โฆษก รบ.ระบุ นายกฯแจงกลางที่ประชุม ครม.หลังทราบผลเจรจา UNSC เย้ยเขมรพยายามดึงนานาชาติจุ้นพื้นที่พิพาทไทย-เขมร เหลว ย้ำมติให้ 2 ประเทศอดกลั้น-ยุติหยุดยิง พร้อมเสนอให้ “อาเซียน” เป็นผู้สนับสนุน การเจรจาระดับทวิภาคี พร้อมสั่งกระทรวงที่เกี่ยวข้องเตรียมชี้แจง “คกก.มรดกโลก” โดยยังยึดข้อตกลงเอ็มโอยู-เจบีซี เป็นที่ตั้ง พร้อมคุยตัวแทน “ยูเนสโก” แต่ไม่อยากให้เข้าในพื้นที่ วอนเลื่อนพิจารณา “เจบีซี” ปักปันเขตแดนไปก่อน “ประวิตร” เพิ่งตื่น แจง ครม.ผลประชุมเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ที่ประชุมตั้งแต่ปีมะโว้
วันนี้ (15 ก.พ.) นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกรัฐบาล แถลงผลการประชุม ครม.ว่า นายกรัฐมนตรี ได้รายงานให้ ครม.รับทราบหลังจากที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้โทรศัพท์รายงานผลการประชุมจากการเข้าพบคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซี) หรือ UNSC พบข้อยุติแล้ว และมองว่า ความพยายามของกัมพูชาในระดับนานาชาติในเรื่องนี้ ทางไทยถือว่ากัมพูชาไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทางคณะมนตรีความมั่นคง แสดงจุดยืนชัดเจน คือ 1.แสดงความห่วงใยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 2.ให้ทั้ง 2 ประเทศอดกลั้น และยุติการปะทะและหยุดยิง 3.ให้ไปพูดคุยกัน และ 4.ให้อาเซียนสนับสนุนเป็นตัวกลางในการพูดคุยกันระหว่าง 2 ประเทศ และทางรัฐบาลไทยมีจุดยืนมาตั้งแต่แรกและคาดหวังว่า แนวทางของเราได้รับการตอบรับจากสหประชาชาติ
นายปณิธาน กล่าวว่า ประเด็นที่สอง นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไทยพร้อมเดินหน้าต่อในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา โดยเฉพาะในกรอบกลไกทวิภาคี ในวันที่ 22 ก.พ.ที่จะมีการประชุมอาเซียนจะมีการประชุมพูดคุยกับกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในวันที่ 17 ก.พ. ทางกัมพูชาจะจัดงานแสดงสินค้า โดยทางรัฐบาลไทยนำโดย นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ จะเดินทางไปเข้าร่วมพร้อมกับ นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ และยังได้เข้าพบหารือกับนายกฯฮุนเซนของกัมพูชา ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
นายปณิธาน กล่าวว่า ทั้งนี้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเดินทางไปประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นายกฯได้เน้นย้ำว่า ไทยยินดีร่วมมือประสานงานกับอาเซียน และหวังว่า ทางกัมพูชาจะกลับมาทำงานร่วมกันในกรอบความตกลงร่วมกันโดยเฉพาะตามบันทึกความตกลง เอ็มโอยู 43 และกรอบอื่นๆ ที่มี รวมกรอบเจบีซี, อีบีซี และ เออีซี โดยเฉพาะในเรื่องการเตรียมตัวในการทำความเข้าใจ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ที่จะเข้าชี้แจงกับคณะกรรมการมรดกโลกที่จะประชุมที่กรุงบาห์เรน โดยให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานงานกับเจ้าหน้าจากยูเนสโก ชาวญี่ปุ่นที่จะเข้ามา ซึ่งยินดีที่จะพบพูดคุยกับตัวแทนยูเนสโก้ ที่จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม ศิลปะ และประวัติศาสตร์ของเรื่องดังกล่าว รวมทั้งประสานกับยูเนสโก
“แต่ไทยยังไม่พร้อมที่จะให้เจ้าหน้าที่ยูเนสโกเข้าไปในบริเวณตัวปราสาทพระวิหาร หรือในพื้นที่ ซึ่งต้องรอให้สถานการณ์คลี่คลายมากกว่านี้” นายปณิธาน กล่าวอ้างถึงคำพูดของนายกฯที่กล่าวกับที่ประชุม ครม.
นายปณิธาน กล่าวว่า นายกฯ ยังให้ความคิดเห็นกับ ครม.ว่า การแก้ปัญหาที่จะเดินหน้าไปได้ รัฐบาลยึดมั่นให้เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี ต้องประกอบไปด้วย กระบวนการพิจารณาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน ขอให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับยูเนสโก และโน้มน้าวให้กัมพูชากลับเข้าสู่กรอบการเจรจาระหว่างการทำงานร่วมกับไทย
นายปณิธาน กล่าวว่า นอกจากนี้ ในที่ประชุม ครม.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้ชี้แจงในที่ประชุม ครม.ถึงผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 7 สืบเนื่องจากมติ ครม.วันที่ 18 ส.ค.52 เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมกรอบการเจรจายุทธศาสตร์ความมั่นคง 6 ฉบับ ในกรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไป โดยกระทรวงกลาโหมเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศในการเจรจาและเห็นชอบในการประชุมคณะกรรมการชายแดน ในวันที่ 19 ต.ค.53 ที่ ครม.มีมติเห็นชอบบันทึกการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ครั้งที่ 7 ไทย-กัมพูชา ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
นายปณิธาน กล่าวว่า กระทรวงกลาโหม ได้รายงานการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ที่พัทยา จังหวัดชลบุรี วันที่ 30 ต.ค.53 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นประธานฝ่ายไทย และ พล.อ.เตีย บัญ รมว.กลาโหมกัมพูชา เข้าร่วมการประชุม เพื่อรับทราบความก้าวหน้าความร่วมมือระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชา และพิจารณาเห็นชอบร่วมกัน 2 ด้าน 15 ประเด็น อาทิ 1.ความมั่นคงการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน 2.การตกลงเรื่องจุดผ่านแดนและการสัญจรข้ามแดน โดยที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า ต้องส่งเสริมสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 ฝ่ายติดตามการสัญจรข้ามแดนให้เป็นตามข้อตกลงว่าด้วยการสัญจรข้ามแดนวันที่ 21 มิ.ย.40
นายปณิธาน กล่าวด้วยว่า 3.ความร่วมมือทางด้านแรงงานทั้ง2ฝ่ายเห็นชอบให้เป็นตามความตกลงบันทึกการประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานไทย-กัมพูชา 4.การป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติด ที่ประชุมสนับสนุนส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ชายแดนทั้ง 2 ฝ่ายกระชับความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีมติไปแล้ว 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมอื่นๆ ในพื้นที่ชายแดน รวมไปถึงการต่อต้านการก่อการร้าย โดยทั้ง 2 ฝ่ายสนับสนุนร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย อีกทั้งการติดตามและตรวจสอบการค้าอาวุธสงครามตามแนวชายแดน และต่อสู้ภัยคุกคามแบบใหม่
นายปณิธาน กล่าวว่า ทั้งนี้ ยังสนับสนุนให้มีการร่วมกันเก็บกู้ กวาดล้างทุ่นระเบิด โดยส่งเสริมให้ปฏิบัติกวาดล้างทุ่นระเบิดร่วมกัน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมด้านความปลอดภัยทางทะเล กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด และทัพเรือภาคที่ 1 ของไทย ร่วมกับกองทัพเรือภาคที่ 3 ของกัมพูชาในการเสริมสร้างมาตรการในการรักษาความปลอกภัยต่อเรือประมงของแต่ละประเทศ รวมทั้งความปลอดภัยทางทะเล และเสริมสร้างความร่วมมือหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยกับหน่วยทหาร ตำรวจของกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน ทั้ง 2 ฝ่ายรับทราบที่จะให้มีการจัดประชุม หรือหารือข้อราชการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ยังเห็นชอบให้หน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนทุกระดับ ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามพันธกรณีที่มีร่วมกัน และพัฒนาสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อประสานความร่วมมือที่ดีโดยเฉพาะนำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และไม่มีการเผชิญหน้ากันด้วยกำลัง
นายปณิธาน กล่าวว่า ด้านความร่วมมืออื่นๆ อาทิ ความร่วมมือด้านการค้าบริเวณชายแดน ความร่วมมือด้านการเกษตร ความร่วมมือทางด้านสาธารณสุข ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รวมไปถึงความร่วมมือด้านการบรรเทาภัยพิบัติ แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชายังคงดำเนินต่อไป และความคิดเห็นของสหประชาชาติผลักดันให้สู่กลไกการเจรจาภายในประเทศอาเซียนด้วยกัน
นายปณิธาน กล่าวอีกว่า นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้เดินทางลงพื้นที่พร้อมกับ นายอำนวย โชติสกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯเขต 13 และคณะ เดินทางลงพื้นที่ อ.เสาธงชัย และบ้านภูมิซรอล จ.ศรีสะเกษ เดินทางไปยัง ร.ร.ภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด และตรวจเยี่ยมสภาพความเสียหาย ส่วนใหญ่เกิดกับสถานศึกษา ร.ร.บ้านภูมิซรอล ต้องการการซ่อมแซมโดยด่วน รวมไปถึงประชาชนผู้สูงอายุและเด็ก เมื่อเกิดเหตุการณ์จะเคลื่อนย้ายลำบาก และกรณีความเจ็บป่วยของผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ นายกฯได้ประสานสั่งการกับกระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างเสริม หลุมหลบภัยดังกล่าว และจะมี ร.ร.อาชีวะ เดินทางไปช่วยเหลือ แต่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ยืนยันความปลอดภัยในการเข้าสู่พื้นที่ นอกจากนั้น ยังมีความเสียหายด้านพืชผลทางการเกษตร รวมไปถึงการซักซ้อมทำความเข้าใจกับประชาชนเนื่องจากมีข่าวลือจำนวนมาก ติดต่อประสานงานให้รับข่าวสาร ข้อมูลจากทางราชการ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการปรับปรุงเส้นทางให้สะดวกในการเดินทางและหลบภัยหากเกิดกรณีที่จำเป็น
นายปณิธาน กล่าวถึงเหตุการณ์ล่าสุด ทหารกัมพูชา ประจำฐานปฏิบัติการ อยู่ตรงข้ามกับทหารไทย บริเวณภูมะเขือ ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร (กม.) ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้ก่อเหตุขว้างระเบิดมือใส่ทหารไทยปฏิบัติหน้าที่บริเวณภูมะเขือ จำนวน 1 ลูก สะเก็ดระเบิดทำให้ทหารไทย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 นาย ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เฉพาะพื้นที่ เหตุการณ์สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ระวัง เชื่อว่า ส่วนหนึ่งมาจากมีกำลังทหารรอยู่ในพื้นที่ เหตุการณ์เกิดขึ้นได้หากไม่ระวังเต็มที่