ผบ.ทบ.ย้ำ เหตุการณ์ไทย-กัมพูชา ต้องทำในกรอบที่เหมาะสม ยันทางออกที่สุด 2 ฝ่ายต้องเจรจากัน บอกจะรบยึดเมืองเหมือนสมัยโบราณไม่ได้แล้ว เหตุมีเวทีโลก ต่างชาติเฝ้าจับตาดูอยู่ เผย “กษิต” บอกเป็นวิธีทางการทูต ปูด 3 ประเทศหนุนหลังเขมร ซัดจะปล่อยให้พล่ามฝ่ายเดียวไม่ได้
วันนี้ (11 ก.พ.) ที่กองบินกรมการขนส่งทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปติดตามสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า สถานการณ์โดยทั่วไปไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก ประชาชนบางส่วนยังอยู่ในพื้นที่อพยพ แต่บางส่วนก็ทยอยกลับ ทั้งนี้ ทางรัฐบาลออกแถลงการณ์มา 4 ข้อ เป็นเรื่องชี้แจงว่า เราไม่รุกรานใครก่อน รัฐบาลและกองทัพ ต้องทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยตามแนวชายแดน รวมทั้งการดูแลประชาชน ซ่อมแซมบ้านเรือน และแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับพันธะสัญญาต่างๆ ที่เรามีกับต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ล่าสุด ทางฝ่ายกัมพูชามีการเสริมกำลังเพิ่ม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นเรื่องของฝ่ายเขาที่จะต้องเตรียมการตามแนวชายแดน ส่วนของเราก็เช่นเดียวกัน ได้ขออนุมัติผู้บังคับบัญชา และสั่งการเพิ่มเติมไปแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายพยายามเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผ่านมาเราไม่มีปัญหา แต่ฝ่ายเขาอาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ขณะนี้ได้มีการพูดคุย และย้ำเตือนไปแล้วว่า อย่าทำอะไรที่เป็นการสุ่มเสี่ยง จนทำให้เกิดการปะทะกันทั้ง 2 ฝ่าย
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อความสัมพันธ์นั้น คิดว่า น่าจะแก้ปัญหาได้ เพราะเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานาน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราก็ไม่ทราบว่า สาเหตุเกิดจากอะไร หรืออาจจะเป็นเพราะการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลก หรือเรื่องอื่นๆ คิดว่า จะรบหรือไม่รบก็แล้วแต่ เพราะอย่างไรก็ต้องกลับมาสู่การเจรจาอยู่ดี หรือแม้แต่จะรบกันก็ตาม ก็ต้องมาแก้ปัญหาด้วยการเจรจา เราเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน จะรบกันให้ตายอย่างไรก็แยกกันไม่ออก
“สถานการณ์ขณะนี้ไม่เหมือนกับสมัยโบราณ ที่มีการตียึดบ้านเมืองแล้วยึดครองกันไปเลยทำไม่ได้ เพราะมีเวทีโลก ประเทศต่างชาติเฝ้าจับตาดูอยู่ การทำอะไรก็ตามต้องอยู่ในกรอบที่กำหนด หากเขาตอบโต้มาเราก็ต้องตอบโต้ในกรอบที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย เพราะต้องอยู่ร่วมกันในภูมิภาคนี้ เราหนีกันไปไม่ได้ ทั้งนี้ ต้องใช้เวลาสักระยะ เพราะเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาทุกอย่างยังไม่เรียบร้อย ทางรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ กำลังเจรจาทำความเข้าใจกับเวทีสากล หน้าที่ของกองทัพและทหาร คือ การใช้กำลัง และทำอย่างไรให้ประชาชนปลอดภัย ประเทศชาติเสียหายน้อยที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ต่อข้อถามถึงกรณีที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า ประเทศอินเดีย รัสเซีย จีน คอยหนุนหลังประเทศกัมพูชา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นวิธีการตอบโต้ตามวิธีการของรัฐมนตรี ซึ่งได้พูดคุยกันแล้ว เขาบอกว่า เป็นวิธีทางการทูตเหมือนกับฝ่ายกัมพูชาที่พูดเหมือนกัน ซึ่งจะต้องพูดบ้าง อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศยินดีดูแลช่วยเหลือไม่ให้เกิดเหตุการณ์ รวมถึง 3 ประเทศ ที่กล่าวถึง ซึ่งเป็นมิตรกับประเทศไทยทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากให้มีการขยายวงกว้าง เพราะการรบไม่ใช่สิ่งที่ดี ทำให้เกิดการสูญเสีย ประชาชนเดือดร้อน บาดเจ็บ ล้มตาย การค้าขายไม่ได้ และจะลุกลามไปถึงประชาชนชายแดนอยู่ไม่สงบ เพราะต่างฝ่ายต่างเฝ้าระวังกัน งบประมาณของทหารตามแนวชายแดนจะเพิ่มมากขึ้น
ส่วนกรณีที่ รมว.ต่างประเทศ จะนำหลักฐานไปชี้แจงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ในวันที่ 14 ก.พ.นั้น เป็นเรื่องของกระทรวงต่างประเทศ เป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายเตรียมข้อมูลไว้เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง ว่าเหมาะสมจะนำเข้าที่ประชุมใหญ่ของยูเอ็น หรือไม่
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ การชี้แจงจะทำให้ต่างชาติไม่เข้ามาแทรกแซง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การจะแทรกแซงหรือไม่เป็นความประสงค์ของเจ้าบ้านด้วย ไม่ใช่ใครอยากจะมาก็มา ต้องพูดจากัน และเรามีพยานหลักฐานที่ดีพอสมควรทั้งหมด เมื่อถามว่า ในฐานะที่ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ มั่นใจว่า เขาจะอยู่เคียงข้างไทยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปแบ่งข้างดีกว่า ทุกประเทศก็อยากให้สงบ ช่วยกันเจรจาไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไหนก็ตาม คงไม่มีประเทศไหนที่อยากให้รบกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดได้เข้าไปเก็บกู้กระสุน ระเบิดที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามานั้น เป็นการเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัย กระสุนที่ยังไม่ระเบิดต้องทำลายก่อนประชาชนกลับเข้าพื้นที่ โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ จะดูแลในเรื่องความปลอดภัย หากมีอะไรเกิดขึ้นจะมีแผนแจ้งเตือนพร้อมเส้นทางอพยพที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของประชาชนอยู่ระดับ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ อยากให้ประชาชนช่วยกันระมัดระวัง และสังเกตดูแลตามแนวชายแดน ถนนเส้นทางต่างๆ หากมีอะไรไม่ปกติควรแจ้งให้ทางราชการทราบ