ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ของการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ความกดดันที่มีต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุ ทหารกัมพูชายิงปืนใหญ่ใส่ทหารไทยที่บริเวณภูมะเขือ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. และตามด้วยการประทะกันอีก 3-4 ระลอก เป็นเหตุให้มีทหารไทยเสียชีวิต 3 นาย ราษฎรไทยเสียชีวิต 1 คน บ้านเรือนถูกกระสุนปืนใหญ่จากทหารกัมพูชาเสียหาย 13 หลัง และประชาชนคนไทยในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ต้องอพยพทิ้งบ้านเรือนเรือกสวนไร่นาไปพักพิงที่ศูนย์อพยพชั่วคราว จำนวนประมาณ 20,000 คน
การประทะกันดังกล่าว พันธมิตรฯ เห็นว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยังไม่ยกเลิกเอ็มโอยู.2543 ซึ่งทำให้กัมพูชาอ้างเอาแผนที่มาตรส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่เอ็มโอยู.รับรอง ไปใช้กล่าวหาว่าทหารไทยรุกล้ำดินแดน แล้วยิงปืนใหญ่ใส่ทหารไทยดังกล่าว
เมื่อรวมกับความล้มเหลวของรัฐบาลในการช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกกัมพูชาจับกุมในเขตแดนไทยแล้วถูกนำตัวไปขึ้นศาลกัมพูชาแล้วถูกตัดสินจำคุกด้วยข้อหลบหนีเข้าเมือง บุกรุกเขตทหาร และจารกรรมข้อมูล
รวมทั้งความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น การโกหกหลอกลวงประชาชนกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้พันธมิตรฯ ประกาศยกระดับการชุมนุม เมื่อวันที่ 5 ก.พ. โดยเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมรัฐมนตรีทั้งคณะลาออกจากตำแหน่ง และเริ่มมาตราการกดดันรัฐบาลตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 ก.พ.เป็นต้นมา
นั่นทำให้รัฐบาล ประกาศพื้นที่ความมั่นคง ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร ใน 7 เขต ของกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 9-23 ก.พ. เพื่อจำกัดวงการชุมนุมของพันธมิตรฯ หรือหากเป็นไปได้ก็จะสลายการชุมนุม
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้ตกเป็นเป้าหมายถูกประชาชนขับไล่อีกครั้ง หลังจากถูกกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาขับไล่มาตลอด 2 ปี แต่คราวนี้กลายเป็นพันธมิตรฯ ที่นายอภิสิทธิ์เคยออกมาสนับสนุนในช่วงการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและนอมินี ช่วงปี 2549-2551
การถูกพันธมิตรฯ ขับไล่ ทำให้นายอภิสิทธิ์ ออกอาการหวั่นไหว ยอมประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเผด็จการ แม้ว่าจะขัดกับภาพลักษณ์ความเป็นนักประชาธิปไตยของนายอภิสิทธิ์ พร้อมกับสั่งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลบริเวณทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ได้แสดงอาการหวั่นไหว ออกมาทางคำให้สัมภาษณ์บ่อยครั้งขึ้น เมื่อคำพูดของนายอภิสิทธิ์ในระยะหลังออกมาในแนวยอกย้อนประชดประชันมากกว่าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้ก็เพื่อเอาตัวรอดและหนีจากข้อกล่าวหาของพันธมิตรฯ
ก่อนหน้านี้ เมื่อนายอภิสิทธิ์ ถูกกล่าวหาว่า เป็นคนชอบโกหก ตอนเป็นผู้นำฝ่ายค้านพูดอย่าง พอมาเป็นรัฐบาลพูดอย่าง นายอภสิทธิ์ก็ยอกย้อน ถามกลับว่าโกหกอะไร ให้ยกตัวอย่างมาให้ดู
แต่เมื่อนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวปราศรัยบนเวทีสะพานมัฆวานฯ ยกตัวอย่างที่นายอภิสิทธิ์โกหก ทั้งกรณีตอนเป็นผู้นำฝ่ายค้านบอกว่าถ้าประชาชนออกมาเรียกร้องแม้แต่คนเดียวก็ต้องฟัง แต่พอมาเป็นรัฐบาลเมื่อพันธมิตรฯ ออกมาชุมนุมกลับบอกว่า เป็นการสร้างความวุ่นวาย
นอกจากนี้ ยังเคยอภิปรายในสภาว่าให้ยึดหลักสันปันน้ำในการแบ่งเขตแดนไทยเขมร แต่กลับไม่ยอมยกเลิกเอ็มโอยู.43 ที่รับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งทำลายหลักสันปันน้ำ นอกจากนี้ยังอ้างว่า เอ็มโอยู.43 ช่วยป้องกันไม่ให้สหประชาชาติ(ยูเอ็น)เข้ามาแทรกแซงปัญหาเขตแดนไทย-เขมร ขณะที่กฎบัตรสหประชาชาติระบุไว้ชัดเจนว่าถ้าเป็นกรณีขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่าง2ประเทศ ยูเอ็นจะไม่เข้ามาแทรกแซง ฯลฯ
ซึ่งตัวอย่างคำโกหกเหล่านี้ นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ตอบ
แต่ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์กลับป้อนคำถามยอกย้อนใส่พันธมิตรฯ กรณีที่ยื่นคำขาดให้ช่วยนายวีระและนางสาวราตรีออกมาจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็ว โดยถามว่า จะช่วยเหลืออย่างไร ช่วยบอกหน่อย ทั้งที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องหาทางช่วยเหลือคนไทยทั้ง 2 คนโดยเร็ว ไม่ใช่มาย้อนถามประชาชน เพราะคนที่กุมอำนาจและสามารถสั่งการทุกหน่วยงานได้ก็คือรัฐบาลเอง
ต่อมาวันที่ 10 ก.พ.นายอภิสิทธิ์ก็ใช้วาทะในการพยายามเอาชนะคะคานพันธมิตรฯ อีกครั้ง โดยกล่าวถึงการขอคืนพื้นที่จราจรบริเวณสะพานมัฆวานฯ ว่า ไม่ต้องการสลายการชุมนุม แต่ขอคืนเพียง 2 ช่องจราจร และใช้ววาจากระแทกแดกดันว่า “ผมอยากถามว่า ทำไมทำเท่านี้เพื่อส่วนรวมทำไม่ได้” “การเปิดถนน 2 เลนคงไม่เสียดินแดนหรอก มีแต่ดินแดนพันธมิตรฯ เท่านั้นที่ปิดถนนราชดำเนินตรงนั้นอยู่”
หากจะย้อนไปดูเมื่อครั้งที่คนเสื้อแดงชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2553 โดยยึดพื้นที่จากต้นถนนราชดำเนินกลาง หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ไปจนถึงถนนราชดำเนินนอกบริเวณแยกมิสักวัน ซึ่งน่าจะสร้างปัญหาการจราจรมากกว่า แต่นายอภิสิทธิ์ไม่เคยแสดงท่าทีจะขอพื้นที่จราจรคืนจากคนเสื้อแดงเลย จนการชุมนุมบานปลาย และขยายไปสู่แยกราชประสงค์นำไปสู่การเผาบ้านเผาเมือง
เมื่อดูจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์ครั้งนี้ จึงเป็นเพียงการทำลายความชอบธรรมของพันธมิตรฯ เท่านั้น เพราะการปิดช่องจราจรบนถนนราชดำเนินนอกเฉพาะบริเวณแยกสะพานมัฆวานฯ ไม่น่าจะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวกรุงเทพฯ อย่างมากมาย และไม่น่าจะมีน้ำหนักพอที่จะมาลบล้างข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ที่ให้รัฐบาลปกป้องดินแดนได้
นายอภิสิทธิ์ ยังเล่นวาทะอีกว่า กรณีที่เกิดการประทะกันระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทยตามแนวชายแดนบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหารแสดงว่า ยังไม่มีการถอนทหารออกมาจากพื้นที่ตามที่มีข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการพูดที่บิดเบือน เพราะในข้อเท็จจริงมีการถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร จนทำให้ฝ่ายเขมรขึ้นป้ายประณามทหารไทยที่หน้าวัดแก้วสิกขาคีรีศวรได้ ขณะที่การประทะนั้นเกิดขึ้นบริเวณภูมะเขือซึ่งอยู่นอกวัดแก้วฯ และยังปรากฏว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งฐานปืนใหญ่บริเวณปราสาทพระวิหารและ 4.6 ตร.กม.แล้วยิงเข้าใส่ฐานปฏิบัติการทางทหารของไทยรวมทั้งยิงใส่บ้านเรือนราษฎรไทยตามแนวชายแดน
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังลงท้ายด้วยการบอกว่า พันธมิตรฯ คิดแบบเดียวกับนายฮุนเซน เพราะไม่ต้องการให้ใช้เอ็มโอยู.2543 เหมือนกัน เนื่องจากขณะนี้นายฮุนเซนกำลังจะไปฟ้องสหประชาชาติและดึงชาติอื่นเข้ามา ซึ่งเท่ากับเป็นการกล่าวหาแบบดื้อๆ ว่าพันธมิตรฯ เป็นพวกเดียวกับนายฮุนเซน เพราะในข้อเท็จจริง แม้นายฮุนเซนจะเรียกร้องให้ยูเอ็นเข้ามา แต่นายฮุนเซนไม่เคยบอกว่าจะไม่เอาเอ็มโอยู. ตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชาได้อ้างถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ที่รับรองโดยเอ็มโอยู.2543 มาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลงจุดยืน
การใช้วาทะที่ดูจะเลอะเลือนเพื่อเล่นงานพันธมิตรฯ สะท้อนว่า เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 นายอภิสิทธิ์เริ่มออกอาการสติแตก จากแรงกดดันหลายๆ ด้านที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ