xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับโกหก อับปรีสิทธิ์ MOU เปิดประตูสู่สงคราม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การเปิดฉากทำสงครามระหว่างไทย-กัมพูชาที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 4 ก.พ.54 ซึ่งส่งผลทำให้ทหารเสียชีวิต 2 นายคือ ส.อ.วุธชรินทร์ ชาติคำดี ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 16 พัน.2 ส.อ.ธนากร พูลเพิ่ม อายุ 30 ปี สังกัด ฉก.ทบ.23 และชาวบ้านภูมิซรอลเสียชีวิตอีก 1 ราย คือนายเจริญ ผาหอม รวมทั้งส่งผลทำให้ชาวไทยตลอดแนวชายแดนต้องอพยพลี้ภัยสงครามนับหมื่นคนนั้น ทำให้ปริศนาทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาคลี่คลายลงในทันที

คลี่คลายในประเด็นที่ว่า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไทย-กัมพูชา 2543 หรือ MOU43 มิได้มีคุณประโยชน์กับประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย

เพราะจากเดิมที่ศาลโลกตัดสินให้เฉพาะ “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตกอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา แต่ MOU43 ได้อนุญาตให้กัมพูชาขยายอธิปไตยเพิ่มเติมด้วยการผนวกรวมพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนด้วยการยอมรับแผนที่มาตรส่วน 1 ต่อ 200,000

เพราะจากเดิมที่ “วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ” คือดินแดนของประเทศไทย แต่ผลของ MOU43 ได้เซ็นยกพื้นที่ของวัดแก้ว” ให้ตกเป็นของกัมพูชาด้วยความยินยอมพร้อมใจ

และที่สำคัญคือ MOU43 ได้อนุญาตให้ทหารกัมพูชาสามารถปกป้องอธิปไตยของตนเองได้อย่างชอบธรรมในการยิงอาวุธสงครามสารพัดชนิดเข้าใส่ทหารและประชาชนชาวไทยได้ชนิดที่ประเทศไทยไม่มีข้อโต้แย้ง และรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ตลอดรวมถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่มีปัญหาที่จะยึดคืนพื้นที่เหล่านั้นกลับคืนมา

และที่สำคัญคือ MOU43คือ บันทึกทางกฎหมายที่ช่วยให้รัฐบาลของนายฮุนเซนสามารถยกระดับข้อพิพาทเข้าไปสู่เวทีสหประชาชาติได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่ง

**MOU43 ต้นตอแห่งสงคราม
อาวุธเขมรยึดแผ่นดินไทย

ถามว่า สงครามระหว่างไทย-กัมพูชาที่เปิดศึกปะทะกันตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.54 ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 7 ก.พ.54 นั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร

คงต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 ก.พ.ซึ่งขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เริ่มต้นเปิดฉากจากการที่ทหารกัมพูชาใช้อาวุธประจำกายยิงเข้าใส่ทหารไทยที่บริเวณฐาน ตชด.เก่า ลำห้วยตามาเลีย ภูมะเขือ ห่างจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระประมาณ 400 เมตร ดังเช่นที่บุคคลสำคัญของรัฐบาลกัมพูชาดาหน้ากันออกมาแสดงความอหังการ

ไม่ว่าจะเป็น “นายเขียว กันหะริด” รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารกัมพูชาประกาศว่า เป็นผลมาจากทหารไทยไม่ใส่ใจกับการยิงเตือนขึ้นฟ้าของทหารกัมพูชาว่า กำลังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของกัมพูชา

ไม่ว่าจะเป็น “พล.อ.เตีย บัญ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาที่ประกาศว่า “เราได้เตือนพวกเขาไม่ให้เข้าสู่ดินแดนของเรา แต่พวกเขายังคงฝ่าฝืน ดังนั้นเราจึงต้องปกป้องดินแดนของเรา”

ไม่ว่าจะเป็นนายไพ สิพัน โฆษกรัฐบาลกัมพูชาที่กล่าวว่า ทหารไทยได้ข้ามเข้ามาเขตอธิปไตยของของกัมพูชา 500 เมตร

หรือจะเป็นนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ระบุว่า ไทยได้รุกล้ำเขตแดนกัมพูชาซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลง

คำกล่าวอ้างของแกนนำคนสำคัญของรัฐบาลกัมพูชาถือเป็นประเด็นที่สำคัญมาก

เพราะถ้าหากพิจารณาจุดที่มีการปะทะกันจะเห็นชัดเจนว่า เกิดขึ้นในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทย แต่กัมพูชายึดถือว่าเป็นดินแดนของตัวเอง

นั่นหมายความว่า กระสุนที่ลั่นออกมาจากปากกระบอกปืนของทหารกัมพูชาคือ “ใบเสร็จ” หรือ “ประจักษ์พยาน” ที่ประกาศให้คนไทยและสังคมโลกรับรู้ว่า ทหารไทยกำลังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของกัมพูชา โดยกัมพูชามิได้สนใจที่จะใช้ MOU43 เป็นเครื่องมือในการเจรจาแต่อย่างใด หากตัดสินใจใช้กำลังทหารเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของเหนือดินแดนที่เป็นของราชอาณาจักรไทย

ขณะเดียวกันก็หมายความว่า นับจากนี้เป็นต้นไปพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรคือพื้นที่ของราชอาณาจักรกัมพูชาโดยสมบูรณ์แบบทั้งโดยนิตินัยคือการไปยอมรับ MOU43 ของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และทั้งโดยพฤตินัยโดยการยึดครองด้วยการสร้างวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ การสร้างตลาด การสร้างชุมชุมและการใช้กำลังทางทหารประจำการอยู่ในพื้นที่

ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาเนื้อหาในแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาที่ประกาศเมื่อวันที่ 28 ม.ค.54 หรือประกาศก่อนการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชาไม่กี่วัน ก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนถึงตรรกะในการต่อสู้ของรัฐบาลนายฮุนเซน และกระชากหน้ากากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นอย่างดีว่า MOU43 ที่พวกเขาถือเป็นคัมภีร์อันวิเศษในการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชานั้น มิได้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยและคนไทยเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามได้กลับกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการยึดครองแผ่นดินไทยของกัมพูชาด้วยซ้ำไป

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า มาตรา 1(ค) ใน MOU43 ที่ได้ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.43 นั้นยอมรับแผนที่ทั้ง 11 ระวาง ซึ่งรวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ด้วย

และแถลงการณ์ดังกล่าวระบุชัดเจนว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระตั้งอยู่ในดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชา มิใช่อยู่ในดินแดนของราชอาณาจักรไทย

หรือสรุปง่ายๆ ว่า ณ บัดนี้ไทยได้สูญเสียดินแดนครั้งที่ 15 ให้กับกัมพูชาภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์โดยสมบูรณ์แบบแล้ว

แต่ที่เจ็บปวดไปกว่านั้นก็คือ การที่หารกัมพูชาเหิมเกริมด้วยการบุกเข้ามาเผาด่านเก็บเงินของอุทยานชาติปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศไทยจนพินาศย่อยยับไม่มีชิ้นดี

ถามว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะทวงดินแดนที่สูญเสียให้กับประชาชนคนไทยได้อย่างไร

แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ ทั้งๆ ที่สงครามที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์มีความชอบธรรมที่ยกเลิก MOU43 ได้ในทันทีเพราะกัมพูชาทำผิดข้อตกลงทุกประการ แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ทำ แถมยังทำตัวเสมือนเป็นองครักษ์พิทักษ์ MOU43 พยายามสร้างกระแสด้วยการโยนความผิดให้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า เป็นต้นเหตุแห่งสงคราม ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เป็นผลมาจาก MOU43 ทั้งสิ้น

**ฮุนเซนไม่เจรจา-ไทยอยากเจรจา
เกิดอะไรขึ้นกับอับ(ปรี)สิทธิ์

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งก็คือ สงครามที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า ขณะที่รัฐบาลไทยของนายอภิสิทธิ์ยึดมั่นอยู่กับการเจรจาตาม MOU43 รัฐบาลของนายฮุนเซนกลับมิได้สนใจใยดีต่อการเจรจาแต่อย่างใด

หลักฐานที่พิสูจน์ชัดคือ ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยกำลังประชุมคณะกรรมาธิการความร่วมมือทวิภาคี(เจซี) ไทย-กัมพูชา ร่วมกับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาอยู่ที่เสียมราฐ โดยทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันว่าจะไม่มีการใช้กำลังทางทหารนั้น ทหารกัมพูชาก็ได้เปิดฉากยิงเข้าใส่ทหารไทยในทันที โดยที่มิได้สนใจใยต่อการเจรจาระหว่างนายกษิตและนายฮอร์ นัมฮงแม้แต่น้อย

หลักฐานที่พิสูจน์ชัดก็คือ ขณะที่ “บิ๊กเยิ้ม” -พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ประกาศแนวความคิดอันเลิศหรูอลังการด้วยการเสนอให้มีการขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่อยู่ในฝั่งไทย เช่น สระตราว สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำ ฯลฯ เป็นมรดกโลกควบคู่กับปราสาทพระวิหารของกัมพูชา เพียงแค่ไม่กี่วัน ทหารกัมพูชาก็มิได้สนใจต่อแนวคิดของบิ๊กเยิ้ม พร้อมส่งกระสุนทั้งจากปืนใหญ่และเครื่องยิงจรวดเห่าไฟเข้ามาให้ชาวบ้านได้อพยพหลบหนีภัยสงครามกันอย่างจ้าละหวั่น

หลักฐานที่พิสูจน์ชัดอีกประการหนึ่งก็คือ ขณะที่พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 พ.อ.กนก ภู่ม่วง ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 8 ค่ายสีหราชเดโชชัยและนายทหารระดับสูบจากกองกำลังสุรนารีประมาณ 15 นายเดินทางผ่านจุดผ่านแดนถาวรช่องสำงำ จ.ศรีสะเกษเข้าไปในพื้นที่ อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และไปยังร้านจำหน่ายอาหาร “ซึมเมา” ห่างจากชายแดนไทย 1 กิโลเมตรเพื่อร่วมประชุมกับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา โดยมี พล.ท.เจีย มอญ ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 พล.ท.ซรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลที่ 3 ประจำจังหวัดพระวิหาร และทหารกัมพูชาประมาณ 100 นาย พร้อมกับมีการออกข่าวคราวใหญ่โตว่า สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ทหารกัมพูชาและทหารไทยก็เปิดฉากปะทะกันอีกครั้ง แถมทหารกัมพูชาก็ปรับวิถีกระสุนโหมกระหน่ำเข้าใส่พื้นที่ที่ประชาชนคนไทยอาศัยอยู่ซ้ำเข้ามาอีก

ทั้งหลายทั้งปวงแสดงให้เห็นว่า กัมพูชามิได้สนใจใยดีกับการเจรจาอันไร้สาระเลยแม้แต่น้อย แถมยังสามารถตบหน้านายกษิตและทหารไทยได้อีกฉาดใหญ่ด้วยความสะใจด้วย

นโยบาย “ลิ้นสองแฉก” อันเป็นสันดานเดิมที่บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาสามารถอ้างสิทธิอันชอบธรรมโดยมีลายเซ็นของนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีและ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นปรากฏรับรองใน MOU43

และตอกย้ำกันด้วยคำให้สัมภาษณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ที่ประกาศยกแผ่นดินให้กัมพูชาด้วยความยินยอมพร้อมใจ ทั้งจากตัวนายอภิสิทธิ์ ทั้งจากตัวนายกษิตเอง ทั้งจากตัวนายสุเทพเอง ทั้งจากตัวพล.อ.ประวิตรเอง รวมทั้งบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม ตลอดถึงวอลเปเปอร์ผู้ทรงอิทธิพลข้างกายนายอภิสิทธิ์อย่างนายศิริโชค โสภา และเอกสารหลักฐานที่พรรคประชาธิปัตย์จัดทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชน

แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ ขณะที่ทหารกัมพูชาใช้วัดแก้วสิขาคีรีสวาระดินแดนภายใต้อธิปไตยของไทยเป็นฐานในการยิงปืนใหญ่และอาวุธสงครามถล่มไทยได้อย่างสบายใจเฉิบ ประชาชนคนไทยที่อาศัยตามแนวชายแดนกว่า 2 หมื่นคนกลับไปสามารถใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเรือนของตนเองได้ และต้องมานอนอยู่ในเต้นท์ที่ศูนย์อพยพอย่างไม่มีกำหนด

แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ บริเวณภูมะเขือที่ตั้งอยู่ในดินแดนของประเทศไทยได้ถูกทหารกัมพูชายึด พร้อมทั้งดัดแปลงสภาพให้กลายเป็นศูนย์โทรคมนาคมโดยถูกสร้างขึ้นด้วยการใช้กระเช้าลอยฟ้า จากนั้นใช้เป็นฐานวางกำลังทหารยิงอาวุธสงครามใส่ราษฎรไทย

ทว่า สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ นายอภิสิทธิ์ไม่เคยยอมรับว่า MOU 43 คือต้นเหตุแห่งปัญหา แถมเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมายังพูดออกมาหน้าตาเฉยอีกต่างหากว่า “ขอให้ดูตอนนี้ที่จะไม่ให้ใช้เอ็มโอยู มีเพียงพันธมิตรฯ กับสมเด็จฯ ฮุนเซนเท่านั้น คนอื่นไม่สนับสนุนอย่างนั้น ก็มีตอนที่ที่สมเด็จฯ ฮุนเซนสนับสนุนพันธมิตรฯ ว่า ไม่เอาเอ็มโอยู จะได้ไปฟ้องสหประชาชาติและดึงชาติอื่นเข้ามา”

นี่คือตรรกะที่สะท้อนให้เห็นถึงรอยหยักในสมองของนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี เพราะในความเป็นจริงนั้นทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า นายฮุนเซนและกัมพูชาไม่เคยเล่นเกมหน้าเดียว หากแต่เล่นเกม 2 หน้ามาโดยตลอด กล่าวคือ กัมพูชาใช้ MOU43 เป็นอาวุธในการสะกดนายอภิสิทธิ์ให้อยู่หมัดโดยมีลายเซ็นของนายชวน หลีกภัยเป็นตัวประกัน และมีทางสู้ทางเดียวคือการเจรจา แถมยังห้ามเปลี่ยนแปลงใดๆ ในดินแดนอันเป็นอธิปไตยของตัวเองแต่กัมพูชายึดถือว่าเป็นของเขา ขณะที่ในอีกหน้าหนึ่งนายฮุนเซนก็จุดชนวนสงครามและเดินเกมระหว่างประเทศเพื่อยึดครองประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน โดยที่มิได้มาหมกมุ่นหรือลุ่มหลงใน MOU43 เหมือนกับนายอภิสิทธิ์

นี่ต่างหากคือข้อเท็จจริง ซึ่งมิใช่อย่างที่นายอภิสิทธิ์กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ดังนั้น นี่คือการบิดเบือนความจริงที่น่าละอายใจที่สุดของผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

**ผ่าแผนชั่วฮุนเซน
ดึงเกมสู่เวทีโลก

ทั้งนี้ ใครที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาชายไทยระหว่างไทย-กัมพูชามาอย่างต่อเนื่องก็จะพบความจริงประกาศหนึ่งว่า ก่อนที่การปะทะกันจะเกิดขึ้นที่สมรภูมิภูมะเขือ รัฐบาลของนายฮุนเซนวางแผนและดำเนินการที่จะยึดครองประเทศไทยมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง

ไม่ใช่แค่ 1 ปีหรือ 2 ปี แต่มีการวางยุทธศาสตร์นับเป็นสิบๆ ปีเลยทีเดียว

เริ่มต้นจากในปี 2541 ที่มีชุมชนกัมพูชามาตั้งร้านค้าและแผงลอยบริเวณทางขึ้นปราสาทพระวิหารในเขตไทยเพื่อขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งว่ากันว่า ผู้ที่ยินยอมพร้อมใจให้ชุมชนกัมพูชาเข้ามาได้ก็คือ บิ๊กทหารที่ทำมาหากินอยู่ตามแนวบริเวณชายแดน

จากนั้นในช่วงปีเดียวกันต่อเนื่องมาจนถึงปี 2542 ก็ได้มีการสร้างวัดแก้วสิขาคีรีสวาระขึ้นที่บริเวณฝั่งตะวันตกของประสาทพระวิหารนอกเขตที่กั้นรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2505 หรือล้ำเข้ามาในอาณาเขตของประเทศไทยนั่นเอง

และถัดมาอีกไม่นานนัก การรุกคืบของกัมพูชาก็ประสบความสำเร็จชนิดที่ไม่มีคาดคิด เมื่อรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้จัดทำ MOU43 ร่วมกับกัมพูชา โดยสาระที่สำคัญยิ่งของบันทึกฉบับนี้ก็คือ การยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

ทันทีที่ MOU43 เกิดขึ้น รัฐบาลของนายฮุนเซนก็เริ่มปฏิบัติการต่อทันทีด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะนับจากนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลไทยเซ็นยกอธิปไตยให้กับกัมพูชาด้วยความยินยอมพร้อมใจ

ต่อมาในช่วงปี 2547-2548 มีการขยายตัวของชุมชนกัมพูชา มีการก่อสร้างอาคารถาวรเพื่อเป็นที่ทำการเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกัมพูชาและมีการสร้างถนนจากบ้านโกมุยของกัมพูชาขึ้นมายังเขาพระวิหาร โดยบริษัทที่เป็นของลูกสาวซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของไทยอย่างชัดเจน ซึ่งในขณะนั้นกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ทำหนังสือประท้วงต่อกัมพูชาหลายฉบับ แต่กัมพูชานิ่งเฉยโดยอ้างว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา

นอกจากนี้ ชุมชนกัมพูชาดังกล่าวยังได้สร้างปัญหามลภาวะด้วยการปล่อยน้ำเสียทิ้งลงมาและไหลลงสู่สระตราว ซึ่งชาวบ้านของไทยจำนวน 5 หมู่บ้านในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษได้มีการประท้วงต่อจังหวัดศรีสะเกษเกี่ยวกับผลกระทบจากน้ำเสีย แต่ก็เช่นทุกครั้งที่ผ่านมาที่การประท้วงทุกครั้งมิได้ดำเนินการอย่างจริงจังว ซึ่งชาวบ้านของไทยจำนวน 5 หมู่

เหล่านี้คือการวางแผนที่มีการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ต้องบอกว่า เป็นการทำงานอย่างเป็นระบบและทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยความอดทน โดยที่ MOU43 มิได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แถมยังถูกใช้เป็นอาวุธอันทรงอานุภาพในการกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตาม MOU43 ขณะที่ฝ่ายไทยเองไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในดินแดนไทยได้เพราะมี MOU43 ปิดปากเอาไว้

กรณีที่ชัดเจนยิ่งก็คือ วัดแก้วสิขาคีรีสวาระที่กัมพูชาสร้างขึ้นในดินแดนไทยที่สามารถดำรงอยู่ต่อไปด้วยการรับรองของ MOU43

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จสูงสุดของกัมพูชาและนายฮุนเซนก็คือ การวางแผนขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะนั่นหมายความว่า เขาจะประสบความสำเร็จอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการครอบครองปราสาทพระวิหารอย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่ไม่สนใจในข้อสงวนสิทธิของที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นได้ส่งหนังสือถึงนายอู ถั่น รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติในการทวงปราสาทพระวิหารกลับคืนมา

โดยประวัติศาสตร์หน้าแรกของการยื่นขอจดทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อยูเนสโก(UNESCO) เกิดขึ้นในวันที่ 28 มิ.ย.2550 เมื่อรัฐบาลกัมพูชายื่นคำขอในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 31 ณ เมืองไครส์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ จากนั้นในปี 2549 กัมพูชาได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารพร้อมแผนที่ประกอบ ซึ่งบางส่วนของพื้นที่อนุรักษ์ดังกล่าวได้ก้าวล้ำเข้ามาในดินแดนไทย

และเหยื่อล่อที่สำคัญยิ่งต่อนักการเมืองไทยก็คือ ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาลที่อยู่ในทะเลมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านบาทอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
ในที่สุดความพยายามของกัมพูชาก็ประสบความสำเร็จ เมื่อรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช โดย “นายนพดล ปัทมะ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปเซ็นลงนามในแถลงการณ์ร่วม(Joint communiqué) และเอกสารฉบับดังกล่าวก็เป็นเอกสารสำคัญที่ทำให้กัมพูชาสามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวได้เป็นผลสำเร็จ โดยมียูเนสโกร่วมสมคบคิดเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์จากเม็ดเงินที่จะเกิดขึ้นจากการบูรณะปราสาทและการท่องเที่ยว

และกัมพูชาก็มิได้สนใจใยดีว่าจะกระทบความสัมพันธ์กับไทยแต่อย่างใด เพราะเป้าหมายของการยิงปืนใหญ่เข้าใส่ไทยมิใช่พื้นที่ทหาร หากแต่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนคนไทย ยกตัวอย่างเช่นที่บ้านภูมิซรอล ซึ่งปรากฏภาพความเสียหายของทรัพย์สินรวมทั้งชีวิตของคนไทยที่ต้องดับสูญไป

เช่นเดียวกับสงครามที่เกิดขึ้นที่สมรภูมิภูมะเขือและอีกหลายพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งในการประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนของกัมพูชา ดังจะเห็นได้จากท่าทีของรัฐบาลนายฮุนเซนที่ประกาศต่อชาวโลก รวมทั้งยูเนสโก คณะกรรมการมรดกโลกและองค์การสหประชาชาติหลายต่อหลายครั้งว่า ไทยรุกดินแดนของกัมพูชา รวมทั้งการออกมาแถลงด้วยตัวเองของนายฮุนเซนว่า กัมพูชาขอเรียกร้องให้สหประชาชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามารักษาความสงบในพื้นที่พิพาทเพราะถูกไทยรุกราน

พร้อมให้เหตุผลประกอบว่า เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายไม่อาจเจรจาหรือรับฟังกันและกันอีกต่อไป
เด็ดสะระตี่สมกับที่ได้รับการสถาปนาอิสริยยศจากกษัตริย์กัมพูชาให้เป็น “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโช ฮุนเซน” จริงๆ

ทั้งนี้ แม้เสียงตอบรับจากสหประชาชาติ โดยเฉพาะคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะไม่เป็นไปตามที่นายฮุนเซนปรารถนา เนื่องจากพวกเขาต้องการให้แก้ปัญหาในระดับทวิภาคี แต่มหามิตรที่เข้าข้างกัมพูชามาตลอดอย่าง “นางไอรินา โบโควา” ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโกฉ ก็เด้งรับต่อแผนการของนายฮุนเซนในทันทีด้วยการประกาศส่งคณะทำงานเข้าไปยังพื้นที่ปราสาทพระวิหารเพื่อประเมินสภาพหลังจากที่ได้รับความเสียหายจากการสู้รบ

เฉกเช่นเดียวกับมหามิตรของกัมพูชาอย่างฝรั่งเศสที่ออกมาขออาสาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

นี่คือ ละครน้ำเน่าที่มีการเขียนบทเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ การเปิดฉากทำสงครามกับไทยยังส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลนายฮุนเซนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากถือเป็นการปลุกกระแส “คลั่งชาติ” ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากการระดมโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อต่างๆ มาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากปล่อยภาพอาวุธสงครามนานาชนิดมาใช้ในการรบกับไทย

ดังเช่นที่ “นายวิลเลียม เคส” ผอ.ศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฮ่องกงมอง่า นายฮุนเซนจงใจเดินเกมเพื่อปลุกกระแสรักชาติและเรียกร้องเสียงสนับสนุนให้กับตัวเอง

และดังเช่นที่ “นายไมเคิล มอนเตซาโน” นักวิเคราะห์จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์ที่กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ปัญหาเรื่องพรมแดนจะส่งผลดีทางการเมืองแก่ตัวนายฮุนเซน ทั้งนี้ เพราะกัมพูชาจะจัดการเลือกตั้งในปี 2556

นี่ไม่นับรวมถึงการที่กัมพูชาฉวยโอกาสการทำสงครามกับไทยด้วยการสั่งให้สถานีโทรทัศน์บายนที่ “ฮุน มานา” ลูกสาวของเขาเป็นเจ้าของ และสถานีโทรทัศน์ CTN ที่ “นายกิ๊ดเม้ง” บริวารใกล้ชิดตั้งกองทุนเพื่อระดมเงินจากประชาชนบริจาคให้กับทหารในแนวหน้า

ร้ายไปกว่านั้นก็คือ การทำสงครามกับไทยครั้งนี้ กัมพูชามิได้สนใจใยดีต่อความเป็นอยู่ของปราสาทพระวิหารอันเป็นมรดกที่เขาภาคภูมิใจอีกต่างหาก เพราะมีประจักษ์พยานยืนยันว่า กัมพูชาใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานยิงอาวุธสงครามเข้าใส่อีกต่างหาก ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรนัก เนื่องจากสิ่งที่กัมพูชาต้องการได้จริงๆ มิใช่ตัวปราสาทพระวิหาร หากแต่คือดินแดนของราชอาณาจักรไทย

...และวันนี้ สังคมไทยก็ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของนายฮุนเซนและนายอภิสิทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น