ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถึงเวลานี้ ไม่มีใครสงสัยอีกต่อไปแล้วว่า “นายกษิต ภิรมย์” สมควรที่จะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” อีกหรือไม่ ยิ่งเมื่อได้ฟังถ้อยคำของนายกษิตที่ไปบรรยายพิเศษในงานสัมมนา “ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน : เหตุการณ์ปกติจริงหรือ” ซึ่งจัดโดยกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ด้วยแล้ว ก็ยิ่งส่งผลทำให้คำตอบสุดท้ายมีเพียงประการเดียวเท่านั้นคือ หมดเวลาของนายกษิตบนเก้าอี้เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว
และที่สำคัญคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมิอาจลังเลในการตัดสินใจอีกต่อไป เพราะถ้าหากปล่อยต่อไปไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศชาติบ้าง
ทั้งนี้ เนื่องจากคำพูดของนายกษิตนั้น นอกจากจะประสานความไร้ประสิทธิภาพของตัวเองในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ยังแกว่งปากหาเสี้ยนไปทำลายความสัมพันธ์กับมิตรประเทศ ทั้งๆ ที่ตนเองจะต้องเดินทางไปชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในวันที่ 14 ก.พ.นี้
นี่มิใช่วิสัยและคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย
ถ้อยคำในการบรรยายของนายกษิตมีข้อผิดพลาดอย่างน้อย 4 ประการคือ
ประการแรก นายกษิตกล่าวหาว่า สาเหตุหลักที่นายฮุนเซนเปิดฉากปะทะกับไทย เพราะเชื่อว่าจะมีพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยเหลือ อาทิ รัสเซีย อินเดีย ฝรั่งเศส
ประการที่สอง นายกษิตเปิดฉากสร้างศัตรูเพิ่มเติมด้วยคำพูดที่หลายคนฟังแล้วอึ้งว่า “อาวุธของจีน กัมพูชาได้รับมาฟรี ขณะที่บัลแกเรียกัมพูชาเป็นผู้ซื้อ” ซึ่งคนที่ฟังมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า นายกษิตกำลังบอกต่อสังคมว่า จีนให้การสนับสนุนกัมพูชา
ประการที่สาม นายกษิตตอกย้ำถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียว่าไม่ราบรื่น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงโดยมีชนวนเหตุสำคัญมาจากนายวิกเตอร์ บูท พ่อค้าความตายชาวรัสเซียที่ถูกจับในไทย และรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เลือกที่จะส่งตัวนายวิกเตอร์บูทให้กับสหรัฐฯ แต่สิ่งที่ไม่สมควรพูดก็คือการที่นายกษิตบอกว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียไม่ราบรื่น เพราะเขาต้องการขายอาวุธให้เรา แต่ไทยไม่เคยซื้อ รัสเซียจึงไปเข้าหากัมพูชาแทน”
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือลูกแถมที่นายกษิตที่เต็มไปด้วยความดุดันว่า “ประเทศรัสเซียมีความเห็นแก่ตัวมาก เมื่อเขาขายอาวุธให้เราไม่ได้ เขาก็ไม่ตอบสนอง คำว่าให้ทาน ไม่อยู่จิตใจ ทั้งที่เขาเป็นประเทศใหญ่ แต่ไม่ยอมให้อะไรเลย”
แน่นอนว่า เรื่องเหล่านี้แม้จะเป็นความจริง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะมาพูดจาต่อหน้าสาธารณชนเยี่ยงนี้
และประการที่สี่ประการสุดท้าย เป็นผลมาจากการที่ “นายคำนูณ สิทธิสมาน” สว. สรรหา ตั้งคำถามกับนายกษิตว่า ทำไมกระทรวงการต่างประเทศ จึงจ้างนักวิชาการที่ทำงานวิจัยเรื่องข้อพิพาทไทย-กับพูชา(หรือที่รู้จักกันในชื่อของนักวิชาการ 7.1 ล้าน) ที่มีแนวทางขัดแย้งกับรัฐบาล ซึ่งนายกษิตตอบคำถามในประเด็นนี้เพียงสั้นๆ ว่า “มีการจ้างนักวิชาการ 2 กลุ่ม มูลค่า 10 ล้านบาท แต่เป็นเรื่องก่อนที่ผมจะมารับตำแหน่งและไม่ทราบเรื่อง” ซึ่งนั่นถือเป็นการปัดความรับผิดชอบอย่างตรงไปตรงมา
ทว่า ลูกตามที่นายกษิตไปไกลชนิดที่เรียกว่ากู่ไม่กลับในสายตาของทั้งนักการเมือง ประชาชนและนักการทูต เมื่อนายกษิตยอมรับอย่างหน้าตาเฉยในความผิดพลาดในเก้าอี้เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศของตนเอง
นายกษิตกล่าวว่า “ยอมรับงานในกระทรวงการต่างประเทศเป็นแดนสนธยา รัฐมนตรียังไม่ทราบเรื่อง ไม่บอกผม เวลามอบนโยบายพวกเขาก็ยอมรับ แต่เมื่อไปอยู่ข้างนอก เขาพูดอีกอย่าง เพราะกระทรวงแห่งนี้ยังมีการครอบงำจากอดีตข้าราชการประจำ อดีตนักการเมือง ผู้มีอิทธิพลในกระทรวง นำเรื่องไปบอกผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้เกิดความสับสน”
คำยอมรับของนายกษิตคือใบเสร็จที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เขาไม่เหมาะสมกับเก้าอี้ตัวนี้ด้วยประการทั้งปวง เพราะตัวรัฐมนตรีไม่สามารถคุมสภาพภายในกระทรวงได้ แถมยังโบ้ยความผิดไปให้กับคนรอบข้างอีกต่างหาก
สภาพของนายกษิตเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นในกระทรวงการต่างประเทศหรือในสายตาชาวโลกย่อมไม่ต่างอะไรจาก “เฒ่าทารก” ที่ไม่รู้จักโต
นอกจากนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นายกษิตก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารถเดินยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศได้เท่าทันนายฮุนเซน เป็นยุทธศาสตร์ที่ตั้งรับและทำให้ไทยตกเป็นรองกัมพูชาในทุกประตู
กระนั้นก็ดี การที่นายกษิตเคยขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้เขาได้รับโควตาในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงบัวแก้ว แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว นายกษิตคือคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามาอาศัยเวทีพันธมิตรฯ ในการเติบโตทางการเมือง
ที่สำคัญคือ ทุกคนรู้ดีว่า นายกษิตคือบุคคลที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเลือกให้มาดำรงตำแหน่งนี้ด้วยตัวเอง หรือถ้าจะสรุปได้ว่า นายกษิตคือเด็กในคาถาของนายสุเทพก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
ดังจะเห็นได้จากการให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลายคราที่นายสุเทพพูดในลักษณะของการปกป้องนายกษิต เช่น เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมาเมื่อถูกถามถึงกรณีที่นายกษิตระบุว่า รัสเซีย อินเดีย จีน อยู่เบื้องหลังสมเด็จฮุนเซน จะชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ ซึ่งนายสุเทพตอบว่า “ผมได้ฟัง แต่ไม่ได้ไปตีความว่านายกษิตไประบุว่าประเทศเหล่านั้น เพียงแต่ชี้แจงว่าถ้าในกรณีของที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ แนวโน้มเสียงสนับสนุนแต่ละฝ่ายจะเป็นอย่างไร พูดความจริงลึกไปหน่อย เลยทำให้มีการตีความมากไป”
อย่างไรก็ตาม การที่นายกษิตออกมาตีอกชกตัวและตีโพยตีพายในการไร้ประสิทธิภาพในการทำงานของตัวเอง อาจเป็นผลมาจากการที่เขาได้กลิ่นหรือกระแสข่าวในเรื่องการปลดเข้าจากเก้าอี้ตัวนี้ก็เป็นได้
สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศที่ประกาศว่า วัดแก้วสิขาคีรีสวาระตั้งอยู่ในดินแดนของประเทศไทย แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไม่รับลูก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันทางความคิดและความไม่เป็นเอกภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน
ดังนั้น นายอภิสิทธิ์คงต้องตัดสินใจครั้งสำคัญแล้วว่า จะเอานายกษิตไว้หรือไม่ แต่ถ้าจะให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกว่านั้น ก็ต้องบอกว่า สมควรที่จะต้องไปกันทั้งสองคน หรือไปกันทั้งคณะรัฐมนตรี น่าจะมีความถูกต้องมากกว่า