ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่ใช่แค่ชาวเวียดนามเท่านั้นที่ตื่นเต้นกับภาพ “เต่าศักดิ์สิทธิ์” คู่บ้านคู่เมืองของประเทศเวียดนามชัดๆ เน้นๆ ทั้งตัวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ภายหลังถูกนำขึ้นมาจากบึงฮว่านเกี๊ยม (H? Ho?n Ki?m) ในปฏิบัติการพิเศษเพื่อช่วยชีวิต เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา หากแต่ปฏิบัติการครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากทุกประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ อันเป็นผลมาตำนานและความเป็นมาของเต่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้มีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ของเวียดนามอย่างแนบเน่นในยุคสมัยของพระจักรพรรดิเลเลย (L? L?i) พระมหากษัตริย์คู่ตำนานกับเต่าศักดิ์สิทธิ์แห่งบึงฮว่านเกี๊ยม โดยตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า เต่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ เป็นผู้รักษาดาบศักดิ์สิทธิ์และคืนให้แก่พระจักรพรรดิเลเลยเพื่อใช้ต่อสู้กับกองทัพแห่งราชวงศ์หมิงจนได้รับชัย ทำให้อาณาจักรเวียดนามโบราณพ้นจากการเป็นประเทศราชในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์
ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้มีคนไม่มากนักที่มีโอกาสได้เห็นตัวเป็นๆ ของเต่าแห่งตำนาน มิหนำซ้ำหลายคนไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงเสียด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไม่เคยโผล่ขึ้นเหนือน้ำให้ใครได้มาเห็นนานนับร้อยปี ปู่เต่าก็ได้ลอยตัวขึ้นมาให้เห็นเมื่อ 2 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว และบ่อยครั้งขึ้นในต้นปี 2554 นี้ โดยการปรากฏตัวของเต่าศักดิ์สิทธิ์ที่บ่อยครั้งขึ้นทำให้พบเห็นสิ่งที่ผิดปกติและเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของปู่เต่า เนื่องเพราะเป็นการปรากฏตัวพร้อมกับรอยแผลเต็มตัว ทั้งแผลพุพองและแผลเหมือนรอยถูกกัดแทะตามกระดองและส่วนอื่นๆ
เชื่อกันว่า รอยแผลของเต่าศักดิ์สิทธิ์มีสาเหตุมาจากโดนเบ็ดเกี่ยวหรือถูกเต่าหูแดงจากต่างถิ่นกัดแทะ หรือไม่ก็เกิดการติดเชื้อเนื่องจากคุณภาพของน้ำใน “สระคืนดาบ” หรือ"โห่ฮว่านเกี๊ยม" (H? Ho?n Ki?m) หรือที่ชาวเวียดนามเองนิยมเรียกบึงน้ำแห่งนี้เป็น "โห่เกือม" (H? G??m) ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมาว่า "สระกระบี่"
ในการประชุมระหว่างประเทศเพื่อหาทางออกในการอนุรักษ์พันธุ์เต่าโบราณเป็นครั้งแรก มีขึ้นในกรุงฮานอยเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ดร.ห่าดี่งดึ๊ก (H? ??nh ??c) ผู้ที่อุทิศตนศึกษาปู่เต่ามาค่อนชีวิตระบุว่า มีบางอย่างผิดปกติกับเต่าที่มีน้ำนักร่วม 200 กิโลกรัมตัวนี้ หลังพบว่าเต่าขึ้นมาบริเวณผิวน้ำบ่อยครั้ง โดยในวันที่ 14 ม.ค.ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่าเต่าขึ้นมายังผิวน้ำมากถึง 14 ครั้ง พร้อมกับรอยแผลหลายรอยที่หลังและรอยใหม่ที่บริเวณคอและกระดอง
"เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการดูแลเต่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ ผมเสนอให้นำตัวเต่าขึ้นมาจากน้ำอย่างเร่งด่วนเพื่อตรวจสอบและรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้แย่ไปกว่านี้ และไม่ถูกคุกคามจากเต่าพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่ในบึงเดียวกัน" ดร.ดึ๊ก กล่าว นอกจากนั้นยังได้แนะนำทางออกอื่นๆ เช่น การกำจัดเต่าญี่ปุ่น (red-eared turtles) หรือเต่าแก้มแดง ที่อาศัยอยู่ในบึง เพื่อคุ้มครองเต่าศักดิ์สิทธิ์และระบบนิเวศของบึง การตรวจสอบก้นบึงและระบบระบายน้ำจากบรรดาร้านอาหารที่ตั้งอยู่รอบๆ บึง การกำจัดขยะ ปรับปรุงคุณภาพน้ำ ขุดลอกโคลนและห้าม ประชาชนปล่อยเต่าญี่ปุ่นลงในบึง
และนั่นก็เป็นที่มาของปฏิบัติกู้ชีวิตของเต่าศักดิ์สิทธิ์แห่งเวียดนามตัวนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ปฏิบัติการดังกล่าวจะเริ่มขึ้นก็มีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับวิธีการดังกล่าวไม่น้อย เนื่องจากเกรงว่า เต่าโบราณอาจได้รับความเจ็บปวดจากบาดแผลระหว่างขั้นตอนเคลื่อนย้าย เพราะมีอายุมากและอ่อนแอ
ดร.ไนมอล เฟอร์นันโด จากสวนสนุกโอเชียนพาร์คในฮ่องกง มีความคิดเห็นคล้ายกับนายแม็คคอร์แมค การนำเต่าขึ้นมารักษาบนบกอาจช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเต่าได้อย่างรวดเร็วแต่มีความเสี่ยง และการแยกเต่าออกจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยอาจทำให้เกิดความเครียดยิ่งขึ้น ทางออกที่เหมาะสมที่สุดคือการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของบึงทั้งหมด สภาพแวดล้อมที่สะอาดจะเป็นผลดีสำหรับเต่าและบาดแผลอาจรักษาหายไปเอง แม้จะใช้เวลานานแต่ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเต่า
แต่ในที่สุดบรรดาผู้เชี่ยวชาญชาวเวียดนามก็มีมติร่วมกันว่า จะต้องย้ายเต่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ขึ้นมารักษาและนำไปอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม
ทว่า ปฏิบัติการจับเต่าศักดิ์สิทธิ์ในครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มี.ค.ก็ประสบกับความล้มเหลว เจ้ากล่าวคือแม้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อวนล้อมจับเอาไว้ได้ แต่ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา เต่าศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงอิทธิฤทธิ์แหวกอวนออกเป็นไปได้ โดยทิ้งรูโหว่ขนาดใหญ่ไว้เป็นหลักฐาน
เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเป็นเพราะอวนลากที่ใช้เก่าไปหน่อยและวัสดุคุณภาพไม่ดี แต่ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าเป็นเพราะเต่าคู่บ้านคู่เมืองไม่อยากจะให้ใครจับ
กระทั่งได้มีการปรับวิธี จัดเตรียมอุปกรณ์ใหม่และซักซ้อมจนมั่นใจเต็มที่ ปฏิบัติการจับเต่าศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มต้นอีกครั้งในเช้าวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน โดยมีทหารหน่วยรบพิเศษกว่า 50 นายเป็นผู้ทำหน้าที่อันสำคัญยิ่งในครั้งนี้และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนา
ปฏิบัติการไล่ล่าปู่เต่าได้รับความสนจากชาวฮานอยนับพันๆ คนเนื่องจากเป็นวันหยุด เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากที่ผ่านไปพบก็หยุดดูเหตุการณ์ที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมง ก่อนจะรวบปู่เต่าเข้ากรงเหล็ก และเคลื่อนย้ายไปยังที่อยู่แห่งใหม่ได้สำเร็จเมื่อเวลา 17.00 น.เศษของวันเดียวกัน โดยนิวาสถานแห่งใหม่ของเต่าศักดิ์สิทธิ์ภายหลังถูกย้ายออกไปจากแหล่งพำนักเดิมก็คือบริเวณรอบๆ "เจดีย์เต่า" ซึ่งตั้งอยู่ในบึงแห่งเดียวกันและได้มีการปรับสภาพของน้ำให้มีคุณภาพดีขึ้น
แน่นอน ข้อเท็จจริงและปริศนาที่น่าสนใจยิ่งของเต่าศักดิ์สิทธิ์แห่งฮานอยตัวนี้มี 2 ประการคือ หนึ่ง-แม้จะเรียกกันจนติดปากว่า "เต่า" แต่แท้จริงแล้วเตาศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้คือตะพาบน้ำยักษ์พันธุ์หนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า มีเหลืออยู่เพียง 4 ตัวสุดท้ายในโลก โดยอีก 3 ตัวอยู่ที่สวนสัตว์ในประเทศจีน แต่นักวิทยาศาสตร์กับผู้เชี่ยวชาญเวียดนามโต้แย้งว่า เต่าในบึงฮว่านเกี๊ยมกับเต่าที่พบในจีนเป็นคนพันธุ์กัน
สอง-ไม่มีใครทราบอย่างชัดเจนเกี่ยวกับอายุหรือแม้กระทั่งเพศของเต่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ บางคนบอกว่าอยู่มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ในช่วงปีที่เวียดนามเอาชนะศึกใหญ่จากทางเหนือ บ้างก็บอกว่าน่าจะ 300 ปีมาแล้ว ซึ่งมีการบันทึกการพบเห็นเป็นครั้งแรก
เช่นเดียวกับเรื่องเพศที่ไม่มีใครรู้ว่า เต่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้เพศผู้หรือเพศเมีย แต่ชาวฮานอยก็พร้อมใจกันเรียกว่า "ปู่เต่า" หรือ "กุหรั่ว" (C? R?a) หรือ เรียกเต็มยศว่า "ปู่เต่าแห่งสระกระบี่" หรือ c? R?a H? G??m
แต่เชื่อว่า อีกไม่นานปริศนาทั้งหมดนี้จะคลี่คลายลง