xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วีรบุรุษภูมะเขือ(เผา!!!)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร ขณะเดินทางไปที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระพร้อมกับนายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และคณะ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถ้าหากถามว่า นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของไทยคนไหนที่ชาวขแมร์ชื่นชอบมากที่สุด? น่าจะมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของไทยหลายคนที่ติดอันดับตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้น

แต่ถ้าหากหนึ่งในคำตอบดังกล่าวไม่ปรากฏรายชื่อของ “บิ๊กเยิ้มตท.12-พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร” แม่ทัพภาคที่ 2 แล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่ผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาบิ๊กทหารฝั่งกัมพูชาด้วยแล้ว บิ๊กเยิ้มยิ่งมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเป็นทหารอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชามาตั้งแต่ปี 2521

ดังคำคุยโตที่ปรากฏต่อสาธารณะ

ทั้งนี้ นับตั้งแต่บิ๊กเยิ้มรั้งตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ได้ประกอบวีรกรรมต่างๆ อันเป็นที่โจษขานและวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความเยิ้มๆ” ดังชื่อเล่นของเขาหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน จนหลายคนอดแปลกใจไม่ได้ว่า ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ของเขานั้น นอกจากความเป็น ตท.12 แล้ว บิ๊กเยิ้มมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยหรือไม่

แน่นอน เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์ความเยิ้มที่ไม่ธรรมดาของ พล.ท.ธวัชชัยไปเรียบร้อยแล้ว

เยิ้มครั้งที่ 1

สำหรับความเยิ้มครั้งแรกของ พล.ท.ธวัชชัยที่สังคมเห็นได้ชัดเจนยิ่งก็คือ กรณีที่ นายวีระ สมความคิดและนางราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ถูกทหารกัมพูชาจับในพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของไทย จากนั้นถูกนำตัวไปขึ้นศาลกัมพูชาในข้อหารุกล้ำดินแดนกัมพูชาและจารกรรมข้อมูลทางทหาร

ในครั้งนั้น พล.ท.ธวัชชัยกล่าวหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุกทั้ง 2 คน 8 ปีและ 6 ปีตามลำดับว่า “เป็นเพราะคนไทยบางกลุ่มไปโหวกเหวกโวยวายเลยทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โต ซึ่งจริง ๆ แล้วคนไทยติดคุกในกัมพูชามีจำนวนมาก ไม่ใช่เฉพาะ 2 คนนี้ที่มีปัญหา แล้วคนอื่นทำไมไม่มีปัญหา จริง ๆ เมื่อขึ้นอยู่บนศาลของเขา เราก็ต้องให้เกียรติเขา หากเป็นศาลไทยผลตัดสินก็คงออกมาในรูปเดียวกัน เพราะไปโวยวายส่งเสียงดัง”

ความคิดและตรรกะของ พล.ท.ธวัชชัยแสดงให้เห็นถึงการปัดสวะและการปัดความรับผิดชอบของตัวเองอันเป็นผลมาจากการกินแต่ “ขนมจีน” เมื่อครั้งคณะ 7 คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับไปในครั้งแรกและไม่สามารถช่วยเหลือกลับมาได้

พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ อดีตรองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบกถึงกับวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “การกระทำของ นายวีระ มีค่าต่อชาติบ้านเมือง ปกป้องบ้านเมืองมากกว่าทหารที่ต้องรับใช้ชาติอย่าง พล.ท.ธวัชชัย เสียอีก ดู พล.ท.ธวัชชัย ขาดความสำนึกรับผิดชอบต่อเอกราชและอธิปไตยของชาติที่ทหารทุกคนพึงปฏิบัติ อยากวอนให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพิจารณาปลด พล.ท.ธวัชชัย ในทันที เหตุเพราะ พล.ท.ธวัชชัย มีจิตสำนึกน้อยมาก”

เยิ้มครั้งที่ 2

ความเยิ้มประการถัดมาคือ กรณีที่ พล.ท.ธวัชชัยต้องการแสดงภูมิรู้ของตนเองในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารด้วยการเสนอความคิด(ที่ตัวเองเชื่อว่าสุดยอด) ให้มีการขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่อยู่ในฝั่งไทย เช่น สระตราว สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำ ฯลฯ เป็นมรดกโลกควบคู่กับปราสาทพระวิหารของกัมพูชา เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเอาไว้

แต่เพียงแค่ไม่กี่วัน แนวความคิดของบิ๊กเยิ้มก็ถูกแปรสภาพเป็นกระดาษเช็ดก้นของนายฮุนเซน เพราะกัมพูชาก็มิได้สนใจต่อแนวคิดดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย พร้อมส่งกระสุนทั้งจากปืนใหญ่และเครื่องยิงจรวดเห่าไฟ(B21) เข้ามาให้ชาวบ้านได้อพยพหลบหนีภัยสงครามกันอย่างจ้าละหวั่น ซึ่งเรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า กัมพูชามิได้ต้องการให้ไทยขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมมาตั้งแต่แรก แต่ต้องการขึ้นทะเบียนความเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว และอาศัยประโยชน์ในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกในการฮุบดินแดนของไทยที่จะถูกผนวกมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารจัดการร่วม รวมถึงต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาทั้งทางบกและทางทะเลเสียใหม่

นี่คือความไม่เท่าทันเกมและความไม่รู้จักกาลเทศะของ พล.ท.ธวัชชัย

กระทั่งเพื่อนรัก ตท.12 อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกมาสั่งให้หุบปากโดยระบุว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 จะทำอะไรต้องเสนอผู้บังคับบัญชา เพราะต้องรู้ว่าใครสั่งการ ใครมีระดับความรับผิดชอบอย่างไร เพราะประเทศชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นการรับผิดชอบของแต่ละระดับขึ้นไป ที่ผ่านมาแม่ทัพภาคที่ 2 พยายามตอบในฐานะรักษากฎเกณฑ์พื้นที่ตรงนั้น คนส่วนหนึ่งฟังแล้วไม่เข้าใจว่า แม่ทัพพูดหมายความว่าอย่างไร ผมได้สั่งการว่าไม่ต้องพูดแล้ว ผมจะพูดคนเดียว ซึ่งไม่ใช่การปกปิดข้อมูล แต่บางเรื่องเป็นเรื่องความมั่นคงไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่อง”

เยิ้มครั้งที่ 3

ไม่เพียงเท่านั้น พล.ท.ธวัชชัยยังได้แสดงความเยิ้มออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคราวนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ชัดถึง “ความไร้น้ำยา” จนไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ กล่าวคือหลังทหารกัมพูชายิงอาวุธสงครามถล่มดินแดนไทยจนทั้งทหารใต้บังคับบัญชาและราษฎรชาวไทยต้องเสียชีวิต บิ๊กเยิ้มยกขบวนนายทหารใต้บังคับบัญชา อันประกอบไปด้วย พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พร้อมคณะนายทหารระดับสูงประมาณ 15 นายเดินทางผ่านจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษเข้าไปในพื้นที่ อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และไปยังร้านจำหน่ายอาหาร “ซึมเมา” ห่างจากชายแดนไทย 1 กิโลเมตรเพื่อร่วมประชุมกับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา โดยมี พล.ท.เจีย มอญ ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 พล.ท.ซรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลที่ 3 ประจำจังหวัดพระวิหาร และทหารกัมพูชาประมาณ 100 นาย พร้อมกับมีการออกข่าวคราวใหญ่โตว่า สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

ด้วยหวังว่า ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของเขากับทหารกัมพูชาที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้

แต่เพียงชั่วข้ามคืน ทหารกัมพูชาก็เปิดฉากยิงถล่มพื้นที่อยู่อาศัยของพลเรือนไทยอีกครั้ง เล่นเอาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาต้องอพยพลี้ภัยกันอย่างจ้าละหวั่น

อย่างนี้เขาถือว่า ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมและกลโกงของกัมพูชา เพราะไม่รู้ว่า กัมพูชาไม่ต้องการเจรจา แต่ต้องการทำสงครามดังเช่นที่นายฮุนเซนประกาศเพื่อยกระดับปัญหาให้ไปสู่เวทีโลก และก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UNSC) เรียกทั้งไทยและกัมพูชาไปให้ข้อมูล ก่อนที่จะมอบหมายให้อาเซียนเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ก่อนที่จะถล่มซ้ำกันติดๆ 2 ครั้งในวันที่ 14 ก.พ.และวันที่ 15 ก.พ.เพื่อหยามทหารไทย พร้อมๆ กับการที่ UNSC มีมติให้อาเซียนเป็นคนเจรจา

กล่าวคือในวันที่ 14 ก.พ.ได้มีการปะทะกันที่บริเวณช่องตาเฒ่าและภูมะเขือ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหารด้วยอาวุธอาก้า เอ็ม 16 และจรวดอาร์พีจี ต่อมาเวลา 05.00 น.ของวันที่ 15 ก.พ.ก็ได้มีการปะทะกันอีกครั้งที่บริเวณภูมะเขือ โดยผลการปะทะกันปรากฏว่ามีทหารไทยได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 นาย ส่วนอีก 1 นายคือ ส.อ.รัชพล ยศปัญญา ได้รับบาดเจ็บสาหัส

จากนั้นในเวลา 20.00 น.ของวันที่ 15 ก.พ.ทหารกัมพูชาก็ซ้ำอีกครั้งโดยทหารกัมพูชาได้ขว้างระเบิดมือเข้ามาใส่ที่ตั้งของทหารไทย ต่อมาเวลา 21.00 น.ทหารกัมพูชาได้พยายามเจาะแนวรั้วของทหารไทย ทหารไทยจึงใช้ระเบิดขว้างตอบโต้จนทำให้ทหารกัมพูชาที่พยายามเจาะรั้วเข้ามาในเขตไทยถอยกลับไป และยุติการปฏิบัติการดังกล่าว ต่อมาเวลา 22.00 น.ทหารกัมพูชาได้ปฏิบัติการแทรกซึมเข้ามาในพื้นที่อีกครั้ง พร้อมขว้างระเบิดมือมายังที่ตั้งของทหารไทย ทางเราได้ขว้างระเบิดมือเพื่อเป็นการตอบโต้ตามความเหมาะสม จากนั้นในเวลา 02.00 น.ทหารกัมพูชาได้พยายามแทรกซึมเข้ามาในพื้นที่ของทหารไทยอีกครั้ง โดยครั้งนี้ทหารกัมพูชาได้ใช้ปืนกล ปืนครก (เครื่องยิงลูกระเบิดวิถีโค้ง) และยิงจรวดอาร์พีจี ระดมยิงเข้ามาบริเวณที่ตั้งทหารไทยตรงภูมะเขือ ทำให้ฝ่ายไทยต้องใช้มาตรการตอบโต้ตามความเหมาะสมเพื่อเป็นการป้องกันตัว และผลักดันให้ทหารกัมพูชาล่าถอยออกไป นอกจากนี้ช่วงเวลา 03.50-04.00 น.ทหารกัมพูชาได้พยายามโจมตีที่ตั้งทหารไทยบริเวณภูมะเขืออีกครั้งก่อนถอยกลับ

ขณะที่แม่ทัพแห่งสมรภูมิภูมะเขือก็สั่งการตอบโต้ด้วยยุทธวิถีเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาดังคำแถลงของ เสธ.ไก่อู-พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิดว่า “มาตรการตอบโต้ของทหารไทยอยู่ในระดับที่เหมาะสม ใช้แค่อาวุธเบาเท่านั้น เพราะไม่ต้องการให้เหตุการณ์บานปลาย” หรือที่ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวอย่างมีปริศนาว่า “ขอเรียนว่าสำหรับเพื่อนบ้านเราจำเป็นต้องใช้อาวุธด้วยความปวดร้าว แต่เมื่อต้องทำก็ต้องทำอย่างจริงๆ”

ดังนั้น จึงอย่าแปลกใจที่นายฮุนเซนและกัมพูชาจึงไม่หยุดโจมตีประเทศไทย เนื่องจากพวกเรารับรู้ถึงยุทธศาสตร์ “ยิงๆ หยุดๆ” เพื่อ “นายคนนั้น” ของทหารไทยที่มิได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและการสั่งสอนเพื่อให้ทหารกัมพูชาหลาบจำแต่อย่างใด ซึ่งผู้ที่ได้รับกรรมก็คือทหารชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่เพราะไม่รู้ว่าวันใดมฤตยูจากห่ากระสุนของกัมพูชาจะมาคร่าชีวิตของพวกเขาไปจากครอบครัว

เฉกเช่นเดียวกับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนที่ไม่อาจข่มตานอนให้หลับลงได้ในแต่ละคืน เพราะไม่รู้ว่าเวลาไหน ทหารกัมพูชาจะส่งห่ากระสุนน้อยใหญ่เข้ามาในพื้นที่อธิปไตยของไทย

เยิ้มครั้งที่ 4

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นสำหรับความเยิ้มของ พล.ท.ธวัชชัย โดยความเยิ้มที่น่าอนาถใจที่สุดเห็นจะเป็น เหตุการณ์ที่ พล.ท.ธวัชชัยเดินทางไปที่วัดแก้วสิขาคีรีสวาระพร้อมกับนายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างบันทึกการประชุม JBC ทั้ง 3 ฉบับ พร้อมกับมีการบันทึกภาพกับซุ้มประตูวัดแก้วฯ ที่มีธงชาติของกัมพูชาประดับอยู่ และมีการถวายปัจจัยทำบุญให้กับพระกัมพูชาที่จำวัดอยู่ที่นั่นอีกด้วย

กรณีนี้หลายคนตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสมเพราะนั่นเท่ากับเป็นการรับรองว่า วัดแก้วฯ อยู่ภายในอธิปไตยของราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วคือดินแดนของราชอาณาจักรไทย

ขณะเดียวกันภาพดังกล่าวยังทำให้สามารถเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กับการที่บิ๊กเยิ้มจะไม่ใคร่สนใจไยดีต่อการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปลดธงชาติไทยเหนือซุ้มประตูวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระลง โดยบอกว่า “ไม่มีความจำเป็นที่ต้องบังคับกัมพูชาปลดธงชาติที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ลงเพราะไทยเองก็ได้ปักธงชาติไทยที่สถูปคู่ในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร แล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งปักธงชาติถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวขณะนี้ยังถือเป็นพื้นที่ของทั้ง 2 ประเทศ ดังนั้นประเทศใดจะเข้าไปปักธงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร ปัจจุบันธงชาติกัมพูชาก็เป็นเพียงการนำไปติดตั้งอยู่บนป้ายซุ้มประตูวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเดิมทีก็มีการติดตั้งมานานแล้ว และเมื่อกัมพูชาเห็นว่าประเทศไทยเอาจุดนี้มาเป็นกระแสก็เลยเปลี่ยนธงเสียใหม่ ไทยเข้าไปปักธงชาติในพื้นที่ดังกล่าว ฝ่ายกัมพูชาเองก็ไม่ได้โต้แย้งใด ๆ เพราะถือว่าเป็นสิทธิของไทยที่สามารถดำเนินการได้ แต่สำหรับบนพื้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระนั้น ฝ่ายทหารไทยเองก็ไม่อยากที่จะนำธงเข้าไปปักในพื้นที่ เนื่องจากความจริงแล้วกัมพูชาก็ไม่ได้มีการปักธงบนพื้นดิน แต่เป็นเพียงการนำไปติดตั้งบนซุ้มประตูวัด หากเรานำธงชาติไทยไปปักในพื้นที่ก็อาจจะเกิดปัญหาเป็นชนวนความขัดแย้งขึ้นได้ บางครั้งเราต้องดูขีดจำกัดและผลกระทบที่จะตามมาด้วย เพราะอย่างไรก็ตามทั้ง 2 ประเทศก็เป็นเพื่อนบ้านกัน”

แถม พล.ท.ธวัชชัยยังได้ให้ข้อมูลกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงของไทยว่า ธงดังกล่าวเป็นเพียง 'ธงงานวัด' ซึ่งคำกล่าวนี้ถึงกับทำให้ นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ทนไม่ได้ ต้องโพสต์ภาพถ่ายหน้าวัดแก้วสิขาคีรีสวาระและธงชาติกัมพูชา ขึ้นทางเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อพิสูจน์ว่าธงดังกล่าวนั้นเป็นธงชาติกัมพูชา หาใช่ธงศาสนาหรือธงงานวัด อย่างที่ พล.ท.ธวัชชัยอ้าง

“ถ้าพี่เยิ้มของผม พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร พูดจริงว่าธงหน้าวัดแก้วสิขาฯ เป็นธงวัดนี่ต้องพิจารณาตัวเองแล้วนะครับ ว่าเหมาะสมไหมกับตำแหน่งแม่ทัพสองที่ต้องปกป้องอธิปไตยไทยบนเขาพระวิหาร ขอเสนอพิจารณา พล.ท.กนก เนตระคเวสนะ กลับทัพสองทำหน้าที่แม่ทัพเพื่อปกป้องแผ่นดิน ถ้าไม่ได้พูดอย่างนั้นก็ต้องปฏิเสธมาแล้ว ท่านสุเทพ ณ ฮุนเซน พนมเปญ ได้ข่าวมาอย่างไร ถึงพูดเยี่ยงนั้น” นายเสริมสุข ระบุ

และด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า บิ๊กเยิ้มมีเจตนาที่จะปล่อยให้ทหารกัมพูชาก่อสร้างป้ายหินขนาดใหญ่ประณามทหารไทยที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระหรือไม่ เพราะการก่อสร้างขนาดนั้นเป็นไปได้ที่ทหารไทยที่อยู่ในพื้นที่จะไม่รับรู้และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาหรือหน่วยเหนือรับทราบ

ก่อนที่ประชาชนคนไทยผู้รักชาติจะนำข้อมูลมาตีแผ่ กระทั่งทำให้บิ๊กเยิ้มจำนนต่อหลักฐานและยกขบวนขึ้นไปกดดันให้ทหารกัมพูชาทุบป้ายดังกล่าวทิ้ง

ถามคำเดียวว่า ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือเกรงความผิดย้อนกลับมาปล่อยปละละเลยให้ทหารกัมพูชาสร้างแผ่นศิลา บิ๊กเยิ้มจะนำกำลังไปกดดันให้กัมพูชาทุบป้ายดังกล่าวหรือไม่

แถมแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้นี้ยังสรุปซ้ำอีกต่างหากว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่ทับซ้อน ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่กัมพูชาจะอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ดังกล่าว เพราะ พล.ท.ธวัชชัยไปรับรองสิทธิดังกล่าวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือ คำแก้ตัวของบิ๊กเยิ้มที่อวดโอ้ถึงคุณงามความดีของตัวเองอย่างไม่อายฟ้าดินเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการพัวพันผลประโยชน์บริเวณชายแดนกัมพูชา

“ไม่เป็นไร ผมเรียนตรงๆว่า เข้าเตรียมทหารปี 2512 ยังจำได้ พล.ท.ปิยะ สุวรรณพิมพ์ ผบ.โรงเรียนเตรียมทหาร ประชุมครั้งแรกว่า เราต้องทำตัวให้เขาอิจฉา ไม่ต้องทำให้ใครเขาสงสาร เพราะว่าไม่มีใครไปอิจฉาขอทาน ฉะนั้นผมฟังความนี้แล้วใช้สติก็เฉยๆ ใครจะว่าอะไรไม่มีปัญหา เชิญเขาพูดไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราไม่ได้เป็นไปตามที่เขาพูด ถือว่าเรามีความสุขแล้ว ผมคงไม่ฟ้องร้องหมิ่นประมาท ขี้เกียจขึ้นศาล เพราะขึ้นศาลแล้วเรื่องยาว 4-5 ปี เพราะไม่เคยทำอย่างนั้น”พล.ท.ธวัชชัยกล่าว

นี่คือตรรกะที่ผิดเพี้ยนเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ พล.ท.ปิยะสอนนั้น หมายถึงการอิจฉาในการทำความดี โดยใครก็ตามที่มีตำแหน่งแล้วจะต้องทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและรักษาดินแดนได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กรณีของพล.ท.ธวัชชัยที่ปล่อยให้ทหารกัมพูชายึดภูมะเขือเป็นฐานทัพในการโจมตีราษฎรไทย เช่นนี้แล้วจะน่าอิจฉาได้อย่างไร

ทำไมถึงเป็นแม่ทัพภาค 2

ทั้งนี้ เมื่อเห็นความเยิ้มของบิ๊กเยิ้มแล้ว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2

จากการตรวจสอบเส้นทางรับราชการจะพบว่า พล.ท.ธวัชชัย ใช้ชีวิตทหารอยู่ในชายแดนด้านอีสานใต้มาตั้งแต่ยุคปราบ ผกค. และยุคเขมรรบเขมร ซึ่งว่ากันว่านายทหารผู้นี้ไม่เคยออกนอกพื้นที่อีสานเลย

ขณะที่ในยุคที่รัฐบาลไทยมีนโยบายแปรสนามรบเป็นสนามการค้า พล.ท.ธวัชชัย ก็เป็น ผบ.พัน สังกัด ร.23 ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก บุรีรัมย์ และต่อมาได้ขึ้นเป็น ผบ.กรม ร.23 ในวันที่ไทย-กัมพูชาค้าขายกันครึกโครม

จากนั้น ในสมัยรัฐบาล 'ทักษิณ ชินวัตร' พล.ท.ธวัชชัยซึ่งขณะนั้นยังมีผศเป็นนายพัน ได้เป็นทหารติดตาม "บิ๊กแอ๊ด" พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม ซึ่งหลังจากที่ พล.อ.ธรรมรักษ์ซึ่งคุมพื้นที่เลือกตั้งภาคอีสานสามารถสร้างชัยชนะอย่างถล่มทลายให้กับพรรคไทยรักไทย สามารถกวาด ส.ส.เข้าสภาได้มากมายจนพรรคไทยรักไทยได้เข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นครั้งที่ 2 พล.ท.ธวัชชัยในฐานะนายทหารที่เติบโตมากับภาคอีสานและติดตามช่วยงาน พล.อ.ธรรมรักษ์ อยู่ก็ได้รับการปูนบำเหน็จให้ขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.6 และเป็น ผบ.กองกำลังสุรนารีตามลำดับ

ว่ากันว่าจริงๆ แล้วช่วงนั้น พล.ท.ธวัชชัย ถูกวางตัวไว้เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 แต่ดันเกิดเหตุปฏิวัติ 19 กันยา 'บิ๊กบัง' พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธาน คมช. จึงส่งเด็กหน้าห้องของตัวเองมาเป็นแม่ทัพภาค2 แทน พล.ท.ธวัชชัย เขาจึงต้องเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในตำแหน่งรองแม่ทัพภาค2 ก่อนที่ 'บิ๊กป๊อก' พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะขยับให้ขึ้นแม่ทัพน้อยที่ 2

จากนั้นก็มาสมหวังในช่วงที่ 'บิ๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 12 ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก 'บิ๊กตู่' จึงดึงให้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะหวังใช้ศักยภาพของนายทหารใหญ่ที่เติบโตมาในภาคอีสานเป็นกาวใจสลายทัศนคติเชิงลบของมวลชนเสื้อแดง และลดความขัดแย้งทางการเมืองในอีสานซึ่งจัดเป็น 'พื้นที่สีแดง'

ดังนั้น ถ้าหากจะกล่าวถึงความเหมาะสมในการทำหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 2 คงต้องย้อนกลับไปถามผู้ที่ให้การสนับสนุน พล.ท.ธวัชชัย เพราะเขาจะไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้เลย ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร ตรวจและให้กำลังใจทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ร่วมกับพี่ป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และเพื่อนตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กำลังโหลดความคิดเห็น