xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ กัมพูชา หรือนายกฯ ไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่ “นายพนิช วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และคณะอีก 4คนคือ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ นายตายแน่ มุ่งมาจน นายกิชพลธรณ์ ชุสนะเสวีและนางนฤมล จิตรวะรัตนา เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้สังคมได้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะชัดเจนยิ่งขึ้น

ชัดเจนว่า นายอภิสิทธิ์ยังคงความดื้อตาใสได้อย่างคงเส้นคงวา

ชัดเจนว่า นายอภิสิทธิ์ยังคงมีความรักใน MOU43 ตราบชั่วฟ้าดินสลาย ทั้งๆ ที่เป็นเอกสารที่ผิดกฎหมายเนื่องจากไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนให้แก่กัมพูชาจากการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

และชัดเจนว่า นายอภิสิทธิ์มีตรรกะที่สับสนเกี่ยวกับเรื่องอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะแม้นายอภิสิทธิ์จะไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลกัมพูชาที่ตัดสินว่า คนไทยรุกล้ำเขตแดนของกัมพูชา แต่กลับปล่อยให้รัฐบาลของนายฮุนเซนลากตัวคนไทยจาก “เส้นปฏิบัติการ” ไปขังคุกเอาไว้ในเรือนจำเปรย์ซอว์ก่อนที่ศาลกัมพูชาจะมีคำพิพากษาออกมาว่า มีความผิดฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพราะเจตนาเดินทางรุกล้ำเข้าเขตแดนกัมพูชา ต้องโทษจำคุกคนละ 9 เดือน ปรับคนละ 1 ล้านเรียล โดยที่มิได้ดำเนินการประท้วงด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว ทั้งๆ ที่กัมพูชาทำผิดเงื่อนไขตามที่ระบุเอาไว้ใน MOU43

เหตุที่กล่าวเช่นนั้นเป็นเพราะทันทีที่นายพนิชและคณะกลับเมืองไทย นายอภิสิทธิ์ก็เปิดฉากการแสดงด้วยการ “เดี่ยวไมโครโฟน” ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (ช่อง 11) พร้อมทั้งบังคับให้โทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสัญญาณเพื่อชี้แจงกรณีที่ 7 คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวทันทีด้วยข้อความที่ทั้งบิดเบือนและเต็มไปด้วยสับสน

จนทำให้ผู้คนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย หรือเป็นโฆษกส่วนตัวของนายฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชาไปเสียแล้ว

ทั้งนี้ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า หลังจากที่คณะ 7 คนไทยถูกจับ นายอภิสิทธิ์มีปฏิกิริยาที่เป็นเรื่องเป็นราวเพียงครั้งเดียวในวันที่ 30 ธ.ค. หลังจากนั้น นายอภิสิทธิ์ก็นิ่งเงียบและปล่อยให้นายกษิต ภิรมย์ กระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่ากันไปคนละทางสองทาง กระทั่งผลิตชุดข้อมูลที่ทำให้เชื่อว่า คณะ 7 คนไทยรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา แล้วปล่อยให้เกมดำเนินไปตามทฤษฎีของกระทรวงการต่างประเทศด้วยการฝากชะตากรรมเอาไว้ให้ศาลกัมพูชามีคำพิพากษาออกมา และนำไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือการขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมิใช่เป็นเช่นนั้น

กระทั่งศาลกัมพูชาพิพากษาว่ามีความผิด แต่ให้รอลงอาญาและอนุญาตให้เดินทางกลับไทยได้ นายอภิสิทธิ์ถึงลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาอีกครั้ง หรือดังเช่นที่นายอภิสิทธิ์ใช้คำพูดว่า “ผมรอคอยที่จะได้มีโอกาสชี้แจงต่อประชาชน” พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า “ก่อนหน้านี้ด้วยความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และ 7 คนไทยก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลกัมพูชา จึงต้องระมัดระวังการบอกกล่าว หรือพูดจาอะไร เพราะมันจะมีผลกระทบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ นายอภิสิทธิ์รอคอยอะไร

รอคอยให้ปล่อยนายพนิชซึ่งเป็น ส.ส.ในสังกัดของพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน ถึงออกมาชี้แจง ใช่หรือไม่

หรือรอคอยเวลาที่จะออกมาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสกัดกั้นการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 25 ม.ค.54

ทว่า สุดท้ายแล้วการชี้แจงด้วยการใช้เวลาราว 37 นาทีก็มิได้เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย

นี่จึงเป็นตลกร้ายที่กระทบความรู้สึกของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง เสมือนหนึ่งนายอภิสิทธิ์ตั้งใจและปรารถนาจะใช้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แก้ตัวต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการตัดสินใจช่วย 7 คนไทย รวมทั้งต้องการใช้ “วาทศิลป์” ที่ตนเองถนัดโฆษณาชวนเชื่อให้คนอื่นคล้อยตามไปด้วย

แล้วที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์หุบปากอยู่ทำไม หรือเกรงว่าดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากกระนั้นหรือ
ต่างจากนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาที่มีความชัดแจ้งและแข็งกร้าวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด

ยิ่งเมื่อวิเคราะห์เนื้อหาที่นายอภิสิทธิ์ชี้แจงรายละเอียด ก็จะเห็นได้ว่า เป็นเพียงแค่ “คำแก้ตัว” ที่นอกจากจะ “สอบตก” เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนคนไทยเลยแม้แต่น้อยแล้ว ยังแสดงให้เห็นด้วยซ้ำไปว่า ตรรกความคิดของนายอภิสิทธิ์นั้นสับสนจนคนรับรู้ได้ถึงสมรรถภาพในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปทุกที

ทั้งนี้ คำแก้ตัวที่รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่งก็คือ นายอภิสิทธิ์ประดิษฐ์ศัพท์ใหม่คำหนึ่งขึ้นมา นั่นคือคำว่า “แนวเขตปฏิบัติการ” ซึ่งแตกต่างไปจากคำว่า “เส้นเขตแดน” ที่สังคมรับรู้กันโดยทั่วไป

นายอภิสิทธิ์อธิบายเป็นคุ้งเป็นแควผ่านแผนที่ซึ่งดูไม่รู้เรื่องเพราะหาความชัดเจนอะไรไม่ได้ว่า หลังจากเกิดเรื่องเจ้าหน้าที่ไทยไปตีเส้นพิกัด ณ จุดที่คนไทยถูกจับ และไปทาบลงบนแผนที่กับเส้นตรงที่ลากระหว่างหลักเขตที่ 46 กับ 47 แล้ว ยอมรับว่าคนไทยทั้ง 7 ไปอยู่ “แนวเขตปฏิบัติการ” ของกัมพูชา แต่ขณะเดียวกันนายอภิสิทธิ์ก็ยังยืนยันว่าคนไทยไม่ได้ข้ามเขตแดนเข้าไปกัมพูชา เพราะบริเวณนั้นยังมีปัญหา เนื่องจากทั้งสองประเทศยังไม่ได้ตกลงเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน โดยมีทั้งที่ชาวกัมพูชาหนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่และชาวบ้านคนไทยมีเอกสาร น.ส.3 แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินทับซ้อนกันอยู่บริเวณนั้น

เพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดถึงตรรกอันสับสนของนายอภิสิทธิ์แล้ว เพราะขณะที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่า คนไทยทั้ง 7 คนไปอยู่ในแนวเขตปฏิบัติการของกัมพูชา แต่ก็ยืนยันอีกเช่นกันว่าคนไทยยังไม่ได้ข้ามเขตแดนเข้าไปในกัมพูชา

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แนวเขตปฏิบัติการของกัมพูชาแตกต่างจากเส้นเขตแดนที่นายอภิสิทธิ์ชี้แจงว่า คนไทยยังไม่ได้ข้ามเขตแดนเข้าไปกัมพูชาอย่างไร เพราะถ้าเป็นไปตามที่นายอภิสิทธิ์ชี้แจงก็ย่อมหมายความว่า พื้นที่ที่คนไทยทั้ง 7 คนถูกจับนั้น ไม่ใช่เป็นดินแดนของกัมพูชา ดังนั้น ทหารกัมพูชาจึงไม่มีสิทธิ์จับคนไทยพร้อมทั้งลากตัวไปขังคุกก่อนที่จะมีคำพิพากษาออกมาว่า คณะ 7 คนไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา

นอกจากนั้น นายอภิสิทธิ์ยังแก้ตัวพัลวันว่า คำพิพากษาของศาลกัมพูชาไม่ได้ผูกพันและเกี่ยวข้องกับเขตแดนระหว่างทั้งสองประเทศ โดยยืนยันว่า ไม่ว่าศาลประเทศไหนตัดสินจะไปแปลว่าเป็นเขตแดนกัมพูชาไม่ได้ “เพราะเราได้เซ็นเอ็มโอยูไว้เมื่อปี พ.ศ.2543 ว่าเขตแดนบริเวณนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ จะต้องให้คณะกรรมการร่วมปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชาหรือเจบีซีหาข้อยุติ”

แต่ถามว่า รัฐบาลกัมพูชาของนายฮุนเซนมีความคิดอย่างที่นายอภิสิทธิ์พร่ำพรรณนาแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือ เพราะเชื่อขนมกินได้ว่า นายฮุนเซนจะต้องนำกรณีนี้ไปขยายผลจนใหญ่โตเมื่อโอกาสอันอำนวยมาถึง แล้วสมมติว่า ชาวโลกเชื่อตามข้อมูลที่นายฮุนเซนนำเสนอ นายอภิสิทธิ์จะแก้ตัวอย่างไร เพราะจนถึงขณะนี้ทั้ง 5 คนไทยที่มีคำพิพากษาออกมาแล้ว ก็มิได้ต่อสู้หรือมีการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลกัมพูชาแต่อย่างใด ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการยอมรับผลการตัดสินไปโดยปริยาย

ขณะเดียวกัน ในคำแก้ตัวที่ประหนึ่งว่านายอภิสิทธิ์เป็นโฆษกหรือนายกรัฐมนตรีของกัมพูชานั้น นายอภิสิทธิ์ยังได้พูดถึงคำว่า “แนวปฏิบัติการ” ในอีกตอนหนึ่ง โดยบอกว่า “ในแง่พื้นที่ ผมได้บอกให้กับประชาชนที่อ้างเอกสารสิทธิ์ อย่างกรณีของนายเบ ผมจะไปขอให้เปลี่ยนแนวปฏิบัติเพื่อเพื่อให้นายเบเข้าไปทำกินได้”

นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์มีตรรกะอันสับสน เพราะเสมือนหนึ่งว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ยอมรับเอกสารสิทธิของนายเบที่ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งจะไปขอให้ใครก็ไม่ทราบได้ ซึ่งน่าจะหมายถึงกัมพูชาเพื่อให้เปลี่ยนแนวปฏิบัติอีกต่างหาก ถามว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงต้องไปขอให้เปลี่ยนแนวปฏิบัติ ทั้งที่นายเบก็มีเอกสารสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย

นายอภิสิทธิ์ไม่ยอมรับสิ่งที่หน่วยราชการไทยรับรองดอกหรือ แต่กลับไปยอมรับเส้นปฏิบัติการที่กำหนดกันขึ้นมาอย่างมิรู้เหนือรู้ใต้

เช่นเดียวกับการที่บอกว่า “แต่มีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่มี ส.ค.1หลายแปลง ทำให้ไม่สามารถกำหนดแนวเขตได้ชัดเจน แต่เมื่อให้กรมที่ดินและกรมแผนที่ทหารจะเห็นได้ว่าอยู่ในแนวปฏิบัติของฝั่งไทย แต่ต้องไม่ลืมว่า พื้นที่เหล่านั้นมีการอ้างสิทธิกันมากว่า 30 ปีแล้ว จึงต้องมีการลงไปชี้แนวเขต”

นายอภิสิทธิ์ยอมรับว่า พื้นที่เหล่านั้นอยู่ในแนวปฏิบัติของฝั่งไทย แต่กลับไปอ้างเกินเลยประหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอีกว่า “พื้นที่เหล่านั้นมีการอ้างสิทธิกันมากว่า 30 ปีแล้ว จึงต้องมีการลงไปชี้แนวเขต”

ตกลงสรุปแล้วว่า แนวเส้นปฏิบัติการเป็นสรณะที่ทั้งสองประเทศยึดถือกันจริงๆ หรือไม่ เพราะถ้าเป็นเส้นที่ลากกันตามบุญตามกรรม คณะ 7 คนไทยก็ไม่สมควรที่ถูกทหารกัมพูชาจับและศาลกัมพูชาก็มีคำพิพากษาออกมาว่า พวกเขากระทำความผิดด้วยการล้ำดินแดนของกัมพูชา

เพราะถ้าหากยังจำกันได้หลังจาก 7 คนไทยถูกจับ นายอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดเจนว่า “ไม่ว่ากรณีจับกุมจะเกิดขึ้นที่ฝั่งใดก็ตาม เราเห็นว่าบุคคลทั้ง 7 คน ควรจะได้รับการปล่อยตัวทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า ทางฝ่ายนโยบายทั้งสองฝ่ายได้เคยคุยกันว่ากรณีที่เกิดปัญหาในชายแดนลักษณะนี้โดยเฉพาะไม่มีอะไรบ่งบอกว่าคนทั้ง 7 คน มีอาวุธ ไม่ควรที่จะมีการจับกุม และเข้าสู่กระบวนการของศาล”

ตกลงว่า จุดยืนของนายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับเรื่องนี้คืออะไรกันแน่

เพราะหลังจากวันนั้น นายอภิสิทธิ์ก็มิได้เคยแสดงท่าทีอันเป็นประโยชน์ต่อคนไทยและอธิปไตยของประเทศไทยอีกเลย แถมยังปล่อยให้กระทรวงการต่างประเทศทั้งตัวเจ้ากระทรวงเองอย่างนายกษิต ภิรมย์ หรือนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการของนายกษิต ตลอดรวมไปถึงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศที่ชื่อนายธานี ทองภักดี ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า คนไทยถูกจับในพื้นที่ของกัมพูชา เฉกเช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่มิรู้ร้อนรู้หนาวต่อการถูกจับที่เกิดขึ้นเลย มิหนำซ้ำยังพูดจาเข้าข้างกัมพูชาอีกต่างหาก

และถ้านายอภิสิทธิ์ยอมรับว่า นั่นเป็นแนวเขตปฏิบัติการที่ไม่ได้ข้ามแดนไปในกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง “ลงโทษ” กลุ่มบุคคลเหล่านี้ให้หลาบจำและโทษที่สาสมที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการปรับออกจากตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนพวกนี้ไร้ประสิทธิภาพและทำให้ศักดิ์ศรีของประเทศชาติเสียหายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

คำถามที่ตามมาก็คือ นายอภิสิทธิ์รับรู้เมื่อไหร่ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นเพียงแค่แนวเขตปฏิบัติการของทหารกัมพูชา

ถ้านายอภิสิทธิ์เพิ่งรับรู้ก็แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการทำงานที่ห่วยแตกสิ้นดี ทั้งตัวนายอภิสิทธิ์เองและเจ้าหน้าที่ตลอดรวมถึงกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้อง

แต่ถ้านายอภิสิทธิ์รับรู้มาตั้งแต่แล้วก็ย่อมหมายความว่า นายอภิสิทธิ์มีวาระซ่อนเร้นในการเก็บงำเรื่องนี้ไว้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วนายอภิสิทธิ์จะต้องไม่ปล่อยให้คนไทยทั้ง 7 คนถูกควบคุมตัวเข้าไปแล้วสงบนิ่งเพื่อรอรับคำพิพากษาของศาลกัมพูชา เสมือนหนึ่งล้อเล่นกับดินแดนและอธิปไตยซึ่งคนไทยทั้งประเทศมิอาจยอมรับได้

และวาระซ่อนเร้นที่ว่านั้นก็จะเป็นอะไรไปเสียมิได้ นอกจากเป็นแผนการที่จะสกัดกั้นการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 25 มกราคม 54 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีเจตนาที่ต้องการจะหาเรื่องใส่ร้ายรัฐบาล

       
กำลังโหลดความคิดเห็น