โฆษกพันธมิตรฯ ซัดศาลแขมร์ตัดสินไม่เป็นธรรม ยันไม่มีอำนาจพิพากษา ฉะรัฐบาลไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจทั้งที่ 7 คนไทยถูกจับในเขตสยาม ซ้ำคนในรัฐพูดให้ร้ายอีก จี้รับผิดชอบ เชื่อลงโทษหนักหวังบีบให้รับสารภาพเพื่อขออภัยโทษ ลั่นให้เวลา 3 วัน แก้ปัญหา หากทำไม่ได้จะขอฉันทานุมัติ 5 ก.พ.นี้ ชี้กรณี “วีระ-ราตรี” คือฟางเส้นสุดท้าย ถ้านำกลับมาได้ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบเบื้องต้น
วันนี้ (2 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ แถลงว่า จากกรณีที่นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญานั้น กลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่าการตัดสินดังกล่าวไม่เป็นธรรม และศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสิน โดยเราพบว่ากระบวนการที่ศาลตัดสินมาถึงทุกวันนี้ เพราะรัฐบาลไทยไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจศาลกัมพูชา ทั้งๆ ที่ 7 คนไทยถูกจับกุมในพื้นที่ดินแดนของไทย และยังมีการใช้ข้อมูลของภาครัฐ โดยเฉพาะข้อมูลจากคำพูดของบุคคลในรัฐบาลที่บิดเบือนให้ร้ายและเป็นโทษแก่ทั้ง 7 คนไทย รวมถึงภาคประชาชน เพียงเพื่อให้ 7 คนไทยมีความผิดฐานรุกเข้าไปในเขตกัมพูชาหรือเขตปฏิบัติการตามที่ศาลกัมพูชากล่าวอ้าง กรณีของนายวีระ และน.ส.ราตรี ต้องถือว่าเป็นโทษที่ร้ายแรงมาก โดยเฉพาะข้อหาการจารกรรมข้อมูลนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากรัฐบาลไทยยืนหยัดว่า 2 คนไทยได้ติดกล้องและถ่ายทำในดินแดนไทย เพราะฉะนั้น การที่รัฐบาลยอมรับอำนาจศาลกัมพูชาและร่วมปรักปรำ 2 คนไทย รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
“กระบวนการที่มีการตัดสินลงโทษหนัก เจตนาก็เพื่อบีบให้ 2 คนไทยยอมรับสารภาพในชั้นศาลว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา เพื่อหวังให้ 2 คนไทยไปพระราชทานขออภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา ถือว่าเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีคนไทยที่รักชาติและปกป้องแผ่นดิน โดยที่รัฐบาลไทยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีการห้ามชาวบ้านสระแก้วที่ให้ข้อมูลที่เป็นคุณกับ 7 คนไทยว่าอย่าพูดข้างนอก แต่กลับจัดประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งมาจัดฉากว่า 7 คนไทยรุกดินแดนกัมพูชา ไม่เพียงเท่านั้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้มีพฤติกรรมโกหกบิดเบือนข้อมูลประชาชนหลายกรณี ทั้งในเรื่องปัญหาอธิปไตยของชาติ และเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องอธิปไตยของชาติ ทั้งการโกหกว่าทหารไทยยังไม่ถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ การบิดเบือนว่าประเทศไทยยังไม่เสียดินแดน หรือการบอกว่าไทยสามารถประท้วงคำตัดสินของศาลกัมพูชา โดยไม่สนใจว่าบทลงโทษของ 7 คนไทยมีผลผูกพันในเรื่องเขตแดนด้วย ในส่วนเรื่องการทุจริตที่มีอย่างมากมายในกระทรวงและโครงการต่างๆ ของรัฐบาล แต่ก็มิได้มีการแก้ไขปัญหา” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพกล่าวว่า การที่ประเทศไทยต้องถูกรุกล้ำละเมิดอธิปไตยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร การไม่สามารถรื้อถอนวัดแก้วสิขาฯ ได้ ชุมชนกัมพูชาก็ไม่สามารถผลักดันได้ หรือการรุกที่ทำกินที่ จ.สระแก้ว โดยกัมพูชายืนหยัดฝ่ายเดียวว่าเป็นพื้นที่กัมพูชา โดยสรุปแล้วรัฐบาลนี้ไม่สามารถปกป้องแผ่นดินไทยได้เลยในทางปฏิบัติ เป็นเหตุให้กลุ่มพันธมิตรฯ ตัดสินใจให้เวลารัฐบาลอีก 3 วันในการแก้ไขปัญหา โดยในวันเสาร์ที่ 5 ก.พ.นี้จะขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนออกมาร่วมชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ
“หากภายใน 3 วันนี้ รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ จะมีการของฉันทานุมัติจากภาคประชาชนว่าจะให้รัฐบาลรับผิดชอบอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องอธิปไตยที่ถูกละเมิด และในส่วนของนายวีระ และน.ส.ราตรี โดยจะมีการขอฉันทานุมัติในช่วงค่ำของวันที่ 5 ก.พ.” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพกล่าวเสริมว่า การเคลื่อนไหวกดดันรัฐอื่นไม่ใช่นโยบายของพันธมิตรฯ เพราะพันธมิตรฯ มีเป้าหมายชัดเจนในการกดดันรัฐบาลไทยให้ทำหน้าที่กดดันรัฐกัมพูชา เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่มีบุคลากรและเครื่องมือทางการทูต ซึ่งความรับผิดชอบของรัฐบาลสามารถทำได้ตลอดเวลา โดยกรณีของนายวีระ และน.ส.ราตรี ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ตัดสินใจให้มีการขอฉันทานุมัติ ซึ่งหากรัฐบาลมีความรับผิดชอบต้องมีการนำตัวทั้ง 2 คนไทยกลับมาอย่างไร้มลทินภายใน 3 วันนี้ เป็นการแสดงความรับผิดชอบในเบื้องต้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเลิกการชุมนุม เพราะเรายังยืนยันใน 3 ข้อเสนอที่เป็นการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งระบบและยั่งยืน โดยประเด็นของนายวีระ และน.ส.ราตรี เป็นประเด็นเพิ่มเติมที่มีความสำคัญ ทั้งยังมีการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีตลอดเวลา แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย