xs
xsm
sm
md
lg

“พนิช” แจงวุฒิ ยัน “วีระ-ราตรี” ไม่เจตนาพกกล้อง ย้ำเลิก MOU43 ไม่ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พนิช วิกิตเศรษฐ์  (แฟ้มภาพ)
“พนิช” แจงคณะกรรมการวุฒิสภา ยัน “วีระ-ราตรี” ไม่เจตนาพกกล้องสอดแนม อ้างหน้าตาเฉย เพิ่งซื้อมาไม่นึกว่าใช้การได้ ยันข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ยุติได้ด้วยการเจรจา ย้ำ ยกเลิก MOU43 ไม่เหมาะ ชี้เป็นกรอบเจรจาพื้นที่ ขวางสมาคมอาเซียนเอี่ยว ขอใช้เวทีทวิภาคีแก้ปัญหา

วันนี้ (7 ก.พ.) เมื่อเวลา 15.30 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา มี นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการ เป็นประธานการประชุม โดยเชิญ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ เข้าชี้แจงกรณีทางการกัมพูชาจับกุมฐานรุกล้ำเขตแดน และพื้นที่ทางทหารของกัมพูชา โดยกรรมการหลายคนได้ซักถามถึงสาเหตุการลงพื้นที่ รวมถึงการประสานกับหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพราะพื้นที่เขตแดนที่ทับซ้อนกันมีความละเอียดอ่อน ดังนั้น การลงพื้นที่ควรจะประสานงานก่อน ถ้าประสานถูกคนก็จะไม่มีปัญหา และไม่ควรตั้งธงในการเก็บข้อมูลเอาไว้ก่อน ขณะที่บางส่วนได้ขอให้ นายพนิช ส่งซีดีที่เป็นหลักฐานดังกล่าวส่งให้คณะกรรมการด้วย

โดย นายพนิช ชี้แจงตอนหนึ่งว่า ซีดีที่จะส่งให้เป็นหลักฐานเดียวกับที่ได้ให้นายกฯ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวเดียวกับที่ทางกัมพูชาใช้ในการตัดสินคดีนี้หรือไม่ สำหรับประเด็นเรื่องกล้องที่นำเข้าไป หลายคนยังสับสนว่า เป็น นายวีระ สมความคิด หรือของ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ รวมถึง นายตายแน่ มุ่งมาจน กันแน่ ตนที่ทราบคือ นายวีระ มีกล้องตัวเล็ก ซึ่งเป็นกล้องรูเข็มขนาดเล็กติดตัวไปด้วย ซึ่งก่อนจะควบคุมตัวในวันที่เดินเข้าไปในพื้นที่ นายวีระ ได้ถือกล้องรูเข็ม เข้าไปด้วย โดยในวันที่ถูกควบคุมตัวทุกคนถูกยึดของที่ติดมากับตัวทั้งหมดทั้งกล่องถ่ายรูป กล้องวิดีโอ แต่ นายวีระ ไม่ได้ให้กล้องรูเข็มไป โดยในขณะที่ควบคุมตัว นายวีระ ได้บอกให้ น.ส.ราตรี ไปถ่ายเล่นดู พอถ่ายแล้วเก็บใส่กระเป๋าตัวเอง เมื่อถูกจับก็ถูกควบคุมโดยให้แยกกันเดินทางเข้ากรุงพนมเปญ ตั้งแต่ 16.00-23.00 น.ซึ่งทุกคนให้การเฉลี่ยคนละ 5 ชม.สำหรับตนต้อง 5-6 ชม.ซึ่งปรากฏว่า กล้องที่ น.ส.ราตรี เก็บไว้มาโผล่เอาตอนเช้าที่ ตม.ซึ่ง นายวีระ ไม่รู้ว่า นส.ราตรี ถ่ายอะไรไปบ้าง และไม่ทราบว่ากล้องถ่ายติดแล้ว ดังนั้น ข้อกล่าวหาในชั้นอัยการ จึงไม่มีกล้องตัวนี้ แต่ในชั้นการไต่สวนของศาลพบหลักฐานดังกล่าวทั้งสองคนเลยถูกต้องข้อหาเพิ่มเติม ว่า จารกรรมข้อมูลด้านความมั่นคง ทั้งที่ทั้งสองคนต่างออกตัว และช่วยปกป้องกัน แต่กลายเป็นว่าร่วมกันจารกรรมข้อมูล ซึ่งตนเชื่อว่าเขาซื้อมาเล่นมากกว่าไม่ใช่กล้องสไปร์

นายจิตติพจน์ ซักถามว่า ปัญหาพิพาทดังกล่าวในฐานะเคยเป็นผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศ คิดว่า มีวิธีการใดที่จะทำให้การปะทะยุติลง นายพนิช ระบุว่า ที่มาของการปะทะกัน คงมีการสะสมของความรู้สึกมาในระดับหนึ่ง การที่จะยุติลงได้ ต้องมีการพูดคุยการเจรจากัน ระหว่างที่ตนถูกควบคุมตัวอยู่ มีสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งโจมตีกล่าวหารัฐบาลกัมพูชา และสมเด็จฮุนเซ็น อย่างหนัก เขาจึงไม่พอใจ จึงเหมือนกับการเติมเชื้อไฟให้แรงขึ้น ถามว่า เกี่ยวกับเขาพระวิหารหรือไม่ ก็ต้องทำการเจรจากัน โดยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก (เอ็มโอยู 43) จะเป็นกรอบการพูดคุยของทั้งสองประเทศต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก ซึ่งหนึ่งในข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่จะให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 ตนคิดว่า เป็นกรอบเจรจา ที่จะทำให้ไม่เกิดการเผชิญหน้าระหว่างกัน และเชื่อว่า การแก้ปัญหาจะช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องเดินตามกรอบเอ็มโอยู 43 นี้ ในฐานะที่เราเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก ไม่มีสิทธิ์ที่จะคัดค้านได้ ซึ่งเราก็รับฟังคำเสนอจองพันธมิตรฯ จะให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 คงไม่เหมาะสม

นายพนิช กล่าวต่อว่า เพราะเอ็มโอยู 43 เป็นกรอบการเจรจามีพื้นฐานบางอย่าง ที่ไม่ให้หน่วยงานอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว แม้แต่อาเซียนก็ไม่ควรเข้ามาเพราะเห็นด้วยกับนายกฯว่าควรที่จะแก้ปัญหาในด้วยระดับทวิภาคีได้ ยกเว้นมันบานปลายมากกว่านี้ และในอนาคตอีก 5 ปี เราต้องเข้าประชาคมอาเซียน ก็ไม่ควรมาติดตรงเงื่อนไขดังกล่าว ส่วนการให้คนออกจากพื้นที่ทับซ้อน ตนคิดว่า เป็นการปล่อยปละละเลยในการทำหนังสือท้วงหลายครั้งของรัฐบาล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเรายังแบ่งแยกกันทำงาน จึงค่อนข้างลำบาก ไม่เหมือนกัมพูชาที่ให้ นายซกอัน รมว.ต่างประเทศ ทำมาเป็น 10 ปี เขาหลับตาก็รู้ว่าผลประโยชน์ของเขาอยู่ส่วนไหน หากของเรา คือ กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ยังรวมกันไม่ได้ ทำงานก็คนละทิศละทางอย่างนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น