พธม.จวก “มาร์ค” ไร้วุฒิภาวะผู้นำ จี้ พิจารณาตัวเอง “ประพันธ์” อัดวันๆ หาแต่ข้อแก้ตัว คอยตอดเล็กตอดน้อย พธม.เหมือนเด็ก ยันเขตแดนเป็นปัญหาชาติ ไม่ใช่การเมือง ชี้กัมพูชาใช้ MOU 2543 เป็นเครื่องมือในการรุกรานอธิปไตยของไทย ทำคนไทยตกเป็นเหยื่อรบ.กัมพูชา ปูด รบ.เตรียมฟ้อง 7 คนไทย ปัดสวะพ้นตัว “ปานเทพ” ชี้ ปัญหาบานปลายเหตุไทยมีนายกฯขี้ขลาด หวังช่วยแค่ “พนิช” ดูดายคนที่เหลือ
วันนี้ (2 ก.พ.) เมื่อเวลา 17.10 น.บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวการชุมนุมประจำวัน โดย นายประพันธ์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า อยากนำเรื่องที่ นายวีระ สมความคิด และนางราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก มาเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศ พร้อมถามถึงข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือทั้ง 2 คน ว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯมาชุมนุมนั้น ได้ชี้ปัญหาและนำเสนอข้อเท็จจริง ซึ่งปรากฏชัดอยู่แล้ว ว่า บัดนี้ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องดินแดนและอธิปไตย โดยกัมพูชาใช้ MOU 2543 เป็นเครื่องมือในการรุกรานอธิปไตยของไทย ทำให้คนไทยต้องตกเป็นเหยื่อของรัฐบาลกัมพูชา โดยการผลักไสไล่ส่งไม่ทำหน้าที่ของรัฐบาลไทย ซึ่งเราก็เรียกร้อง ว่า หากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาต้องปฏิบัติตาม 3 ข้อเสนอของเรา คือ ยกเลิก MOU 2543 ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และทำหน้าที่ปกป้องดินแดนโดยผลักดันชุมชนกัมพูชาออกจากผืนแผ่นดินไทย
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า ตนขอยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของชาติ ไม่ใช่เรื่องการเมืองในประเทศ ไม่ใช่เรื่องของนักการเมือง และพรรคการเมืองที่จะมาเล่นเกมเลื่อยขาเก้าอี้ หรือชิงตำแหน่ง ชิงอำนาจนายกฯ ซึ่งนอกจากนายกฯอภิสิทธิ์ จะไม่ทำหน้าที่ช่วยเหลือคนไทย ไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนอธิปไตย ยังมาใส่ร้ายคนไทยด้วยกันเอง เพื่อพยายามบิดเบือนหาข้อแก้ตัวในการไม่ทำหน้าที่ของตน นายกฯอภิสิทธิ์ พยายามบิดเบือน ว่า การชุมนุมนี้พยายามนำปัญหานอกประเทศมาเป็นปัญหาในประเทศ ไม่ต่างจาก นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงความไร้วุฒิภาวะในการเป็นผู้นำประเทศ เพราะมัวแต่หาข้อแก้ตัวปกปิดความบกพร่อง ความล้มเหลวในการทำงานของตัวเอง มากกว่าที่จะไปหาหนทางในการต่อสู้เอาชนะรัฐบาลกัมพูชา และนายกฯฮุนเซน ที่พยายามรุกรานดินแดนประเทศไทย
“วันๆ นายกฯอภิสิทธิ์ พยายามคิดหาทางตอบโต้พวกเราแบบตอดเล็ดตอดน้อยเหมือนเด็ก ซึ่งไม่มีวุฒิภาวะ ไม่สมกับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี” นายประพันธ์ กล่าว
ในส่วนข้อแนะนำในการช่วยเหลือ นายวีระ และ นางราตรี นั้น โฆษกการชุมนุม กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจว่า นายกฯอภิสิทธิ์ จะมาถามทำไม ทั้งๆ ที่ไม่เคยฟังความเห็นจากภาคประชาชนเลย ที่ถามมานั้นต้องการฟังคำตอบจริงหรือเปล่า เพราะข้อมูลที่เราพยายามนำเสนอมาเป็นปียังไม่พออีกหรือที่รัฐบาลจะนำไปใช้ โดยเราเพียรพยายามในการให้ข้อแนะนำในการดำเนินมาตรการต่างๆ ทั้งทางการทูต ทางการเมือง และทางการทหาร แต่รัฐบาลไม่ฟัง ต้องถามกลับว่า นายกฯอภิสิทธิ์ มีแนวทางหรือข้อเสนอที่ดีกว่าข้อมูลของกลุ่มพันธมิตรฯบ้าง เพราะไม่เคยเห็นแสนอกับประชาชนในประเทศเลย เวลาออกมาพูดแต่ละครั้งมีแต่ทำให้บ้านเมืองเสียประโยชน์ ประชาชนเสียหาย ปรักปรำคนในชาติตัวเอง และทำให้เสียเปรียบประเทศคู่กรณีตลอด ทั้งคำแถลงของตัวนายกฯอภิสิทธิ์เอง แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ หรือมาตรการตอบโต้ของฝ่ายทหาร ล้วนแล้วแต่เป็นการให้ข้อแนะนำที่ไร้สาระไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศทั้งสิ้น
นายประพันธ์ กล่าวต่อไปอีกว่า สิ่งที่น่าอัปยศที่สุด คือ เวลานี้หลังจากที่มีการนำชาวบ้านมาจัดฉากเพื่อหาข้ออ้างในการไม่ช่วยเหลือ 2 คนไทย ฐานไปรุกล้ำดินแดนกัมพูชา ยังมีพฤติกรรมโดยทีมที่ปรึกษากฎหมายของนายกฯอภิสิทธิ์ และกระทรวงการต่างประเทศ กำลังหาทางฟ้อง 7 คนไทยด้วยข้อหาออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ทำตามพิธีการตรวจคนเข้าเมือง หรือ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง เป็นข้อแนะนำที่ตนนึกไม่ถึงว่ามีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร รัฐบาลหวังว่าจะพิสูจน์ว่าคนไทยเหล่านี้ออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อปัดสวะให้ตนเองพ้นผิด และเหยียบคนไทยเหล่านั้นให้หนักขึ้นไปอีก
“ไม่น่าเชื่อว่า รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์จะมีความคิดบ้องตื้นถึงเพียงนี้ ดังนั้น มาตรการสุดท้ายที่จะช่วย 2 คนไทยได้ คือ นายกฯอภิสิทธิ์ ต้องออกจากตำแหน่งให้คนอื่นมาทำหน้าที่ และออกไปจากประเทศนี้ เป็นสิ่งที่นายกฯอภิสิทธิ์ ต้องไปพิจารณาตัวเองไม่ใช่มาถามคำถามยอกย้อนต่อปากต่อคำแบบนี้” นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ ยังได้กล่าวถึงมาตรการความช่วยเหลือ 2 คนไทย ที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาฯ รมว.ต่างประเทศ ออกมาเปิดเผยว่า จะช่วยให้ นายวีระ และ นางราตรี ให้ได้รับการประกันตัว ว่า มาตรการต่างๆ ทั้งการช่วยให้ได้ประกันตัว หรือนำคำพิพากษามาแปลเพื่อหาช่องทางในการอุทธรณ์ ส่วนเรื่องอภัยโทษต้องรอให้คดีสิ้นสุดก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่แนวทางในการช่วยเหลือ แต่เป็นวิธีก้มหัวยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือดินแดนไทยของกระทรวงการต่างประเทศ การที่ไปยอมรับคำพิพากษาที่ไม่ชอบ เพราะมีการยัดเยียดข้อหา ทั้งที่คนไทยอยู่ในแผ่นดินไทยก็ถือเป็นความอัปยศแล้ว ที่สำคัญ ยังไม่ใช่ความประสงค์ของ 2 คนไทยที่ไม่ต้องการขึ้นศาลกัมพูชา เพราะเขาไม่ได้ทำความผิด แต่รัฐบาลไทยไม่เคยมีมาตรการประท้วง ทั้งที่เป็นสิ่งที่เราต้องการให้รัฐบาลทำ แต่เมื่อไม่ทำ ก็ไม่สมควรอยู่ในตำแหน่ง เพราะยิ่งทำยิ่งพูดประเทศยิ่งเสียหาย
นายประพันธ์ กล่าวว่า อยากตั้งข้อสังเกตว่าในข้อหาจารกรรมข้อมูลที่ นายวีระ และ นางราตรีถูกกล่าวหานั้น ไม่ทราบว่า ประเทศกัมพูชามีอะไรให้ไปจารกรรม โดยทั้ง 2 คนก็เป็นพลเรือน ไม่ได้เป็นสายลับหรือทหาร รัฐบาลไทยรู้ทั้งรู้ ยังปล่อยให้กัมพูชายัดเยียนดข้อหาร้ายแรงกับ 2 คนไทย ดูอย่างนายวิคเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ เป็นผู้ต้องหาของประเทศรัสเซีย แต่ไทยจะส่งไปให้ทางสหรัฐฯ ทางการรัสเซียให้การช่วยเหลือทุกวิถีทาง โดยไม่สนงว่าเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ แต่เขาไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐอื่น แต่กรณี 7 คนไทยที่ไม่มีความผิดแท้ๆ รัฐบาลไทยไม่ทำอะไรเลย ผิดปกติมากของผู้นำประเทศ อาจจะมีความพอใจนายวีระเป็นการส่วนตัว ก็ต้องแยกแยะเพราะเป็นถึงผู้นำประเทศ ต้องไม่นำความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสินปัญหาบ้านเมือง สิ่งที่ต้องทำคือประท้วงรัฐบาล และศาลกัมพูชา ว่า ไม่มีสิทธิ์นำคนไทยขึ้นศาล ในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่ายุคไหน กระทรวงการต่างประเทศจะประท้วงและนำคนไทยกลับมาให้ได้ ไม่ว่าทำผิดหรือไม่ อย่างนายจรัญ ดิษฐาอภิชัย ที่เคยเคลื่อนไหวด้านมนุษยชนในประเทศพม่า ไปยืนแจกใบปลิวจนโดนจับ รัฐบาลก็ช่วยกลับมา ทางการพม่ายังไม่กล้านำตัวขึ้นศาลเลย
ด้าน นายปานเทพ กล่าวเสริมว่า ในความเป็นจริงนายกฯอภิสิทธิ์ต้องถามตัวเองมากกว่า เพราะคำพูดของนายกฯอภิสิทธิ์เองเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ที่ระบุว่า ไม่ว่าข้อหากรณีใดๆ 7 คนไทยต้องไม่ขึ้นศาลกัมพูชา เหตุใดในเวลานั้นนายกฯอภิสิทธิ์ถึงกล้าพูดเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้นายกฯอภิสิทธิ์รู้ปัญหาและแนวทางดี แต่ไม่มีความกล้าหาญที่จะลงมือทำ หรือกดดันกัมพูชาให้ปล่อยตัว 7 คนไทยโดยไม่ขึ้นศาลกัมพูชา เมื่อกลัดกระดุมผิดตั้งแต่แรก เม็ดต่อๆไปก็ผิด แทนที่จะต่อสู้ว่าอย่างไรก็ไม่ให้ 7 คนไทยขึ้นศาลกัมพูชา แต่กลับไปสู้เพียวแค่ว่าเข้าดินแดนกัมพูชาโดยไม่เจตนา ตนขอย้ำว่าหากศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจในการพิพากษา ไม่ว่าจะคดีเข้าดินแดนหรือคดีจารกรรมก็ไม่สามารถเอาผิดกับคนไทยไม่ได้
“เมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ยืนหยัดคำพูดเมื่อ 30 ธ.ค.53 ได้สะท้อนถึงวุฒิภาวะและความขี้ขลาดของนายกฯอภิสิทธิ์เอง ที่ไม่กล้าใช้มาตรการกดดันกัมพูชา เพียงแค่ต้องการรักษาภาพตัวเองว่าเป็นนักสันติวิธี และต้องการคงความสัมพันธ์กับกัมพูชา จึงยอมกลืนน้ำลายตัวเอง” นายปานเทพ กล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า การที่นายกฯอภิสิทธิ์ออกมาบอกว่าการช่วยเหลือ 5 คนไทยก่อนหน้านี้เป็นผลงานของรัฐบาล เป็นการบิดเบือนข้อมูล เพราะนายกฯอภิสิทธิ์สนใจเพียงนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น มากกว่าการช่วยเหลือคนไทยให้ครบทั้ง 7 คน โดยตั้งหน้าตั้งตาสู้เพียงว่าทั้ง 7 คนไม่ได้เจตนาเข้าแดนกัมพูชา เพราะต้องการช่วยคนบางคนแบบรวดเร็ว โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการสำแดงอำนาจอธิปไตยกัมพูชาเหนือดินแดนไทย จึงไม่ต่อสู้ว่าศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสินคนไทย หากยืนหยัดคำพูดเมื่อ 30 ธ.ค.53 ทั้ง 7 คนจะรอดทั้งหมด แต่การที่ปฏิบัติกับคน 2 กลุ่มไม่เหมือนกัน โดยส่วนของ 5 คนแรก นายกฯอภิสิทธิ์ห้ามไม่ให้ใครพูดถึงว่าทั้งหมดยังอยู่ในดินแดนไทย แต่พอเหลือ 2 คน กลับให้ชาวบ้านมาบอกว่าทั้ง 7 คนไทยล้ำเข้าไปแล้ว ซึ่งเป็นโทษกับคนที่เหลือ ที่สำคัญ ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่สนใจพยานหลักฐานที่มีอยู่มากมาย สะท้อนให้เห็นว่า การช่วยเหลือได้ไม่ครบทั้ง 7 คน เป็นเพราะปัญหาการตัดสินใจของนายกฯอภิสิทธิ์เอง
“เมื่อศาลกัมพูชาตัดสินออกมาเช่นนนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ ต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่มาถามพันธมิตรฯ เมื่อผูกปมเอง ต้องแก้ด้วยตัวเอง” นายปานเทพ กล่าว