ASTVผู้จัดการรายวัน- พันธมิตรฯ ขีดเส้น 3 วันให้รัฐบาลแก้ปัญหา "วีระ-ราตรี" หากยังนิ่งเตรียมเป่านกหวีด ขอฉันทานุมัติมวลชน 5 ก.พ.นี้ "ปานเทพ" ลั่นรัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ฐานร่วมปรักปรำคนไทย "ประพันธ์" แฉ"มาร์ค-ฮุนเซน" รวมหัวกำจัด"วีระ" "มาร์ค" บ้อท่า ถามกลับพันธมิตรฯ ถ้ามาเป็นรัฐบาลจะทำอย่างไร ขณะที่ทหารเขมรตรึงชายแดนเครียด ด้าน “สนธิ” อัดมาร์คไร้ศักดิ์ศรีถูก “ฮุนเซน” เอารองเท้าตบหน้าทุกวัน ส่วน “จิตตนาถ” เสนอ 4 แนวทางช่วยคนไทยพ้นคุก
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 2 ก.พ.) บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวถึงกรณีที่นายวีระ สมความคิด และนางราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ซึ่งถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก โดยไม่รอลงอาญานั้น
นายปานเทพ กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่าการตัดสินดังกล่าวไม่เป็นธรรม และศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสิน โดยเราพบว่ากระบวนการที่ศาลตัดสินมาถึงทุกวันนี้ เพราะรัฐบาลไทยไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจศาลกัมพูชา ทั้งๆ ที่ 7 คนไทยถูกจับกุมในพื้นที่ดินแดนของไทย และยังมีการใช้ข้อมูลของภาครัฐ โดยเฉพาะข้อมูลจากคำพูดของบุคคลในรัฐบาลที่บิดเบือนให้ร้ายและเป็นโทษแก่ทั้ง 7 คนไทย รวมถึงภาคประชาชนเพียงเพื่อให้ 7 คนไทยมีความผิดฐานรุกเข้าไปในเขตกัมพูชา หรือเขตปฏิบัติการตามที่ศาลกัมพูชากล่าวอ้าง
** ลั่นรัฐบาลต้องรับผิดชอบ
“กรณีนายวีระ นางราตรี ถือเป็นโทษที่ร้ายแรงมาก โดยเฉพาะข้อหาการจารกรรมข้อมูลนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากรัฐบาลไทยยืนหยัดว่า 2 คนไทยได้ติดกล้องและถ่ายทำในดินแดนไทย เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา และร่วมปรักปรำ 2 คนไทย รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะกระบวนการที่มีการตัดสินลงโทษหนัก เพื่อบีบให้ 2 คนไทยยอมรับสารภาพในชั้นศาล หวังให้ 2 คนไทยไปขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา ถือว่าเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีคนไทยที่รักชาติ และปกป้องแผ่นดิน โดยที่รัฐบาลไทยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่น้อย”
**ขีดเส้น3วัน ก่อนขอฉันทานุมัติปชช.
นายปานเทพ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยต้องถูกรุกล้ำ ละเมิดอธิปไตยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร การไม่สามารถรื้อถอนวัดแก้วสิกขาฯได้ ชุมชนกัมพูชาก็ไม่สามารถผลักดันได้ หรือการรุกที่ทำกินที่ จ. สระแก้ว โดยกัมพูชายืนหยัดฝ่ายเดียวว่า เป็นพื้นที่กัมพูชา โดยสรุปแล้วรัฐบาลนี้ไม่สามารถปกป้องแผ่นดินไทยได้เลยในทางปฏิบัติ เป็นเหตุให้กลุ่มพันธมิตรฯ ตัดสินใจให้เวลารัฐบาลอีก 3 วัน ในการแก้ไขปัญหา โดยในวันเสาร์ที่ 5 ก.พ.นี้จะขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนออกมาร่วมชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ
“หากภายใน 3 วันนี้รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆได้ จะมีการของฉันทานุมัติจากภาคประชาชน ว่าจะให้รัฐบาลรับผิดชอบอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องอธิปไตยที่ถูกละเมิด และในส่วนของนายวีระ และนางราตรี โดยจะมีการถามฉันทานุมัติในช่วงค่ำของวันที่ 5 ก.พ.” นายปานเทพ กล่าว
** "มาร์ค-ฮุนเซน"รวมหัวกำจัด"วีระ"
ด้านนายประพันธ์ กล่าวว่า กรณีของนายวีระ และนางราตรี เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลไทยโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม มีพฤติกรรม สมคบคิดกับสมเด็จฯฮุนเซน นายกฯของกัมพูชา จงใจให้นายวีระ และนางราตรี ได้รับโทษอย่างหนัก โดยมีการประสานงานเพื่อกัน 5 คนไทยออกมาก่อน โดยการให้รับสารภาพตามที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ และสถานทูตไทยนำแผนที่ไปเกลี้ยกล่อม เพื่อให้จบคดีเร็ว และได้รับโทษเบา
“ ถือเป็นการร่วมมือและสมคบกันเพื่อกำจัดนายวีระ ที่เป็นทั้งปฏิปักษ์ทางการเมืองทั้งกับนายกฯฮุนเซน และรัฐบาลชุดนี้ ผลการตัดสินจึงเป็นการสมประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่จุดยืนของพันธมิตรฯ และตน เชื่อว่าประชาชนไทยทั่วประเทศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชาโดยเด็ดขาด ” นายประพันธ์ กล่าว
**ยันไม่คิดเผาสถานทูตกัมพูชา
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า การตัดสินของศาลกัมพูชาไม่ได้ผิดความคาดหมายของเรา ที่มีการลงโทษหนัก ถือเป็นเรื่องที่กล่าวร้ายทั้งสิ้น และเป็นความผิดพลาดของ นาย อภิสิทธิ์ ที่ไม่ยอมทำตามที่ประชาชนเรียกร้อง หากทำตาม 3 ข้อเสนอในการปกป้องแผ่นดินของเรา ทั้ง 7 คนไทยไม่มีวันที่จะถูกจับ แล้วเมื่อ 7 คนไทยถูกจับ พันธมิตรฯ ก็ได้มีการประชุมด่วน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ทำ 2 ข้อ คือ 1. ประกาศอย่างแข็งกร้าวไม่รับคำตัดสินของศาลกัมพูชา และ 2. ให้ปล่อย 7 คนไทยโดยไม่มีเงื่อนไข แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ทำ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้เสนอสิ่งดีๆ ให้ ไม่ทำอะไร จึงต้องถามไปถึงนายอภิสิทธิ์ว่า จะรับผิดชอบอย่างไร
เมื่อถามว่า การแสดงความรับผิดชอบหมายถึง การยกระดับสู่การขับไล่รัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ยังไม่ได้กล่าวว่าจะขับไล่หรือไม่ เพียงแต่ในวันที่ 5 ก.พ. จะมีการถามความเห็นประชาชน ไม่ว่าประชาชนจะมากน้อยแค่ไหน และต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องเรียกแขกที่ต้องการให้คนออกมามากๆ เพราะเราอยู่กันแบบนี้ก็อยู่กันได้ แต่ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน
เมื่อถามต่อว่า มีกระแสว่าอาจมีการเคลื่อนไหวไปกดดันที่หน้าสถานทูตกัมพูชา รวมทั้งมีการทำลาย หรือเผาด้วยนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่มี และหากต่อจากนี้ มีการเผาสถานทูต หรือกระทำการใดนอกพื้นที่โดยที่ไม่มีฉันทามติ ถือว่าเป็นผู้อื่น ไม่ใช่พันธมิตรฯ หรือกองทัพธรรม ซึ่งเรื่องมือที่ 3 อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เป็นหน้าที่ของตำรวจ
** หมดเวลาเจรจากับรัฐบาลแล้ว
ในส่วนเรื่องการเจรจากับรัฐบาลนั้น พล.ต.จำลอง ยืนยันว่า เลยเวลาในการเจรจามานาน การที่รัฐบาลออกมาแสดงท่าทีขอเจรจาก็เพียงเพื่อยืดเวลา และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามเจรจา แต่พันธมิตรฯไม่ยอมพูดคุยด้วย ทั้งที่ล้มเหลวมาหลายครั้งแล้ว สู้ให้นายอภิสิทธิ์เอาเวลาไปอย่างอื่นดีกว่า ขอยืนยันว่าไม่ว่าใครเป็นผู้ประสานก็ไม่สำเร็จทั้งนั้น
**"วีระ"ยืนยันไม่ขออภัยโทษ
นายณฐพร โตประยูร ทีมกฏหมายเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์คดี คงดำเนินการได้ในวันนี้ ทั้งนี้ยืนยันว่า สองคนไทย ไม่ได้รุกล้ำดินแดนของกัมพูชาหรือเป็นการจารกรรมแต่อย่างใด
ทั้งนี้นายวีระ ยืนยันไม่ขอรับการอภัยโทษ แม้ว่าจะมีผู้ใหญ่ในรัฐบาลเรียกไปพบ และขอให้เราใช้ทฤษฏีเอาตัวรอด แต่เราก็ต้องทำตามลูกความหาก ไม่ยอมก็ต้องดำเนินการตามนั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราเห็นคือ ศาลไม่มีความเป็นธรรม กรณีทั้ง 2 คนถูกตั้ง 3 ข้อหาเหมือนกัน หาแต่โทษแตกต่างกัน ซึ่งสร้างความแปลกใจและถือว่าไม่มีมาตรฐาน ทั้งนี้ในการดำเนินการช่วยเหลือต่างๆ ได้ประสานองค์กรระหว่างประเทศ ที่ขณะนี้ให้ความสนใจพอสมควร ซึ่งเราอาศัยรัฐบาลคงไม่ได้ผล
" มั่นใจในหลักฐานต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ยืนยัน 2 คนไทยไม่ได้ล้ำดินแดน ผมเชื่อคำตัดสินเป็นเรื่องงการเมือง" นายณฐพร กล่าว
** "พนิช"จวกศาลเขมรไม่เป็นธรรม
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนเห็นใจ และผิดหวังกับคำพิพากษาเป็นอย่างมาก เพราะข้อหาที่เพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมข้อมูล ตนเห็นว่าไม่เป็นธรรม และคนทั้ง 2 ไม่มีเจตนา ถึงแม้กล้องวิดีโอ จะถูกเขมรยึดไปตั้งแต่ต้น แต่ในขณะที่ถูกควบคุมตัวในบริเวณที่ดูเหมือนเป็นค่ายทหาร คุณราตรี ได้เอากล้องรูเข็ม ออกมาถ่ายในบริเวณที่ถูกควบคุมตัว จึงทำให้ฝ่ายกัมพูชา เข้าใจว่า มีเจตนาในการจารกรรมข้อมูล แต่ขอยืนยันว่า ทั้ง 2 ไม่มีเจตนา ดังนั้นข้อหาจารกรรม จึงไม่เป็นธรรมกับทั้ง 2 คน
“ผมในฐานะที่ร่วมชะตากรรมกับทั้ง 2 และเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ จะพยายามเต็มที่ในการประสานงานกับรัฐบาล เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริง และใช้ความสัมพันธ์ที่ดีของ 2 ประเทศ ในการช่วยเหลือคุณวีระ และคุณราตรี เพื่อนำกลับมาสู่อ้อมกอดของคนไทยโดยเร็วที่สุด" นายพนิช กล่าว
นายพนิช ยังกล่าวถึงกรณีการอุทธรณ์ต่อศาลกัมพูชาของตนเองนั้นว่าได้ประสานงานกับทางสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยการอุทธรณ์ ของตนจะเอาประเด็นที่ตนไม่ยอมรับในทุกข้อกล่าวหาขึ้นมาขออุทธรณ์ตามกฎหมายต่อไป
** กสม.แฉรัฐบาลช่วย"วีระ"แต่ปาก
นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงการเข้าร่วมสังเกตการณ์ไต่สวนคดี นายวีระ และนางราตรี ว่าได้เพียงแค่เห็นหน้านายวีระเท่านั้น จึงไม่ได้หารือเรื่องปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ปัญหาที่สังเกตพบคือ เรื่องการแปลภาษาของล่ามที่มีปัญหาและจับประเด็นไม่ได้ใจความที่สมบูรณ์ แต่ศาลกัมพูชา ก็ไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนล่าม ตามที่นายวีระ ร้องขอ รวมทั้งเรื่องพยานหลักฐาน และข้อมูลที่ทางเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติต้องการนำไปต่อสู้กับศาลกัมพูชา เพื่อช่วยนายวีระนั้น ก็ไม่ได้รับการประสานจากรัฐบาลไทย ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา มีทั้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ตำรวจ ทหาร และผู้เชี่ยวชาญ มาเป็นพยาน แต่ในส่วนที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทย ไม่มีการส่งใครช่วยมาเลย
**"มาร์ค"โวยอย่าใช้คดีมาเล่นการเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การช่วยเหลือนายวีระ และนางราตรี ว่า จะต้องให้อุทธรณ์ ส่วนการขอประกันตัวจะให้ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการ และในส่วนของรัฐบาลนั้น ในวันนี้ (3 ก.พ.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จะเดินทางไปกัมพูชา เพื่อร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ซึ่งจะมีโอกาสหารือในประเด็นภาพรวมทั้งหมด รวมถึงกรณีของ 2 คนไทยด้วย
" อยากจะทำความเข้าใจ เพราะมีการกล่าวหา และพูดกันมากว่ารัฐบาลไม่สนใจใยดี และไม่ช่วยเหลือ 2 คนนี้ ซึ่งอยากให้ข้อเท็จจริงที่ว่า 2 คนนี้ เป็นกรณีเดียวกับ 5 คนที่ได้รับอิสรภาพ แต่มีข้อหาเพิ่มเติมขึ้นมาเรื่องการจารกรรม โดยจะมีข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกล้องและรูเข็มต่างๆ ซึ่งหนังสือที่ทางรัฐบาลไทยส่งไปถึงทางการกัมพูชา ยืนยันว่าบุคคลทั้งสองไม่ได้มีเจตนา และในการต่อสู้คดีนั้น นอกเหนือจากจัดทนายความให้แล้วจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายอีกด้วย และคิดว่าในขั้นการอุทธรณ์ คงต้องทำให้มีเอกภาพมากขึ้น เพี่อให้เป็นทิศทางเดียวกันในการจะช่วยเหลือ และอยากให้คนไทยทุกคน มาช่วยกันพุ่งเป้าไปที่การช่วยเหลือสองคนนี้ ไม่ใช่เอาเงื่อนไขของสองคนนี้มาเล่นการเมือง เพราะไม่ได้ช่วยอะไร ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะเดินหน้าทำ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
** ถามกลับพันธมิตรฯจะให้ทำอย่างไร
สำหรับกรณีที่มีการยื่นคำขาดจากกลุ่มพันธมิตรฯ ให้ช่วย 2 คนไทยกลับมาภายใน 3 วันโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น ต้องถามคนที่เสนอเรื่องเหล่านี้ว่าเขาคิดจะใช้วิธีการใด อย่าว่าแต่ 3 วันเลย ตนเชื่อว่าทุกคนต้องการให้กลับวันนี้ด้วยซ้ำ แต่ต้องถามว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งแนวทางที่รัฐพยายามทำนั้น เดิมช่วยให้คนไทยที่ถูกจับกุมมาได้ 5 คน ซึ่งความจริงควรจะได้ 6 คน แต่บังเอิญว่านางราตรี มีความผูกพัน และห่วงใยนายวีระ จึงไม่เซ็นที่จะให้ศาลตัดสินไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเรามีความเชื่อว่า ถ้าศาลตัดสินในวันเดียวกันกับ 5 คนไทย ผลออกมาน่าจะดีกว่านี้ และน่าจะช่วยในส่วนของนายวีระด้วย เพราะสองคนนี้ ข้อเท็จจริงกับคดีจะพันกัน ซึ่งตอนนั้นได้คุยกับนางราตรีไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเจ้าตัว และไม่ถือเป็นเรื่องที่ถูก หรือผิด เพียงแต่บอกว่า อยากให้จากนี้ไป ทุกฝ่ายควรเป็นเอกภาพ โดยมีเป้าหมายตรงกันคือ ช่วยเหลือทั้งสองคนให้ได้รับอิสระ
สำหรับกรณีที่นายณฐพร โตประยูร ที่ปรึกษาด้านกฎหมายเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ จะไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ ในกรณีดังกล่าวนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าจะดำเนินการในลักษณะไหน อย่างไร แต่เวลาที่เขามีแนวทางของเขา และมาขอความร่วมมือจากทางรัฐบาล ตนก็ให้ความร่วมมือ เช่น กรณีที่มาขอเอกสาร ข้อมูลต่างๆ ตนก็บอกว่ายินดีที่จะให้หน่วยงานราชการให้ไปต่อสู้ตามแนวทางที่เขาคิดว่าเป็นประโยชน์
** ยังไม่ถึงเวลาคุย"ฮุนเซน"โดยตรง
สำหรับกรณีที่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ยืนยันให้รื้อถอนสิ่งปลูก สร้างบริเวณวัดแก้วฯ ซึ่งขัดแย้งกับท่าทีของกองทัพ ที่บอกไม่ต้องรื้อนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สอบถามแล้ว คือสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำไป เป็นการยืนยันคำประท้วง ที่เราเคยทำไป ซึ่งส่วนใหญ่คือ การต่อเติมการก่อสร้างหลังที่ทำเอ็มโอยู 2543 แต่ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับกองทัพ เข้าใจตรงกันว่า เป็นบางส่วน คือในปี 2543 มีข้อตกลงร่วมกันว่าไม่มีการทำอะไรเพิ่มเติมในการที่จะไปกระทบกับพื้นที่ ซึ่งจะต้องมีการเจรจา ดังนั้นอะไรที่มีการต่อเติม ก็ถือว่าละเมิด และอะไรที่ต่างฝ่ายต่างยืนยันสิทธิของตัวเอง ก็ต้องผ่านกระบวนการเจรจา ซึ่งเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องทำ และกำลังดำเนินการอยู่ และยังมั่นใจว่า รัฐบาลทั้งสองประเทศต้องการคลี่คลายสถานการณ์ไป
เมื่อถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา ถึงเวลาที่จะต้องคุยกันหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เมื่อถึงเวลาที่ต้องคุย ก็คุยกันได้ แต่ในชั้นนี้หลายเรื่องเป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติ หรือระดับอื่นๆ ที่ควรจะได้มีการพูดคุยกันก่อน
**"เทือก"บอกผิดหวังนิดหน่อย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกนายวีระ และนางราตรีว่า รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ที่คำพิพากษาออกมาค่อนข้างแรง แต่คงจะไปวิพากษ์วิจารณ์ศาลเขาไม่ได้ แต่ทั้งนี้ในกระบวนการยุติธรรม ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกาต่อไปได้ และเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วก็จะต้องหาวิธีการอื่นในการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 2 คนต่อไป
ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯขีดเส้นให้รัฐบาลแก้ปัญหาใน 3 วันนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เขาขีดเส้นอะไรมา เราก็พยายามพูดคุย ทำความเข้าใจกัน และจะใช้เหตุผลให้มากที่สุด
**อ้างวัดแก้วฯสร้างก่อนมี MOU
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางการกัมพูชา ออกแถลงการณ์ตอบโต้ไทย และยืนยันจะไม่รื้อถอนวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ออกตามที่ไทยเรียกร้องไป นายสุเทพ กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิของเขา ซึ่งในแนวการปฏิบัติระหว่างประเทศ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ทำหนังสือประท้วง ชี้แจงกัน ตอบโต้กัน ซึ่งก็ต้องดูความมีเหตุ มีผล ดูข้อเท็จจริง ซึ่งกรณีของวัดแก้วสิกขาฯ เราก็ต้องยื่นประท้วงไป แต่ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า วัดแก้วสิกขาฯ ถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่จะมีการลงนามใน MOU43 จึงทำให้ฝ่ายกัมพูชา หยิบยกมาเถียงได้ ก็ต้องดูว่าทางกระทรวงต่างประเทศ จะคิดอ่านอย่างไรต่อไป
** รอหารือ"วีระ"เรื่องประกัน-อุทธรณ์
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงการช่วยเหลือนายวีระ และนางราตรี ว่า ต้องรอดูการตัดสินใจของนายวีระและนางราตรี ก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องของการอุทธรณ์คดีนั้น มีเวลาแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของเอกสารหลักฐานต่างๆ ขึ้นอยู่กับนายวีระและนางราตรี ในการต่อสู้ แต่ช่วงการรอ อุทธรณ์นี้ คิดว่าการประกันตัว น่าจะเป็นแนวทางในการที่จะดำเนินการก่อน ยืนยันรัฐบาลยังเดินหน้าให้การช่วยเหลือทั้งสองคนอย่างเต็มที่ ทั้งในส่วนการประกันตัว และการสู้คดี
ส่วนที่มีเสียงวิจารณ์มากว่า คำตัดสินรุนแรงเกินไปนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า คงต้องนำเนื้อหา และรายละเอียดของคำตัดสินมาดูกันอีกครั้ง เมื่อขอรับคำพิพากษามาจะแปลเป็นภาษาไทยอีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไป ของคำพิพากษา และโทษนี้มีที่มาที่ไปเกี่ยวเนื่องกับข้อหาใดบ้าง
**อัปยศ"มาร์ค"จะฟ้องซ้ำเติม 7 คนไทย
ต่อมา เวลา 17.10 น. วันเดียวกันนี้ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวอีกครั้ง โดยนายประพันธ์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า อย่านำเรื่องนายวีระและนางราตรี มาเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศ พร้อมถามถึงข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือทั้ง 2 คน ว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ มาชุมนุมนั้น ได้ชี้ปัญหาและนำเสนอข้อเท็จจริง ซึ่งปรากฏชัดอยู่แล้วว่า บัดนี้ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องดินแดน และอธิปไตย โดยกัมพูชาใช้ MOU 43 เป็นเครื่องมือในการรุกรานอธิปไตยของไทย ทำให้คนไทยต้องตกเป็นเหยื่อของรัฐบาลกัมพูชา โดยการผลักไสไล่ส่ง ไม่ทำหน้าที่ของรัฐบาลไทย ซึ่งเราก็เรียกร้องว่าหากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาต้อง ปฏิบัติตาม 3 ข้อเสนอของเรา คือ ยกเลิก MOU 43 ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และ ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนโดยผลักดันชุมชนกัมพูชา ออกจากผืนแผ่นดินไทย
“ตนขอยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของชาติ ไม่ใช่เรื่องการเมืองในประเทศ ไม่ใช่เรื่องของนักการเมือง และพรรคการเมืองที่จะมาเล่นเกมเลื่อยขาเก้าอี้ หรือชิงตำแหน่ง ชิงอำนาจนายกฯ ซึ่งนอกจากนายกฯอภิสิทธิ์จะไม่ทำหน้าที่ช่วยเหลือคนไทย ไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนอธิปไตย ยังมาใส่ร้ายคนไทยด้วยกันเอง เพื่อพยายามบิดเบือน หาข้อแก้ตัวในการไม่ทำหน้าที่ของตน”
"วันๆนายกฯอภิสิทธิ์ พยายามคิดหาทางตอบโต้พวกเราแบบตอดเล็กตอดน้อย เหมือนเด็ก ซึ่งไม่มีวุฒิภาวะ ไม่สมกับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี" นายประพันธ์กล่าว
ในส่วนข้อแนะนำในการช่วยเหลือนายวีระ และนางราตรี นั้น ตนไม่เข้าใจว่านายกฯอภิสิทธิ์ จะมาถามทำไม ทั้งๆ ที่ไม่เคยฟังความเห็นจากภาคประชาชนเลย ที่ถามมานั้น ต้องการฟังคำตอบจริงหรือเปล่า เพราะข้อมูลที่เราพยายามนำเสนอมาเป็นปี ยังไม่พออีกหรือ ที่รัฐบาลจะนำไปใช้ โดยเราเพียรพยายามในการให้ข้อแนะนำในการดำเนินมาตรการต่างๆ ทั้งทางการทูต ทางการเมือง และทางการทหาร แต่รัฐบาลไม่ฟัง ต้องถามกลับว่า นายกฯอภิสิทธิ์ มีแนวทางหรือข้อเสนอที่ดีกว่าข้อมูลของกลุ่มพันธมิตรฯบ้าง
** อัด"มาร์ค"ขี้ขลาด กลืนน้ำลายตัวเอง
ด้านนายปานเทพ กล่าวเสริมว่า ในความเป็นจริงนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องถามตัวเองมากกว่า เพราะคำพูดของนายกฯอภิสิทธิ์เอง เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ที่ระบุว่า ไม่ว่าข้อหากรณีใดๆ 7 คนไทยต้องไม่ขึ้นศาลกัมพูชา เหตุใดในเวลานั้นนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงกล้าพูดเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้นายกฯอภิสิทธิ์รู้ปัญหา และแนวทางดี แต่ไม่มีความกล้าหาญที่จะลงมือทำ หรือกดดันกัมพูชาให้ปล่อยตัว 7 คนไทย โดยไม่ขึ้นศาลกัมพูชา เมื่อกลัดกระดุมผิดตั้งแต่แรก เม็ดต่อๆไปก็ผิด แทนที่จะต่อสู้ว่าอย่างไรก็ไม่ให้ 7 คนไทยขึ้นศาลกัมพูชา แต่กลับไปสู้เพียงแค่ว่า เข้าดินแดนกัมพูชาโดยไม่เจตนา ตนขอย้ำว่า หากศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจในการพิพากษา ไม่ว่าจะคดีเข้าดินแดน หรือคดีจารกรรม ก็มาเอาผิดกับคนไทยไม่ได้
"เมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ไม่ยืนหยัดคำพูด เมื่อ 30 ธ.ค.53 ได้สะท้อนถึงวุฒิภาวะและความขี้ขลาดของนายกฯอภิสิทธิ์เอง ที่ไม่กล้าใช้มาตรการกดดันกัมพูชา เพียงแค่ต้องการรักษาภาพตัวเองว่าเป็นนักสันติวิธี และต้องการคงความสัมพันธ์กับกัมพูชา จึงยอมกลืนน้ำลายตัวเอง" นายปานเทพ กล่าว
***ส่งกำลังดูแลสถานทูตเขมรเข้ม
พ.ต.อ.ธวัช วงส์สง่า ผกก.สน.บึงกุ่ม รักษาราชการแทน ผกก.สน.วังทองหลาง กล่าวถึงมาตการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ตั้งสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ถนน ประชาอุทิศ ซอยรามคําแหง 39 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม.ว่า ทาง บก.น.4 ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทั้งหมด แบ่งเป็นกำลังปราบจลาจลของ บก.น.4 จำนวน 1 กองร้อย (150 นาย) เฝ้าระวังสถานทูตกัมพูชาตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีฝ่ายสืบสวนของ สน.วังทองหลาง ตำรวจสายตรวจ และฝ่ายสืบสวนของ กก.สส.บก.น.4 อีกราว 20 นาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบสถานทูต รวมทั้งทาง บก.น.4 ยังได้จัดชุดเคลื่อนที่เร็วอีก 10 นาย คอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมงด้วยเช่นกัน
***ตร.รอดูท่าทีพันธมิตรฯเคลื่อนพล
ขณะที่พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกตร. กล่าวถึง ในวันที่ 5 ก.พ.นี้ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯนัดระดมพล เพื่อเตรียมเคลื่อนการชุมนุม ว่า คงต้องรอดูความชัดเจนจากแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯก่อนว่า จะเคลื่อนการชุมนุมไปด้วยวิธีการไหนและที่ใด รวมทั้งต้องรอประเมินจำนวนของผู้ชุมนุมในวันดังกล่าวด้วย
“สนธิ”อัดฮุนเซนเอารองเท้าตบหน้า”มาร์ค”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่าประวัติศาสตร์ประเทศจีนกับไทยคล้ายคลึงกัน ในสมัยราชวงศ์ชิงจีนไม่มีอาวุธที่ทันสมัย ถูกมหาอำนาจ อย่างอังกฤษบุกเข้ามาถึงกรุงปักกิ่ง ขโมยวัตถุโบราณไป อังกฤษเอาฝิ่นมาขายในจีน จนเกิดสงครามฝิ่น เมื่อจีนแพ้สงครามทำให้จีนเสียเกาะฮ่องกงให้อังกฤษเป็นเวลา 99 ปี ต้องเสียมาเก๊าให้โปรตุเกส ไม่ต่างจากไทยที่ถูกฝรั่งเศส และอังกฤษยกกองทัพเรือเข้ามาบังคับไทยให้ยกดินแดนให้ เพราะเราไม่มีอาวุธสมัยใหม่ เมื่อถึงเวลาส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ประเทศจีนจะได้เกาะคืน แม้มาร์กาเร็ตแทชเชอร์จะพยายามขอเช่าเกาะฮ่องกงต่อ แต่เติ้งเสี่ยวผิงไม่สนใจ
นายสนธิยังได้ยกตัวอย่างกรณีจีน-อินเดียเขตแดนระยะ 1 ก.ม.ก็ไม่ยอมกัน หรือเรื่องหมู่เกาะสแปรดลีย์จีนกับญี่ปุ่นก็ไม่มีการยอมให้คนจีนไปขึ้นศาลญี่ปุ่น เพราะเรื่องเขตแดนถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกๆประเทศ แต่ไทยเราปล่อยให้ฮุนเซน เหมือนเอารองเท้ามาตบหน้านายอภิสิทธิ์ทุกวัน เรื่องของเขตแดนทุกชาติมีแต่จะต่อสู้ปกป้องดินแดนของตนเอง ไม่ใช่เป็นโลกไร้พรมแดนเหมือนนักวิชาการบางคนชอบพูด นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนของคนไทย แต่ทำตัวไร้ศักดิ์ศรี ตนหวังว่าวันหนึ่งถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง อยากให้มีการประหารชีวิตนักการเมืองที่ทำให้ไทยเสียดินแดน จะได้ไม่กล้าทำกันอีกในอนาคต
***แนะแนวทางช่วย2คนไทยพ้นคุก
นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม กล่าวว่าแนวทางที่จะช่วยนายวีระ คือ ประการแรกรัฐบาลจะต้องประท้วงคำตัดสินของศาลกัมพูชา ประการที่สองต้องขู่นายฮุนเซนว่าจะเลิกเอ็มโอยู 2543 หรือให้นายชวนนท์ ไปล้อบบี้นายฮุนเซน ประการที่สามให้เรียกทูตไทยกลับประเทศ เหมือนตอนที่นายฮุนเซนแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา และประการสุดท้ายคือปิดด่านชายแดน เพื่อไม่ให้บ่อนตามแนวชายแดนมีรายได้ ส่วนเรื่องการเกิดสงครามนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพราะหากมีการปะทะกันเมื่อไรทางยูเนสโก้ก็จะถอนเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลก คนที่กลัวเรื่องเกิดสงครามมากที่สุด คือนายฮุนเซน
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 2 ก.พ.) บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวถึงกรณีที่นายวีระ สมความคิด และนางราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ซึ่งถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก โดยไม่รอลงอาญานั้น
นายปานเทพ กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่าการตัดสินดังกล่าวไม่เป็นธรรม และศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสิน โดยเราพบว่ากระบวนการที่ศาลตัดสินมาถึงทุกวันนี้ เพราะรัฐบาลไทยไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจศาลกัมพูชา ทั้งๆ ที่ 7 คนไทยถูกจับกุมในพื้นที่ดินแดนของไทย และยังมีการใช้ข้อมูลของภาครัฐ โดยเฉพาะข้อมูลจากคำพูดของบุคคลในรัฐบาลที่บิดเบือนให้ร้ายและเป็นโทษแก่ทั้ง 7 คนไทย รวมถึงภาคประชาชนเพียงเพื่อให้ 7 คนไทยมีความผิดฐานรุกเข้าไปในเขตกัมพูชา หรือเขตปฏิบัติการตามที่ศาลกัมพูชากล่าวอ้าง
** ลั่นรัฐบาลต้องรับผิดชอบ
“กรณีนายวีระ นางราตรี ถือเป็นโทษที่ร้ายแรงมาก โดยเฉพาะข้อหาการจารกรรมข้อมูลนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากรัฐบาลไทยยืนหยัดว่า 2 คนไทยได้ติดกล้องและถ่ายทำในดินแดนไทย เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา และร่วมปรักปรำ 2 คนไทย รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะกระบวนการที่มีการตัดสินลงโทษหนัก เพื่อบีบให้ 2 คนไทยยอมรับสารภาพในชั้นศาล หวังให้ 2 คนไทยไปขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา ถือว่าเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีคนไทยที่รักชาติ และปกป้องแผ่นดิน โดยที่รัฐบาลไทยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่น้อย”
**ขีดเส้น3วัน ก่อนขอฉันทานุมัติปชช.
นายปานเทพ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยต้องถูกรุกล้ำ ละเมิดอธิปไตยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร การไม่สามารถรื้อถอนวัดแก้วสิกขาฯได้ ชุมชนกัมพูชาก็ไม่สามารถผลักดันได้ หรือการรุกที่ทำกินที่ จ. สระแก้ว โดยกัมพูชายืนหยัดฝ่ายเดียวว่า เป็นพื้นที่กัมพูชา โดยสรุปแล้วรัฐบาลนี้ไม่สามารถปกป้องแผ่นดินไทยได้เลยในทางปฏิบัติ เป็นเหตุให้กลุ่มพันธมิตรฯ ตัดสินใจให้เวลารัฐบาลอีก 3 วัน ในการแก้ไขปัญหา โดยในวันเสาร์ที่ 5 ก.พ.นี้จะขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนออกมาร่วมชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ
“หากภายใน 3 วันนี้รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆได้ จะมีการของฉันทานุมัติจากภาคประชาชน ว่าจะให้รัฐบาลรับผิดชอบอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องอธิปไตยที่ถูกละเมิด และในส่วนของนายวีระ และนางราตรี โดยจะมีการถามฉันทานุมัติในช่วงค่ำของวันที่ 5 ก.พ.” นายปานเทพ กล่าว
** "มาร์ค-ฮุนเซน"รวมหัวกำจัด"วีระ"
ด้านนายประพันธ์ กล่าวว่า กรณีของนายวีระ และนางราตรี เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลไทยโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม มีพฤติกรรม สมคบคิดกับสมเด็จฯฮุนเซน นายกฯของกัมพูชา จงใจให้นายวีระ และนางราตรี ได้รับโทษอย่างหนัก โดยมีการประสานงานเพื่อกัน 5 คนไทยออกมาก่อน โดยการให้รับสารภาพตามที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ และสถานทูตไทยนำแผนที่ไปเกลี้ยกล่อม เพื่อให้จบคดีเร็ว และได้รับโทษเบา
“ ถือเป็นการร่วมมือและสมคบกันเพื่อกำจัดนายวีระ ที่เป็นทั้งปฏิปักษ์ทางการเมืองทั้งกับนายกฯฮุนเซน และรัฐบาลชุดนี้ ผลการตัดสินจึงเป็นการสมประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่จุดยืนของพันธมิตรฯ และตน เชื่อว่าประชาชนไทยทั่วประเทศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชาโดยเด็ดขาด ” นายประพันธ์ กล่าว
**ยันไม่คิดเผาสถานทูตกัมพูชา
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า การตัดสินของศาลกัมพูชาไม่ได้ผิดความคาดหมายของเรา ที่มีการลงโทษหนัก ถือเป็นเรื่องที่กล่าวร้ายทั้งสิ้น และเป็นความผิดพลาดของ นาย อภิสิทธิ์ ที่ไม่ยอมทำตามที่ประชาชนเรียกร้อง หากทำตาม 3 ข้อเสนอในการปกป้องแผ่นดินของเรา ทั้ง 7 คนไทยไม่มีวันที่จะถูกจับ แล้วเมื่อ 7 คนไทยถูกจับ พันธมิตรฯ ก็ได้มีการประชุมด่วน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ทำ 2 ข้อ คือ 1. ประกาศอย่างแข็งกร้าวไม่รับคำตัดสินของศาลกัมพูชา และ 2. ให้ปล่อย 7 คนไทยโดยไม่มีเงื่อนไข แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ทำ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้เสนอสิ่งดีๆ ให้ ไม่ทำอะไร จึงต้องถามไปถึงนายอภิสิทธิ์ว่า จะรับผิดชอบอย่างไร
เมื่อถามว่า การแสดงความรับผิดชอบหมายถึง การยกระดับสู่การขับไล่รัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ยังไม่ได้กล่าวว่าจะขับไล่หรือไม่ เพียงแต่ในวันที่ 5 ก.พ. จะมีการถามความเห็นประชาชน ไม่ว่าประชาชนจะมากน้อยแค่ไหน และต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องเรียกแขกที่ต้องการให้คนออกมามากๆ เพราะเราอยู่กันแบบนี้ก็อยู่กันได้ แต่ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน
เมื่อถามต่อว่า มีกระแสว่าอาจมีการเคลื่อนไหวไปกดดันที่หน้าสถานทูตกัมพูชา รวมทั้งมีการทำลาย หรือเผาด้วยนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่มี และหากต่อจากนี้ มีการเผาสถานทูต หรือกระทำการใดนอกพื้นที่โดยที่ไม่มีฉันทามติ ถือว่าเป็นผู้อื่น ไม่ใช่พันธมิตรฯ หรือกองทัพธรรม ซึ่งเรื่องมือที่ 3 อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เป็นหน้าที่ของตำรวจ
** หมดเวลาเจรจากับรัฐบาลแล้ว
ในส่วนเรื่องการเจรจากับรัฐบาลนั้น พล.ต.จำลอง ยืนยันว่า เลยเวลาในการเจรจามานาน การที่รัฐบาลออกมาแสดงท่าทีขอเจรจาก็เพียงเพื่อยืดเวลา และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามเจรจา แต่พันธมิตรฯไม่ยอมพูดคุยด้วย ทั้งที่ล้มเหลวมาหลายครั้งแล้ว สู้ให้นายอภิสิทธิ์เอาเวลาไปอย่างอื่นดีกว่า ขอยืนยันว่าไม่ว่าใครเป็นผู้ประสานก็ไม่สำเร็จทั้งนั้น
**"วีระ"ยืนยันไม่ขออภัยโทษ
นายณฐพร โตประยูร ทีมกฏหมายเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์คดี คงดำเนินการได้ในวันนี้ ทั้งนี้ยืนยันว่า สองคนไทย ไม่ได้รุกล้ำดินแดนของกัมพูชาหรือเป็นการจารกรรมแต่อย่างใด
ทั้งนี้นายวีระ ยืนยันไม่ขอรับการอภัยโทษ แม้ว่าจะมีผู้ใหญ่ในรัฐบาลเรียกไปพบ และขอให้เราใช้ทฤษฏีเอาตัวรอด แต่เราก็ต้องทำตามลูกความหาก ไม่ยอมก็ต้องดำเนินการตามนั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราเห็นคือ ศาลไม่มีความเป็นธรรม กรณีทั้ง 2 คนถูกตั้ง 3 ข้อหาเหมือนกัน หาแต่โทษแตกต่างกัน ซึ่งสร้างความแปลกใจและถือว่าไม่มีมาตรฐาน ทั้งนี้ในการดำเนินการช่วยเหลือต่างๆ ได้ประสานองค์กรระหว่างประเทศ ที่ขณะนี้ให้ความสนใจพอสมควร ซึ่งเราอาศัยรัฐบาลคงไม่ได้ผล
" มั่นใจในหลักฐานต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ยืนยัน 2 คนไทยไม่ได้ล้ำดินแดน ผมเชื่อคำตัดสินเป็นเรื่องงการเมือง" นายณฐพร กล่าว
** "พนิช"จวกศาลเขมรไม่เป็นธรรม
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนเห็นใจ และผิดหวังกับคำพิพากษาเป็นอย่างมาก เพราะข้อหาที่เพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมข้อมูล ตนเห็นว่าไม่เป็นธรรม และคนทั้ง 2 ไม่มีเจตนา ถึงแม้กล้องวิดีโอ จะถูกเขมรยึดไปตั้งแต่ต้น แต่ในขณะที่ถูกควบคุมตัวในบริเวณที่ดูเหมือนเป็นค่ายทหาร คุณราตรี ได้เอากล้องรูเข็ม ออกมาถ่ายในบริเวณที่ถูกควบคุมตัว จึงทำให้ฝ่ายกัมพูชา เข้าใจว่า มีเจตนาในการจารกรรมข้อมูล แต่ขอยืนยันว่า ทั้ง 2 ไม่มีเจตนา ดังนั้นข้อหาจารกรรม จึงไม่เป็นธรรมกับทั้ง 2 คน
“ผมในฐานะที่ร่วมชะตากรรมกับทั้ง 2 และเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ จะพยายามเต็มที่ในการประสานงานกับรัฐบาล เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริง และใช้ความสัมพันธ์ที่ดีของ 2 ประเทศ ในการช่วยเหลือคุณวีระ และคุณราตรี เพื่อนำกลับมาสู่อ้อมกอดของคนไทยโดยเร็วที่สุด" นายพนิช กล่าว
นายพนิช ยังกล่าวถึงกรณีการอุทธรณ์ต่อศาลกัมพูชาของตนเองนั้นว่าได้ประสานงานกับทางสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยการอุทธรณ์ ของตนจะเอาประเด็นที่ตนไม่ยอมรับในทุกข้อกล่าวหาขึ้นมาขออุทธรณ์ตามกฎหมายต่อไป
** กสม.แฉรัฐบาลช่วย"วีระ"แต่ปาก
นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงการเข้าร่วมสังเกตการณ์ไต่สวนคดี นายวีระ และนางราตรี ว่าได้เพียงแค่เห็นหน้านายวีระเท่านั้น จึงไม่ได้หารือเรื่องปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ปัญหาที่สังเกตพบคือ เรื่องการแปลภาษาของล่ามที่มีปัญหาและจับประเด็นไม่ได้ใจความที่สมบูรณ์ แต่ศาลกัมพูชา ก็ไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนล่าม ตามที่นายวีระ ร้องขอ รวมทั้งเรื่องพยานหลักฐาน และข้อมูลที่ทางเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติต้องการนำไปต่อสู้กับศาลกัมพูชา เพื่อช่วยนายวีระนั้น ก็ไม่ได้รับการประสานจากรัฐบาลไทย ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา มีทั้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ตำรวจ ทหาร และผู้เชี่ยวชาญ มาเป็นพยาน แต่ในส่วนที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทย ไม่มีการส่งใครช่วยมาเลย
**"มาร์ค"โวยอย่าใช้คดีมาเล่นการเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การช่วยเหลือนายวีระ และนางราตรี ว่า จะต้องให้อุทธรณ์ ส่วนการขอประกันตัวจะให้ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการ และในส่วนของรัฐบาลนั้น ในวันนี้ (3 ก.พ.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จะเดินทางไปกัมพูชา เพื่อร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ซึ่งจะมีโอกาสหารือในประเด็นภาพรวมทั้งหมด รวมถึงกรณีของ 2 คนไทยด้วย
" อยากจะทำความเข้าใจ เพราะมีการกล่าวหา และพูดกันมากว่ารัฐบาลไม่สนใจใยดี และไม่ช่วยเหลือ 2 คนนี้ ซึ่งอยากให้ข้อเท็จจริงที่ว่า 2 คนนี้ เป็นกรณีเดียวกับ 5 คนที่ได้รับอิสรภาพ แต่มีข้อหาเพิ่มเติมขึ้นมาเรื่องการจารกรรม โดยจะมีข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกล้องและรูเข็มต่างๆ ซึ่งหนังสือที่ทางรัฐบาลไทยส่งไปถึงทางการกัมพูชา ยืนยันว่าบุคคลทั้งสองไม่ได้มีเจตนา และในการต่อสู้คดีนั้น นอกเหนือจากจัดทนายความให้แล้วจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายอีกด้วย และคิดว่าในขั้นการอุทธรณ์ คงต้องทำให้มีเอกภาพมากขึ้น เพี่อให้เป็นทิศทางเดียวกันในการจะช่วยเหลือ และอยากให้คนไทยทุกคน มาช่วยกันพุ่งเป้าไปที่การช่วยเหลือสองคนนี้ ไม่ใช่เอาเงื่อนไขของสองคนนี้มาเล่นการเมือง เพราะไม่ได้ช่วยอะไร ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะเดินหน้าทำ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
** ถามกลับพันธมิตรฯจะให้ทำอย่างไร
สำหรับกรณีที่มีการยื่นคำขาดจากกลุ่มพันธมิตรฯ ให้ช่วย 2 คนไทยกลับมาภายใน 3 วันโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น ต้องถามคนที่เสนอเรื่องเหล่านี้ว่าเขาคิดจะใช้วิธีการใด อย่าว่าแต่ 3 วันเลย ตนเชื่อว่าทุกคนต้องการให้กลับวันนี้ด้วยซ้ำ แต่ต้องถามว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งแนวทางที่รัฐพยายามทำนั้น เดิมช่วยให้คนไทยที่ถูกจับกุมมาได้ 5 คน ซึ่งความจริงควรจะได้ 6 คน แต่บังเอิญว่านางราตรี มีความผูกพัน และห่วงใยนายวีระ จึงไม่เซ็นที่จะให้ศาลตัดสินไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเรามีความเชื่อว่า ถ้าศาลตัดสินในวันเดียวกันกับ 5 คนไทย ผลออกมาน่าจะดีกว่านี้ และน่าจะช่วยในส่วนของนายวีระด้วย เพราะสองคนนี้ ข้อเท็จจริงกับคดีจะพันกัน ซึ่งตอนนั้นได้คุยกับนางราตรีไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเจ้าตัว และไม่ถือเป็นเรื่องที่ถูก หรือผิด เพียงแต่บอกว่า อยากให้จากนี้ไป ทุกฝ่ายควรเป็นเอกภาพ โดยมีเป้าหมายตรงกันคือ ช่วยเหลือทั้งสองคนให้ได้รับอิสระ
สำหรับกรณีที่นายณฐพร โตประยูร ที่ปรึกษาด้านกฎหมายเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ จะไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ ในกรณีดังกล่าวนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าจะดำเนินการในลักษณะไหน อย่างไร แต่เวลาที่เขามีแนวทางของเขา และมาขอความร่วมมือจากทางรัฐบาล ตนก็ให้ความร่วมมือ เช่น กรณีที่มาขอเอกสาร ข้อมูลต่างๆ ตนก็บอกว่ายินดีที่จะให้หน่วยงานราชการให้ไปต่อสู้ตามแนวทางที่เขาคิดว่าเป็นประโยชน์
** ยังไม่ถึงเวลาคุย"ฮุนเซน"โดยตรง
สำหรับกรณีที่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ยืนยันให้รื้อถอนสิ่งปลูก สร้างบริเวณวัดแก้วฯ ซึ่งขัดแย้งกับท่าทีของกองทัพ ที่บอกไม่ต้องรื้อนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สอบถามแล้ว คือสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำไป เป็นการยืนยันคำประท้วง ที่เราเคยทำไป ซึ่งส่วนใหญ่คือ การต่อเติมการก่อสร้างหลังที่ทำเอ็มโอยู 2543 แต่ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับกองทัพ เข้าใจตรงกันว่า เป็นบางส่วน คือในปี 2543 มีข้อตกลงร่วมกันว่าไม่มีการทำอะไรเพิ่มเติมในการที่จะไปกระทบกับพื้นที่ ซึ่งจะต้องมีการเจรจา ดังนั้นอะไรที่มีการต่อเติม ก็ถือว่าละเมิด และอะไรที่ต่างฝ่ายต่างยืนยันสิทธิของตัวเอง ก็ต้องผ่านกระบวนการเจรจา ซึ่งเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องทำ และกำลังดำเนินการอยู่ และยังมั่นใจว่า รัฐบาลทั้งสองประเทศต้องการคลี่คลายสถานการณ์ไป
เมื่อถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา ถึงเวลาที่จะต้องคุยกันหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เมื่อถึงเวลาที่ต้องคุย ก็คุยกันได้ แต่ในชั้นนี้หลายเรื่องเป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติ หรือระดับอื่นๆ ที่ควรจะได้มีการพูดคุยกันก่อน
**"เทือก"บอกผิดหวังนิดหน่อย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกนายวีระ และนางราตรีว่า รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ที่คำพิพากษาออกมาค่อนข้างแรง แต่คงจะไปวิพากษ์วิจารณ์ศาลเขาไม่ได้ แต่ทั้งนี้ในกระบวนการยุติธรรม ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกาต่อไปได้ และเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วก็จะต้องหาวิธีการอื่นในการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 2 คนต่อไป
ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯขีดเส้นให้รัฐบาลแก้ปัญหาใน 3 วันนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เขาขีดเส้นอะไรมา เราก็พยายามพูดคุย ทำความเข้าใจกัน และจะใช้เหตุผลให้มากที่สุด
**อ้างวัดแก้วฯสร้างก่อนมี MOU
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางการกัมพูชา ออกแถลงการณ์ตอบโต้ไทย และยืนยันจะไม่รื้อถอนวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ออกตามที่ไทยเรียกร้องไป นายสุเทพ กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิของเขา ซึ่งในแนวการปฏิบัติระหว่างประเทศ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ทำหนังสือประท้วง ชี้แจงกัน ตอบโต้กัน ซึ่งก็ต้องดูความมีเหตุ มีผล ดูข้อเท็จจริง ซึ่งกรณีของวัดแก้วสิกขาฯ เราก็ต้องยื่นประท้วงไป แต่ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า วัดแก้วสิกขาฯ ถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่จะมีการลงนามใน MOU43 จึงทำให้ฝ่ายกัมพูชา หยิบยกมาเถียงได้ ก็ต้องดูว่าทางกระทรวงต่างประเทศ จะคิดอ่านอย่างไรต่อไป
** รอหารือ"วีระ"เรื่องประกัน-อุทธรณ์
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงการช่วยเหลือนายวีระ และนางราตรี ว่า ต้องรอดูการตัดสินใจของนายวีระและนางราตรี ก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องของการอุทธรณ์คดีนั้น มีเวลาแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของเอกสารหลักฐานต่างๆ ขึ้นอยู่กับนายวีระและนางราตรี ในการต่อสู้ แต่ช่วงการรอ อุทธรณ์นี้ คิดว่าการประกันตัว น่าจะเป็นแนวทางในการที่จะดำเนินการก่อน ยืนยันรัฐบาลยังเดินหน้าให้การช่วยเหลือทั้งสองคนอย่างเต็มที่ ทั้งในส่วนการประกันตัว และการสู้คดี
ส่วนที่มีเสียงวิจารณ์มากว่า คำตัดสินรุนแรงเกินไปนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า คงต้องนำเนื้อหา และรายละเอียดของคำตัดสินมาดูกันอีกครั้ง เมื่อขอรับคำพิพากษามาจะแปลเป็นภาษาไทยอีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไป ของคำพิพากษา และโทษนี้มีที่มาที่ไปเกี่ยวเนื่องกับข้อหาใดบ้าง
**อัปยศ"มาร์ค"จะฟ้องซ้ำเติม 7 คนไทย
ต่อมา เวลา 17.10 น. วันเดียวกันนี้ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวอีกครั้ง โดยนายประพันธ์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า อย่านำเรื่องนายวีระและนางราตรี มาเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศ พร้อมถามถึงข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือทั้ง 2 คน ว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ มาชุมนุมนั้น ได้ชี้ปัญหาและนำเสนอข้อเท็จจริง ซึ่งปรากฏชัดอยู่แล้วว่า บัดนี้ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องดินแดน และอธิปไตย โดยกัมพูชาใช้ MOU 43 เป็นเครื่องมือในการรุกรานอธิปไตยของไทย ทำให้คนไทยต้องตกเป็นเหยื่อของรัฐบาลกัมพูชา โดยการผลักไสไล่ส่ง ไม่ทำหน้าที่ของรัฐบาลไทย ซึ่งเราก็เรียกร้องว่าหากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาต้อง ปฏิบัติตาม 3 ข้อเสนอของเรา คือ ยกเลิก MOU 43 ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และ ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนโดยผลักดันชุมชนกัมพูชา ออกจากผืนแผ่นดินไทย
“ตนขอยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของชาติ ไม่ใช่เรื่องการเมืองในประเทศ ไม่ใช่เรื่องของนักการเมือง และพรรคการเมืองที่จะมาเล่นเกมเลื่อยขาเก้าอี้ หรือชิงตำแหน่ง ชิงอำนาจนายกฯ ซึ่งนอกจากนายกฯอภิสิทธิ์จะไม่ทำหน้าที่ช่วยเหลือคนไทย ไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนอธิปไตย ยังมาใส่ร้ายคนไทยด้วยกันเอง เพื่อพยายามบิดเบือน หาข้อแก้ตัวในการไม่ทำหน้าที่ของตน”
"วันๆนายกฯอภิสิทธิ์ พยายามคิดหาทางตอบโต้พวกเราแบบตอดเล็กตอดน้อย เหมือนเด็ก ซึ่งไม่มีวุฒิภาวะ ไม่สมกับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี" นายประพันธ์กล่าว
ในส่วนข้อแนะนำในการช่วยเหลือนายวีระ และนางราตรี นั้น ตนไม่เข้าใจว่านายกฯอภิสิทธิ์ จะมาถามทำไม ทั้งๆ ที่ไม่เคยฟังความเห็นจากภาคประชาชนเลย ที่ถามมานั้น ต้องการฟังคำตอบจริงหรือเปล่า เพราะข้อมูลที่เราพยายามนำเสนอมาเป็นปี ยังไม่พออีกหรือ ที่รัฐบาลจะนำไปใช้ โดยเราเพียรพยายามในการให้ข้อแนะนำในการดำเนินมาตรการต่างๆ ทั้งทางการทูต ทางการเมือง และทางการทหาร แต่รัฐบาลไม่ฟัง ต้องถามกลับว่า นายกฯอภิสิทธิ์ มีแนวทางหรือข้อเสนอที่ดีกว่าข้อมูลของกลุ่มพันธมิตรฯบ้าง
** อัด"มาร์ค"ขี้ขลาด กลืนน้ำลายตัวเอง
ด้านนายปานเทพ กล่าวเสริมว่า ในความเป็นจริงนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องถามตัวเองมากกว่า เพราะคำพูดของนายกฯอภิสิทธิ์เอง เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ที่ระบุว่า ไม่ว่าข้อหากรณีใดๆ 7 คนไทยต้องไม่ขึ้นศาลกัมพูชา เหตุใดในเวลานั้นนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงกล้าพูดเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้นายกฯอภิสิทธิ์รู้ปัญหา และแนวทางดี แต่ไม่มีความกล้าหาญที่จะลงมือทำ หรือกดดันกัมพูชาให้ปล่อยตัว 7 คนไทย โดยไม่ขึ้นศาลกัมพูชา เมื่อกลัดกระดุมผิดตั้งแต่แรก เม็ดต่อๆไปก็ผิด แทนที่จะต่อสู้ว่าอย่างไรก็ไม่ให้ 7 คนไทยขึ้นศาลกัมพูชา แต่กลับไปสู้เพียงแค่ว่า เข้าดินแดนกัมพูชาโดยไม่เจตนา ตนขอย้ำว่า หากศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจในการพิพากษา ไม่ว่าจะคดีเข้าดินแดน หรือคดีจารกรรม ก็มาเอาผิดกับคนไทยไม่ได้
"เมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ไม่ยืนหยัดคำพูด เมื่อ 30 ธ.ค.53 ได้สะท้อนถึงวุฒิภาวะและความขี้ขลาดของนายกฯอภิสิทธิ์เอง ที่ไม่กล้าใช้มาตรการกดดันกัมพูชา เพียงแค่ต้องการรักษาภาพตัวเองว่าเป็นนักสันติวิธี และต้องการคงความสัมพันธ์กับกัมพูชา จึงยอมกลืนน้ำลายตัวเอง" นายปานเทพ กล่าว
***ส่งกำลังดูแลสถานทูตเขมรเข้ม
พ.ต.อ.ธวัช วงส์สง่า ผกก.สน.บึงกุ่ม รักษาราชการแทน ผกก.สน.วังทองหลาง กล่าวถึงมาตการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ตั้งสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ถนน ประชาอุทิศ ซอยรามคําแหง 39 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม.ว่า ทาง บก.น.4 ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทั้งหมด แบ่งเป็นกำลังปราบจลาจลของ บก.น.4 จำนวน 1 กองร้อย (150 นาย) เฝ้าระวังสถานทูตกัมพูชาตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีฝ่ายสืบสวนของ สน.วังทองหลาง ตำรวจสายตรวจ และฝ่ายสืบสวนของ กก.สส.บก.น.4 อีกราว 20 นาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบสถานทูต รวมทั้งทาง บก.น.4 ยังได้จัดชุดเคลื่อนที่เร็วอีก 10 นาย คอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมงด้วยเช่นกัน
***ตร.รอดูท่าทีพันธมิตรฯเคลื่อนพล
ขณะที่พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกตร. กล่าวถึง ในวันที่ 5 ก.พ.นี้ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯนัดระดมพล เพื่อเตรียมเคลื่อนการชุมนุม ว่า คงต้องรอดูความชัดเจนจากแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯก่อนว่า จะเคลื่อนการชุมนุมไปด้วยวิธีการไหนและที่ใด รวมทั้งต้องรอประเมินจำนวนของผู้ชุมนุมในวันดังกล่าวด้วย
“สนธิ”อัดฮุนเซนเอารองเท้าตบหน้า”มาร์ค”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่าประวัติศาสตร์ประเทศจีนกับไทยคล้ายคลึงกัน ในสมัยราชวงศ์ชิงจีนไม่มีอาวุธที่ทันสมัย ถูกมหาอำนาจ อย่างอังกฤษบุกเข้ามาถึงกรุงปักกิ่ง ขโมยวัตถุโบราณไป อังกฤษเอาฝิ่นมาขายในจีน จนเกิดสงครามฝิ่น เมื่อจีนแพ้สงครามทำให้จีนเสียเกาะฮ่องกงให้อังกฤษเป็นเวลา 99 ปี ต้องเสียมาเก๊าให้โปรตุเกส ไม่ต่างจากไทยที่ถูกฝรั่งเศส และอังกฤษยกกองทัพเรือเข้ามาบังคับไทยให้ยกดินแดนให้ เพราะเราไม่มีอาวุธสมัยใหม่ เมื่อถึงเวลาส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ประเทศจีนจะได้เกาะคืน แม้มาร์กาเร็ตแทชเชอร์จะพยายามขอเช่าเกาะฮ่องกงต่อ แต่เติ้งเสี่ยวผิงไม่สนใจ
นายสนธิยังได้ยกตัวอย่างกรณีจีน-อินเดียเขตแดนระยะ 1 ก.ม.ก็ไม่ยอมกัน หรือเรื่องหมู่เกาะสแปรดลีย์จีนกับญี่ปุ่นก็ไม่มีการยอมให้คนจีนไปขึ้นศาลญี่ปุ่น เพราะเรื่องเขตแดนถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกๆประเทศ แต่ไทยเราปล่อยให้ฮุนเซน เหมือนเอารองเท้ามาตบหน้านายอภิสิทธิ์ทุกวัน เรื่องของเขตแดนทุกชาติมีแต่จะต่อสู้ปกป้องดินแดนของตนเอง ไม่ใช่เป็นโลกไร้พรมแดนเหมือนนักวิชาการบางคนชอบพูด นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนของคนไทย แต่ทำตัวไร้ศักดิ์ศรี ตนหวังว่าวันหนึ่งถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง อยากให้มีการประหารชีวิตนักการเมืองที่ทำให้ไทยเสียดินแดน จะได้ไม่กล้าทำกันอีกในอนาคต
***แนะแนวทางช่วย2คนไทยพ้นคุก
นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม กล่าวว่าแนวทางที่จะช่วยนายวีระ คือ ประการแรกรัฐบาลจะต้องประท้วงคำตัดสินของศาลกัมพูชา ประการที่สองต้องขู่นายฮุนเซนว่าจะเลิกเอ็มโอยู 2543 หรือให้นายชวนนท์ ไปล้อบบี้นายฮุนเซน ประการที่สามให้เรียกทูตไทยกลับประเทศ เหมือนตอนที่นายฮุนเซนแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา และประการสุดท้ายคือปิดด่านชายแดน เพื่อไม่ให้บ่อนตามแนวชายแดนมีรายได้ ส่วนเรื่องการเกิดสงครามนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพราะหากมีการปะทะกันเมื่อไรทางยูเนสโก้ก็จะถอนเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลก คนที่กลัวเรื่องเกิดสงครามมากที่สุด คือนายฮุนเซน