้นที่พลเรือนเหมือนเช่นเมื่อครั้งที่ผ่านมา ดังเช่นที่ “นายสาคร บุ้งทอง” ชาวบ้านหนองคันนาระบุว่า “ไม่เข้าใจทหารกัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่ทำไม เพราะเป็นบ้าน ชาวบ้านไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร”

ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดของฮุนเซนคือ “เอาดินแดนไทยไปเป็นของกัมพูชา” โดยการชี้ขาดของนานาชาติ โดยการทำทุกวิถีทางให้นานาชาติชี้ขาดว่าเขตแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปตามแผนที่อัตราส่วน 1 : 200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวโดยไม่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และรัฐบาลไทยในยุคที่นายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไปยอมรับแผนที่มาตรานี้ใน MOU43

โดยหลังจากฮุนเซนขึ้นครองอำนาจจากการเลือกตั้งจัดโดยนานาชาติหลังปี 2535 บ้านเมืองทุเลาจากสงครามกลางเมืองภายในประเทศ เขาก็เพียรพยายามมาเป็นขั้นตอน เป็นยุทธศาสตร์ชาติที่ไม่เคยสะดุด ขนาดรัฐธรรมนูญของเขายังระบุไว้ชัดเจนเลยว่า เขตแดนด้านไทย-กัมพูชา ต้องเป็นไปตามแผนที่ชุดนี้ เป็นอื่นไปไม่ได้

ดังนั้น มิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า กัมพูชาต้องการใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการเมืองต่อกรณีปราสาทพระวิหารระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยังคาราคาซังกันอยู่ และไม่อาจมองเป็นอื่นได้นอกจากเขมรกำลังทำชัยชนะที่ได้มาครึ่งเดียวบนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี 2505 ให้เป็นชัยชนะที่สมบูรณ์

และแน่นอนว่า เป้าหมายครั้งนี้ไม่ใช่แค่พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ปราสาทพระวิหารเท่านั้น หากแต่ยังต้องการดินแดนของไทยตลอดแนวชายแดนโดยอ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่รัฐบาลไทยไปลงนามยอมรับเอาไว้ใน MOU43 รวมถึงปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธมที่นายฮุนเซนส่งทหารบุกเข้ามายึดทั้ง 2 ปราสาทตลอดช่วงการสู้รบที่ผ่านมาด้วย

**ฮุนเซนดันฮุนมาเน็ต
ช่วยเพื่อนรักชั่วนิรันดร์

นอกจากนั้น ก็อาจมีความเป็นไปได้เช่นกันว่า นายฮุนเซนเปิดฉากโจมตีไทยครั้งนี้เพื่อช่วยเพื่อนรักชั่วนิรันดร์ของเขาที่กำลังเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองอย่างหนัก จากฝีมือของนายจตุพร พรหมพันธุ์ที่ประกาศท้าชนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น เมื่อเพื่อนรักชั่วนิรันดร์ร้องขอ ประกอบกับตัวเองก็มีเป้าประสงค์ทางการเมืองในใจดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การสมประโยชน์แห่งทฤษฎีสมคบคิดทางการเมืองจึงบังเกิดขึ้น

เหมือนอย่างที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาวิเคราะห์เอาไว้ว่า “เรื่องที่นายอมร อมรรัตนานนท์พูดว่ามีนักการเมืองไทยสมคบกับนายฮุนเซน สั่งให้ทหารกัมพูชายิงทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาควายเพื่อดึงดูดความสนใจของทหารไปที่ชายแดนนั้น เป็นความจริง และที่จริงผมรู้ลึกมากกว่านั้น แต่ว่าอย่าไปรู้เลย เพราะมันเกี่ยวพันกับฮุนเซนและคนที่อยู่เมืองนอกแอบร่วมมือกับคนในประเทศไทย หลายอย่างที่เราไม่เคยรู้ก็จะรู้เร็วๆ นี้ และความจริงจะต้องถูกเปิดเผยออกมาหมด...”

เช่นเดียวกับ พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจารักษ์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารอากาศ ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกว่า มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผิดสังเกตจาก “เจ้ามูลเมือง โดยขณะนี้กบฏแดงที่ได้รับการประกันตัวจากการช่วยเหลือของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้จับมือกับทหารแตงโม จัดตั้งกองโจร “เพลย์บอย” ฝึกจรยุทธ์ที่ด่านปอยเปต เพื่อเตรียมเผาบ้านเผาเมืองรอบสอง อีกทั้งเหตุการณ์สู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รวมถึงการที่ฮุนเซนสั่งทหารเขมรยิงถล่มไทยล้วนเป็นเรื่องจงใจ เพื่อเปิดศึกทั้งในและนอกประเทศ โดยมี “เจ้ามูลเมือง” เป็นตัวบงการ

ขณะเดียวกัน การเคลื่อนทัพครั้งนี้ก็มีความเกี่ยวโยงกับเหตุผลในเรื่องของการวางตัวผู้สืบทอดอำนาจของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้ว ฝ่ายกัมพูชาคงไม่โหมประโคมข่าวเรื่อง “พล.ท.ฮุน มาเน็ต” ลูกชายของนายฮุนเซนลงมาบัญชาการทัพด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ เนื่องจากนายฮุนเซนต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้ลูกชายของตนเองกลายเป็น “ฮีโร่” ในสายตาของประชาชนชาวกัมพูชา ซึ่งถ้าเขาทำสำเร็จ แน่นอนว่า ก็จะได้ใจชาวกัมพูชาว่า มีศักยภาพเพียงพอที่จะสืบทอดอำนาจแทนนายฮุนเซนผู้เป็นพ่อได้อย่างไม่มีข้อกังขา

ด้วยเหตุดังกล่าวศึกครั้งนี้ “วันวัน” ซึ่งเป็นรหัสเรียกขาน พล.ท.ฮุน มาเน็ต หรือที่ทหารไทยรู้จักกันในนาม “รหัสหน้าขาว” จึงนำกำลังหน่วยรบพิเศษกองพัน 911 สวมหมวกเบเร่ต์แดง ซึ่งมีอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ทันสมัยเป็นแนวหน้าในการปะทะกับทหารไทยโดยตรง ภายใต้การสนับสนุนของกำลังประจำพื้นที่จากกองพลที่ 42

เรียกว่า เป็นการทำสงครามที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัวเลยทีเดียว

** นักการเมืองอ่อนแอ
ทหารรบแบบ “ปาหี่”
ต้นเหตุแห่งความหายนะ

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากยุทธศาสตร์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว เหตุผลสำคัญที่ทำให้นายฮุนเซนกล้าที่จะก่อสงครามครั้งนี้นั้น เป็นเพราะเขาอ่านรอยหยักในหัวสมองของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า รัฐบาลเด็กอมมือที่ดีแต่พูดคงจะมีปฏิกิริยาต่อกัมพูชาไม่ต่างอะไรไปจากการทำสงครามที่ปราสาทพระวิหารเมื่อครั้งที่แล้ว คือรบพอเป็นพิธี ไม่กล้าทำอะไรกัมพูชา และอย่างมากก็แค่ตอบโต้ตามความเหมาะสม เนื่องเพราะติดพันธนาการ MOU43 อย่างมิอาจถอนตัวได้

กระทั่งทำให้เวลานี้ภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ตกต่ำอย่างหนัก กระทั่งส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงที่จะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เฉกเช่นเดียวกับพฤติกรรมของผู้รับผิดชอบทางด้านความมั่นคงของชาติ ไล่เรื่อยตั้งแต่นายสุเทพ พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ ไปจนกระทั่งถึง พล.ท.ธวัชชัย รวมทั้งขุนพลด้านการต่างประเทศอย่างนายกษิต ภิรมย์

เนื่องเพราะมิอาจปฏิเสธได้ว่า ความอ่อนแอและความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายของนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ พล.ท.ธวัชชัยและนายกษิตคือมูลเหตุแห่งปมปัญหาทั้งหมด
กล่าวเฉพาะสำหรับนายอภิสิทธิ์นั้น แน่นอน ความห้าวของนายฮุนเซนคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับท่าทีของนายอภิสิทธิ์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งนายฮุนเซนที่รู้จุดอ่อนตรงนี้จึงมิเคยเกรงกลัวนายอภิสิทธิ์แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากการที่นายฮุนเซนด่านายอภิสิทธิ์อย่างสาดเสียเทเสียมาหลายต่อหลายครั้ง แถมยังหยามเหยียดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เป็นรัฐบาลเด็กอมมือที่ไม่มีน้ำยา โดยมิเกรงว่า จะก่อให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศแต่อย่างใด

“ในบรรดานายกรัฐมนตรีไทยทั้งหมด ไม่มีใครชั่วช้าเท่า ….ไอ้คนนี้บ้าๆ บอๆ ชอบถูกด่า ไอ้นี่มันไม่มีสกุลรุนชาติ ผมว่าให้ขนาดนี้ เจ็บหรือไม่เจ็บ ถ้าโต้กลับมา ผมก็จะอัดกลับไปอีก ขอบอกว่า ถ้ากองทัพไทยไม่เข้ารุกรานวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ขอให้ผมฉิบหายวายวอด ขอให้รู้จักฮุนเซนหน่อย สุเทพ ถ้าเป็นจริงก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หักคอคุณ ถูกยิง รถชน ไฟช็อร์ต ปืนลั่นใส่”

ส่วนฝ่ายการต่างประเทศของไทยที่มีนายกษิตเป็นหัวเรือใหญ่ก็ไม่ทันเกมของนายฮุนเซน โดยตกเป็นฝ่ายตั้งรับมาโดยตลอด ยิ่งในช่วงวันแรกๆ ด้วยแล้ว นายกษิตถึงกับให้สัมภาษณ์ด้วยว่า “ผมขอวิงวอนผู้นำกัมพูชามีความระมัดระวังและหันมาเจรจา”

ขณะที่บรรดาขุนทหารทั้งหลาย หลายครั้งหลายคราที่ผ่านมา ก็มีบทพิสูจน์ชัดแจ้งแล้วว่า มิได้ทำการรบเพื่อปกป้องอธิปไตย ตลอดรวมถึงชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใต้บังคับบัญชา และปวงชนชาวไทยอย่างสุดความสามารถ ทั้งๆ ที่ราชอาณาจักรไทยมีทั้งกำลังทหาร กำลังอาวุธ และอีกสารพัดเหนือกว่ากัมพูชาไม่รู้กี่เท่า ซึ่งนายฮุนเซนสามารถรับรู้ได้จากการหยั่งเชิงทำสงครามที่ปราสาทพระวิหารได้เป็นอย่างดี
แน่นอน ข้อกล่าวหาเรื่อง “ผลประโยชน์เบื้องชายแดนบูรพา” ของบรรดาแม่ทัพนายกองระดับ “บิ๊ก” คือหนึ่งในสิ่งที่หลายคนตั้งข้อสังเกตถึงการบัญชาการรบที่เป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เพราะถ้ารบหรือตอบโต้กันจริงจัง เราคงไม่เห็นภาพที่ประชาชนคนไทยต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากทั้งปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดลูกแล้วลูกเล่าที่มีเป้าหมายในพื้นที่พลเรือน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่คนไทยต้องอพยพหนีภัยในดินแดนแห่งราชอาณาจักรของตนเอง
และบรรดาบิ๊กทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แม่ทัพกุนเชียง” ก็ไม่สามารถตอบได้ว่า ทำไมถึงปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น

ด้วยเหตุดังกล่าว สงครามที่เกิดขึ้นจึงสะท้อนให้เห็นถึง “ความอ่อนแอ” ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจนว่า ไม่สามารถทำหน้าที่ในการปกป้องดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยเอาไว้ได้

ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการรบที่ว่า “ตอบโต้ตามความจำเป็น” หรือ “ตอบโต้ด้วยความเหมาะสม” คือสิ่งที่ทำให้นายฮุนเซนไม่เห็นหัวของทหารไทย กระทั่งกลายเป็นเรื่องที่สร้างความหัวร่องอหายให้กับประชาคมโลกว่า ประเทศใหญ่อย่างไทยถูกประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชารังแก

ที่น่าเศร้าก็คือขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองต้องพลีชีพคนแล้วคนเล่า และสถานการณ์ชายแดนเบื้องบูรพาก็ยังอยู่ในภาวะวิกฤต ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับปัญหาตามลำพัง แถมบางรายยังประสบปัญหาเรื่องอาหารการกินอย่างหนัก เช่น “นายธนวุฒิ สมภูงา” ราษฎรบ้านโคกสูง หมู่ 8 ต.บักได อ.พนมดงรัก ที่บอกว่า “เสียงปืนใหญ่เขมรดังกึกก้อง 3 วัน พวกชาวบ้านต่างพากันเข้าไปที่ศูนย์อพยพนิคมสร้างตนเองปราสาท แต่มีชาวบ้านบางคนเสี่ยงเฝ้าทรัพย์สินดูแลบ้าน เมื่อลูกปืนใหญ่พลัดมาตกใส่บริเวณป่าใกล้หมู่บ้าน ชาวบ้านเหล่านั้นก็จะพากันเข้ามาหลบซ่อนในท่อน้ำ ถนนหินโคน-บ้านกรวด หลับนอนกินอยู่ในท่อน้ำเป็นเวลา 3 วันแล้ว ข้าวอาหารก็หมดแล้ว วันนี้เสียงปืนสงบจึงพากันออกไปขุดมันเผากินประทังชีวิต”

แต่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารอย่าง พล.อ.ประวิตรและพล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังสู้อุตส่าห์เดินทางไปชมการแข่งขันฟุตบอลที่เป็นการฟาดแข้งกันระหว่างสโมสรอาร์มี่ยูไนเต็ดและสโมสรอินทรีเพื่อตำรวจที่สนามกีฬากองทัพบก

พล.อ.ประวิตร เดินทางไปชมเนื่องเพราะน้องชายคือ “นายพงษ์พันธ์ วงษ์สุวรรณ” เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคทีมอาร์มี่ยูไนเต็ด

พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปชมในฐานะประธานสโมสรอาร์มี่ยูไนเต็ด

ก่อนที่พวกเขาจะสำนึกรู้และยกโขยงกันเดินทางไปเยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชาที่ชายแดน แถม พล.อ.ประวิตรยังลงทุนทำกับข้าวให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโชว์สื่อมวลชนเพื่อกลบเกลื่อนรอยด่างของตนเองอีกต่างหาก

นี่ไม่นับรวมถึงความขี้ขลาดของนายอภิสิทธิ์ที่มิเคยปรากฏกายไปให้กำลังใจกับเหล่าทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่เลยแม้แต่น้อย โดยเลือกที่จะเชื่อมสัญญาณวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลไปพูดคุยกับผู้รับผิดชอบในพื้นที่ ก่อนที่จะบังเกิดความกล้าหาญเปลี่ยนใจเดินทางไปเยี่ยมผู้อพยพหลังเหตุการณ์ปะทะล่วงเลยไปถึง 6 วัน

ด้วยเหตุดังกล่าว กระแสเสียงและข้อกล่าวหาว่า รัฐบาลไทยและนายทหารระดับสูงซึ่งเป็นนักรบห้องแอร์ทั้งหลาย “รบแบบปาหี่” หรือ “รบเพื่อของบประมาณ” จึงดังกระหึ่มขึ้นทั่วทั้งประเทศ

ประชาชนคนไทยเริ่มตั้งคำถามหนักๆ เอากับรัฐบาลและทหารว่า ทำไมถึงปล่อยให้ทหารไทยต้องเสียชีวิต ทำไมถึงปล่อยให้ประชาชนคนไทยที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนต้องอพยพหนีภัยกันอย่างจ้าละหวั่น และทำไมถึงปล่อยให้ทหารกัมพูชายิงอาวุธสงครามนานับชนิดถล่มเข้ามาในดินแดนไทย
ทำไมรัฐบาลและทหารถึงไม่มีปฏิบัติการที่ดีกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสกัดกั้นมิให้ทหารกัมพูชาย่ำยีศักดิ์ศรีของคนไทยเช่นนี้

และเมื่อกระแสสังคมเริ่มกดดันมากขึ้น เพราะทนไม่ไหวกับนายทหารไทยคนแล้วคนเล่าที่ต้องพลีชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ บรรดาขุนทหารที่รับรู้ได้ถึงสัญญาณดังกล่าวจึงเปลี่ยนท่าทีของตนเองจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการโบ้ยการตัดสินใจเข้าใส่ฝ่ายการเมืองว่า “....เมื่อยิงมาก็ยิงไป เรายิงมากกว่าทหารกัมพูชาไม่รู้กี่เท่า การจะรบหรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ถ้ารัฐบาลสั่งมา ผมจะเข้าตีให้ เรื่องรบกันไม่ยากหรอก ยืนยันว่า ถ้าสั่งวันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องยึดให้ได้” ตามคำประกาศิตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

และคำประกาศกร้าวของฝ่ายทหาร ก็เป็นที่มาของการปรับเปลี่ยนท่าทีของฝ่ายการเมือง ตลอดรวมถึงฝ่ายรัฐบาลในฉับพลันทันทีเช่นกัน

ดังเช่นที่นายอภิสิทธิ์สั่งการให้ทุกกระทรวงทบทวนกลไกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชาว่า สมควรที่จะดำเนินการต่อไปหรือไม่

ดังเช่นที่ “นายกษิต ภิรมย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศประกาศกร้าวว่า “เราต้องทบทวนนโยบายทั้งหมดที่มีต่อกัมพูชา เนื่องจากทนเห็นไม่ได้ว่าประชาชนตามแนวชายแดน 30,000 คนใน จ.สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ต้องอยู่กันอย่างไรให้ปลอดภัย เราจะเอาศักดิ์ศรีของประเทศไทยมาเล่นไม่ได้ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยพยายามที่จะไม่โยงเหตุการณ์ปะทะกับประเด็นอื่นๆ และหวังว่าเหตุการณ์จะจบลงด้วยการเจรจาตกลงกันเพื่อนำความสงบสุขสันติสุขของประชาชนในพื้นที่เป็นที่ตั้ง แต่ครั้งนี้แสดงให้เห็นความจงใจของกัมพูชาว่า มีความรุกคืบในพื้นที่มาโดยตลอด จนกระทั่งนำไปสู่การปะทะกันจนเกินวิสัยที่จะพูดคุยและเป็นมิตรกันแล้ว”

แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ยังคงรักษาฉายา “รัฐบาลดีแต่พูด-นายกฯ ดีแต่พูดและรัฐมนตรีดีแต่พูด” เอาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เพราะมิได้ออกมาตรการเชิงรุกเพื่อตอบโต้กัมพูชาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย นโยบายที่หลุดออกมาจากการประชุมคณะรัฐมนตรีก็สามารถกล่าวได้ว่า เป็นมาตรการ “หน่อมแน้ม” ที่ทำอย่างเสียไม่ได้เสียมากกว่า ซึ่งถ้าเทียบกับนายฮุนเซนแล้วต้องถือว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ผู้นำไทยคนปัจจุบันชอบสงคราม ยั่วยุให้เกิดสงคราม ผมไม่เคยพบผู้นำไทยคนไหนในอดีตที่มีพฤติกรรมเลวเหมือนอภิสิทธิ์มาก่อน กัมพูชาเป็นประเทศเล็ก ยากจนและมีกองกำลังติดอาวุธขนาดเล็ก แต่ต้องไม่ลืมว่า มดก็สามารถทำร้ายช้างได้”นายฮุนเซนกล่าวและว่า “ขอเรียกร้องให้ประชาชนยุติการใช้สินค้าไทย ถ้าหากว่ามีการปิดพรมแดนเหมือนที่เป็นข่าวและพร้อมที่จะไปใช้สินค้าของจีนและเวียดนามแทน”

กระนั้นก็ดี แม้ทหารไทยและประชาชนชาวไทยจะบาดเจ็บล้มตายไปมากสักเพียงใดก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ รวมถึงตัวนายกษิตเองก็ยังคงหวงแหนและรักใคร่ใน MOU43 ราวกับลูกในท้อง ยังคงมองเห็นว่า ความผิดพลาดที่พรรคประชาธิปัตย์ไปเซ็นลงนามกับกัมพูชาเอาไว้คือคัมภีร์วิเศษที่สามารถแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงได้ ทั้งๆ ที่หลายครั้งที่ผ่านมา ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า MOU43 คือเศษขยะในสายตาของฮุนเซน

เพราะขณะที่นายฮุนเซนไม่ได้ยี่หระกับ MOU43 ด้วยการละเมิดข้อตกลงและส่งกระสุนสารพัดชนิดเข้ามาในดินแดนไทย รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังคงหวงแหนใน MOU43 มิรู้คลาย

ด้วยเหตุดังกล่าว คำว่า “ดื้อตาใส ทำไทยเสียดินแดน” ก็ยังเป็นประโยคที่เหมาะสมสำหรับนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม

****************************************

ทหารเขมรยึด 4.6 ตร.กม.
ทหารไทยเข้าพื้นที่ไม่ได้
“มาร์ค-ป้อม-ตู่-เยิ้ม” ต้องรับผิดชอบ
 

ไม่ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหรือขุนทหารฝ่ายไทยจะพร่ำพรรณนาโอ้อวดสรรพคุณในการทำศึกของตัวเองมากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่สิ่งที่ยืนยันให้เห็นถึงความล้มเหลวชนิดที่รัฐบาลรวมทั้งขุนทหารไม่สามารถแก้ตัวได้ก็คือ การที่ประเทศไทยได้สูญเสียอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กับรัฐบาลของนายฮุนเซนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ เนื่องจากมีข้อมูลยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรดินแดนของราชอาณาจักรไทยที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ให้คำจำกัดความว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” ได้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของทหารกัมพูชาอย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่ทหารไทยไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ หรือถ้าหากต้องการจะเข้าไปก็ต้องติดต่อประสานงานไปยังทหารฝ่ายกัมพูชาเสียก่อน

“ถามว่า ทหารพร้อมจะผลักดันทหารกัมพูชาออกไปหรือไม่ พร้อมครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บังคับบัญชาว่าจะเอาอย่างไร”แหล่งข่าวในกองทัพบกยืนยันข้อมูล

ดังนั้น การที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 พูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่า สามารถปกป้องอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยเอาไว้โดยไม่เสียไปแม้เพียงตารางนิ้วเดียวจึงไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ขุนทหารทั้ง 3 คนกล้าที่จะส่งกองกำลังทหารไทยเข้าไปขับไล่ “ทหารเขมรแดง” ที่นายฮุนเซนและพล.ท.ฮุน มาเน็ตส่งเข้ามายึดครองพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรในฉับพลันทันทีหรือไม่

เนื่องเพราะสภาพการณ์ที่ทหารกัมพูชาติดอาวุธและยึดครองพื้นที่แต่เพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร

และนั่นคือความอึดอัดใจของทหารในพื้นที่ที่พร้อมจะเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติต่างตั้งคำถามกระหึ่มไปทั่วทั้งกองทัพว่า เกิดอะไรขึ้นและทำไมถึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้

นี่ไม่นับรวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชาที่ทำหนังสือด่วนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วขอให้ระงับการก่อสร้างอาคารตรวจคมเข้าเมืองและศุลกากรในพื้นที่อำเภอตาพระยา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณจุดผ่อนปรนตาพระยา-บึงตะกวน ทั้งๆ ที่ก่อสร้างในดินแดนของราชอาณาจักรไทย โดยอ้างคำสั่งของนายฮุนเซน และในจดหมายก็ระบุชัดเจนถึงอำนาจอธิปไตยด้วยแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 แต่ฝ่ายความมั่นคงก็มิได้มีปฏิกิริยากับเรื่องนี้แต่อย่างใด

ที่สำคัญคือถ้าหากรัฐบาลไทยยอมรับจดหมายทักท้วงและมีคำสั่งให้หยุดก่อสร้างและดำเนินการใดๆ ย่อมหมายความว่า นี่เป็นอีกกรณีหนึ่งที่แผนที่ 1:200,000 ที่รัฐบาลไทยยอมรับเอาไว้ใน MOU43 ได้กลายเป็นพันธนาการที่นำไปสู่การเสียดินแดน และรัฐบาลของนายฮุนเซนสามารถนำไปใช้ในการกล่าวอ้างสิทธิต่อนานาชาติเหนือดินแดนอธิปไตยของประเทศไทยได้

ความขี้ขลาด การไร้ภาวะผู้นำและความดื้อตาใสของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้ทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียดินแดนไปเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังไม่ใช่ในทางนิตินัย แต่ในทางพฤตินัยก็ต้องถือว่า เบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยสมบูรณ์แบบ
กำลังโหลดความคิดเห็น