ASTVผู้จัดการออนไลน์ - นักกฎหมายระหว่างประเทศชี้การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบบันทึกการประชุมเจบีซี เป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงขัดต่อรัฐธรรมนูญของไทย ทั้งยังจะนำไปสู่การประกาศผูกพันต่อรัฐต่างประเทศฝ่ายเดียวด้วยการรับรอง MOU43 ที่ตกเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญของกัมพูชาอีกด้วย
นายเจริญ คัมภีรภาพ นักกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวถึงการประชุมรัฐสภาในวันที่ 29 มี.ค. นี้เพื่อลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบรายงานผลการศึกษาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี จำนวน 3 ฉบับ หลังจากที่การประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา หาข้อยุติไม่ได้ จนต้องมีการเลื่อนประชุมและขอให้สมาชิกรัฐสภาให้การรับทราบบันทึกดังกล่าวว่า การประชุมสองสภาของไทยมีประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ดีอยู่ 2 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก บันทึกความเข้าใจเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 หรือ MOU 43 ซึ่งกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) เพื่อรับผิดชอบการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกันนั้น ตกเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญของกัมพูชาแล้ว เพราะรัฐธรรมนูญของกัมพูชา ระบุเขตแดนต้องยึดแผนที่มาตราส่วน 1:100,000 หากสนธิสัญญาและข้อตกลงใดขัดจะต้องถือเป็นโมฆะ ขณะที่ MOU 43 รัฐบาลกัมพูชาได้อ้างอิงการใช้แผนที่มาตรส่วน 1: 200,000 ซึ่งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญของกัมพูชา ดังนั้นเมื่อรัฐสภาของไทยรู้ว่า MOU 43 ตกเป็นโมฆะแล้ว เหตุใดจึงยังจะไปรับรองการเป็นโมฆะนั้น (อ่านรายละเอียดในข่าวประกอบ)
ประเด็นที่สอง เมื่อ MOU 43 ตกเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญกัมพูชาแล้ว การประชุมรัฐสภาของไทยจึงถือเป็นการประชุมที่นำไปสู่การประกาศฝ่ายเดียวที่ผูกพันต่อรัฐต่างประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยไม่ได้ให้อำนาจไว้ จึงถือเป็นการประชุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของไทย การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติรับหรือไม่รับ หรือเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในรายงานผลการศึกษาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยฯ หรือ เจบีซี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 มี.ค.นี้จึงไม่สามารถประชุมเพื่อลงมติใดๆ ได้
อนึ่ง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สรุปผลเสียหายที่จะเกิดขึ้ หากที่ประชุมรัฐสภาผ่านความเห็นชอบในบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา จะเกิดผลเสียหาย 6 ประการ ดังนี้
1. จะเป็นการให้สมาชิกรัฐสภาไทยยอมสละละทิ้งผลงานการสำรวจและปักปันกันไปแล้วระหว่างสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อ 103 ปีเสร็จสิ้นไปแล้วว่าบริเวณช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกถึงช่องบก จ.อุบลราชาธานี ความยาว 195 กิโลเมตร (รวมเขาพระวิหาร) ให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำและเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยไม่เคยและไม่ต้องทำหลักเขตแดน ให้กลายมาเป็นต้องตกลงกันใหม่ ให้มาจัดทำหลักเขตแดนกันใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้ไทยต้องเสียเปรียบเพราะจะทำให้นานาชาติเข้าใจผิด ดังที่กัมพูชาพยายามอธิบายมาโดยตลอดว่าไทยกับกัมพูชากำลังทำหลักเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวและเป็นแผนที่ซึ่งทำผิดกินรุกเข้ามาในดินแดนไทย ตามข้อความที่ปรากฏในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543 ซึ่งแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 จะทำให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนตลอดชายแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 1.8 ล้านไร่
2. จะเป็นการให้รัฐสภาไทยให้ความเห็นชอบคำปราศรัยอยู่ในบันทึกผลการประชุมของนาย วาร์ คิม ฮง ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายกัมพูชากล่าวร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่า ไทยเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 บริเวณปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย
3. จะเป็นการให้รัฐสภาไทยรับรองผลการประชุมที่มีการแนบนำร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ว่าจะให้มีการจัดทำหลักเขตแดนทางบกในบริเวณเขาพระวิหาร โดยมีการระบุอยู่ในร่างข้อตกลงชั่วคราวว่า ให้ยืนยันการใช้ MOU 2543 และ TOR 2546 ทั้งๆ ที่ MOU 2543 นั้นมีปัญหาที่ไทยเสียเปรียบหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่รุกล้ำอธิปไตยไทยให้มาอยู่บนโต๊ะเจรจามีสภาพบังคับให้พิจารณาเป็นครั้งแรกให้ไทยต้องเสียเปรียบ มีข้อกำหนดที่เป็นผลทำให้เป็นการมัดแสนยานุภาพทางการทหารของไทยและใช้การเจรจาด้วยสันติวิธีอย่างเดียวหากมีการพิพาทกัน ทำให้ทหารกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนไทยอยู่สามารถยึดครองต่อไปได้อย่างไม่มีกำหนดระยะเวลาจนกว่าผลการเจรจาจะเป็นที่พอใจต่อฝ่ายกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ซ้ำร้ายยังทำให้กัมพูชารุกรานแผ่นดินไทยเพิ่มเติมมาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้น MOU 2543 ได้จัดทำขึ้นโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาทั้งๆ ที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต จึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 244 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ดังนั้น MOU 2543 เป็นโมฆะมาตั้งแต่ตอนต้น
4. จะเป็นการให้รัฐสภาไทยรับรองผลการประชุมที่มีการแนบร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ระบุว่าให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาถอนออกจากวัดแก้วสิขะคีรีสะวาราทั้งๆ ที่บริเวณดังกล่าวเป็นแผ่นดินไทยที่กัมพูชาเพิ่งมาสร้างวัดในปี พ.ศ. 2546 การถอนกำลังทหารไทยในแผ่นดินไทย จะเป็นผลทำให้เขตปลอดทหารทำให้กลายเป็นพื้นที่สันติภาพเข้าเงื่อนไขที่กัมพูชาเตรียมนำพื้นที่บริเวณดังกล่าวที่เป็นแผ่นดินไทยนำไปเสนอเป็นส่วนหนึ่งแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ในเวทีมรดกโลกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554
5. จะเป็นการให้รัฐสภาไทยรับรองบันทึกผลการประชุมที่ผิดขั้นตอน เช่น การยังไม่ได้ผ่านการลงนามโดยพนักงานสำรวจฝ่ายไทย และหลักเขตที่ 23 ถึง 51 ก็ยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากเจ้ากรมแผนที่ทหาร จึงถือว่าเป็นการลักไก่เสนอให้กัมพูชาและลักไก่ขอความเห็นชอบจากรัฐสภาไทยอย่างไม่ถูกต้องตามขั้นตอน
6. จะเป็นการให้รัฐสภารับรองขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพราะจากรายงานของคณะทำงานที่ศึกษาเรื่องเขาพระวิหารของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นการับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างไม่ถูกต้อง เช่น ไม่บอกประชาชนให้รับทราบว่าเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190, ให้ข้อมูลด้านเดียวตามที่กระทรวงการต่างประเทศต้องการโดยไม่ให้ข้อมูลด้านลบ, ในบางเวทีเมื่อมีการคัดค้านก็ใช้วิธีการปิดประชุมและไม่รายงานการคัดค้านของนักวิชาการและประชาชน, มีการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้อง เช่น เชียงใหม่, สุราษฎร์ธานี ฯลฯ ...
นายเจริญ คัมภีรภาพ นักกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวถึงการประชุมรัฐสภาในวันที่ 29 มี.ค. นี้เพื่อลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบรายงานผลการศึกษาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี จำนวน 3 ฉบับ หลังจากที่การประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา หาข้อยุติไม่ได้ จนต้องมีการเลื่อนประชุมและขอให้สมาชิกรัฐสภาให้การรับทราบบันทึกดังกล่าวว่า การประชุมสองสภาของไทยมีประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ดีอยู่ 2 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก บันทึกความเข้าใจเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 หรือ MOU 43 ซึ่งกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) เพื่อรับผิดชอบการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกันนั้น ตกเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญของกัมพูชาแล้ว เพราะรัฐธรรมนูญของกัมพูชา ระบุเขตแดนต้องยึดแผนที่มาตราส่วน 1:100,000 หากสนธิสัญญาและข้อตกลงใดขัดจะต้องถือเป็นโมฆะ ขณะที่ MOU 43 รัฐบาลกัมพูชาได้อ้างอิงการใช้แผนที่มาตรส่วน 1: 200,000 ซึ่งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญของกัมพูชา ดังนั้นเมื่อรัฐสภาของไทยรู้ว่า MOU 43 ตกเป็นโมฆะแล้ว เหตุใดจึงยังจะไปรับรองการเป็นโมฆะนั้น (อ่านรายละเอียดในข่าวประกอบ)
ประเด็นที่สอง เมื่อ MOU 43 ตกเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญกัมพูชาแล้ว การประชุมรัฐสภาของไทยจึงถือเป็นการประชุมที่นำไปสู่การประกาศฝ่ายเดียวที่ผูกพันต่อรัฐต่างประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยไม่ได้ให้อำนาจไว้ จึงถือเป็นการประชุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของไทย การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติรับหรือไม่รับ หรือเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในรายงานผลการศึกษาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยฯ หรือ เจบีซี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 มี.ค.นี้จึงไม่สามารถประชุมเพื่อลงมติใดๆ ได้
อนึ่ง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สรุปผลเสียหายที่จะเกิดขึ้ หากที่ประชุมรัฐสภาผ่านความเห็นชอบในบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา จะเกิดผลเสียหาย 6 ประการ ดังนี้
1. จะเป็นการให้สมาชิกรัฐสภาไทยยอมสละละทิ้งผลงานการสำรวจและปักปันกันไปแล้วระหว่างสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อ 103 ปีเสร็จสิ้นไปแล้วว่าบริเวณช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกถึงช่องบก จ.อุบลราชาธานี ความยาว 195 กิโลเมตร (รวมเขาพระวิหาร) ให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำและเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยไม่เคยและไม่ต้องทำหลักเขตแดน ให้กลายมาเป็นต้องตกลงกันใหม่ ให้มาจัดทำหลักเขตแดนกันใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้ไทยต้องเสียเปรียบเพราะจะทำให้นานาชาติเข้าใจผิด ดังที่กัมพูชาพยายามอธิบายมาโดยตลอดว่าไทยกับกัมพูชากำลังทำหลักเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวและเป็นแผนที่ซึ่งทำผิดกินรุกเข้ามาในดินแดนไทย ตามข้อความที่ปรากฏในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543 ซึ่งแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 จะทำให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนตลอดชายแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 1.8 ล้านไร่
2. จะเป็นการให้รัฐสภาไทยให้ความเห็นชอบคำปราศรัยอยู่ในบันทึกผลการประชุมของนาย วาร์ คิม ฮง ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายกัมพูชากล่าวร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่า ไทยเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 บริเวณปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย
3. จะเป็นการให้รัฐสภาไทยรับรองผลการประชุมที่มีการแนบนำร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ว่าจะให้มีการจัดทำหลักเขตแดนทางบกในบริเวณเขาพระวิหาร โดยมีการระบุอยู่ในร่างข้อตกลงชั่วคราวว่า ให้ยืนยันการใช้ MOU 2543 และ TOR 2546 ทั้งๆ ที่ MOU 2543 นั้นมีปัญหาที่ไทยเสียเปรียบหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่รุกล้ำอธิปไตยไทยให้มาอยู่บนโต๊ะเจรจามีสภาพบังคับให้พิจารณาเป็นครั้งแรกให้ไทยต้องเสียเปรียบ มีข้อกำหนดที่เป็นผลทำให้เป็นการมัดแสนยานุภาพทางการทหารของไทยและใช้การเจรจาด้วยสันติวิธีอย่างเดียวหากมีการพิพาทกัน ทำให้ทหารกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนไทยอยู่สามารถยึดครองต่อไปได้อย่างไม่มีกำหนดระยะเวลาจนกว่าผลการเจรจาจะเป็นที่พอใจต่อฝ่ายกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ซ้ำร้ายยังทำให้กัมพูชารุกรานแผ่นดินไทยเพิ่มเติมมาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้น MOU 2543 ได้จัดทำขึ้นโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาทั้งๆ ที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต จึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 244 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ดังนั้น MOU 2543 เป็นโมฆะมาตั้งแต่ตอนต้น
4. จะเป็นการให้รัฐสภาไทยรับรองผลการประชุมที่มีการแนบร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ระบุว่าให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาถอนออกจากวัดแก้วสิขะคีรีสะวาราทั้งๆ ที่บริเวณดังกล่าวเป็นแผ่นดินไทยที่กัมพูชาเพิ่งมาสร้างวัดในปี พ.ศ. 2546 การถอนกำลังทหารไทยในแผ่นดินไทย จะเป็นผลทำให้เขตปลอดทหารทำให้กลายเป็นพื้นที่สันติภาพเข้าเงื่อนไขที่กัมพูชาเตรียมนำพื้นที่บริเวณดังกล่าวที่เป็นแผ่นดินไทยนำไปเสนอเป็นส่วนหนึ่งแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ในเวทีมรดกโลกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554
5. จะเป็นการให้รัฐสภาไทยรับรองบันทึกผลการประชุมที่ผิดขั้นตอน เช่น การยังไม่ได้ผ่านการลงนามโดยพนักงานสำรวจฝ่ายไทย และหลักเขตที่ 23 ถึง 51 ก็ยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากเจ้ากรมแผนที่ทหาร จึงถือว่าเป็นการลักไก่เสนอให้กัมพูชาและลักไก่ขอความเห็นชอบจากรัฐสภาไทยอย่างไม่ถูกต้องตามขั้นตอน
6. จะเป็นการให้รัฐสภารับรองขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพราะจากรายงานของคณะทำงานที่ศึกษาเรื่องเขาพระวิหารของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นการับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างไม่ถูกต้อง เช่น ไม่บอกประชาชนให้รับทราบว่าเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190, ให้ข้อมูลด้านเดียวตามที่กระทรวงการต่างประเทศต้องการโดยไม่ให้ข้อมูลด้านลบ, ในบางเวทีเมื่อมีการคัดค้านก็ใช้วิธีการปิดประชุมและไม่รายงานการคัดค้านของนักวิชาการและประชาชน, มีการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้อง เช่น เชียงใหม่, สุราษฎร์ธานี ฯลฯ ...