ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในคนไทยที่ถูกศาลเขมรตัดสินโทษจำคุก แต่ให้รอลงอาญา และทันทีที่เขา “โกนหัว” และกลับมาถึงประเทศไทย-กลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัวอันเป็นที่รัก และกลับมาสู่ผืนแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ จึงเดินทางไปที่อาคารรัฐสภา เพื่อสอบถามและสนทนาถึงที่มาที่ไป และ “ความจริง” ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนที่เขาจะถูกจับไปเป็นนักโทษ 16 วันในคุกเขมร!
**อยากทราบเหตุการณ์ตอนที่คุณและคณะคนไทยถูกทหารเขมรจับว่าเป็นมาอย่างไรบ้าง
มีอยู่ 2-3 ส่วน คือส่วนแรก ผมคิดว่าคนของกัมพูชาเห็นกลุ่มเรา โดยตอนนั้นเราก็เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่กัมพูชาใส่เสื้อทหารมามองๆ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงตัว ขณะนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเราคิดว่ายังอยู่ในพื้นแผ่นดินไทย และคนบริเวณนั้นก็มีหน้าตาคล้ายกันไปหมด เพราะว่าผมเห็นคนไทยที่พูดไม่ได้อยู่แถวตลาดโรงเกลือก็มีเยอะแยะไป ผู้คนบริเวณที่ผมโดนจับก็คล้ายกันกับคนไทยและคนกัมพูชา บางคนก็พูดไทยได้ บางคนก็พูดไทยไม่ได้ และเราก็ไม่ทราบว่าตรงไหนทหารกัมพูชาประจำการณ์อยู่
เราก็เดินไปเรื่อยๆ จนแน่ใจว่า ทางทหารเขามาควบคุมตัวเรา ก็เป็นบริเวณที่เป็นศาลาและมีศาลพระภูมิสีน้ำเงิน ตรงจุดนั้นทหารจึงได้มายึดกล้องของพวกผมไป ผมคิดว่าคือจุดที่เจ้าหน้าที่ของเขา... คือผมเห็นเพราะมีรถที่คาดว่าเป็นระดับหัวหน้าขับมามาจอด แล้วจึงควบคุมตัวพวกเรา ต่อมาผมจึงได้แสดงความเป็นมิตรจะสวัสดี พูดคุยกับหัวหน้าชุดของเขา แต่หลังจากนั้นทหารอีก 2-3 คน ได้มาล้อมเราไว้ และมีท่าทีเหมือนกับว่าเราไปทำอะไรผิด แต่หลังจากนั้นเขาก็พูดอะไรกันสักอย่างหนึ่ง แล้วจึงพาเราไปอีกจุดหนึ่งซึ่งไม่ไกล แล้วก็จับพวกเราถ่ายรูป 2 ครั้ง
ถามว่าจุดไหนคือที่ควบคุมหรือเห็นพวกเราคนไทยทั้ง 7 คน ก็แล้วแต่ว่าทางกัมพูชาจะมองเราว่าอยู่ตรงไหน แต่ผมเห็นทหารกัมพูชาอยู่ตรงถนนลูกรังที่เราผ่านหมู่บ้าน ซึ่งเราเดินผ่านถนน K5 แล้วเราเลี้ยวซ้าย ขึ้นมาบนถนนอีกอันหนึ่ง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าตรงนั้นเป็น k5 หรือไม่ แต่ตรงนั้นเป็นถนนที่เราได้ผ่านร้านอาหาร ร้านขายน้ำมัน แล้วจึงมาถึงศาลา ซึ่งเป็นจุดที่ทหารกัมพูชาคงเห็นพวกเรา แล้วยึดของพวกเรา แล้วก็ควบคุมตัวเราซึ่งมันก็อยู่ในช่วง 200-300 เมตร
**ทางกัมพูชาเคยอ้างว่าจับคนไทยทั้ง 7 ได้ที่วัดโจ๊กเจีย
นั่นคือรูปถ่ายที่เขาถ่ายเรา ถ้าถามว่าพวกเราถูกจับตรงไหน อันนั้นก็แล้วแต่หลักฐาน แต่สำหรับผมก็เดินตามถนนไปเรื่อยๆ และเขาคงเห็นเราตั้งแต่อยู่ที่ร้านค้าแล้ว ซึ่งผมคิดว่าจุดนั้นเป็นจุดที่เขาเจอตัวพวกเรา ส่วนเขาจะใช้กระบวนการวิธีทางทหารจับกุมตัวเรา คือจุดถ่ายรูปที่เขาอ้าง และได้เอาไปยืนยันในชั้นศาล คือภาพถ่ายที่จะมีการเรียงเบอร์พวกเราหนึ่ง สอง สาม
**ตอนนั้นคิดหรือไม่ว่าขณะถูกจับกุมตัวจะถูกส่งตัวไปเรือนจำเปรย์ซอร์
ไม่เคยคิด, เพราะคิดอยู่เสมอว่าผมอยู่ในเขตประเทศไทย แต่ตอนนั้นแปลกใจว่าทำไมมีฝั่งทางการของกัมพูชามาหาเรา ซึ่งเราไปแบบเป็นมิตร ไม่ได้ไปแบบแอบๆ หรือว่ามาด้วยเจตนาที่จะทำอะไรผิด แต่เราอาจจะเดินผิดทาง อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่าบริเวณนั้นมีความสำคัญมาก เพราะยังมีข้อโต้แย้งที่ยังไม่มีข้อยุติ และเรายังไม่เห็นว่าทางการของไทยจะมาห้ามเรา วันนั้นอาจจะเพราะเจ้าหน้าที่ไทยที่อ้างว่ามาตามพวกผมแล้ว แต่พวกผมไม่เห็น แต่ก็อาจมีคนเห็นก็ได้ ซึ่งผมอาจเดินไปไกลแล้วพวกเขาจึงอาจไม่เห็นหรือเปล่า ถ้าพวกเขาจะวิ่งไปตามผมก็สามารถวิ่งไปตามได้ว่าพวกเราอาจไปทำอะไรผิด
แต่วันนั้นผมไม่เห็นเจ้าหน้าที่ของไทยเลย ไม่ได้บอกว่าพวกเขาผิดหรือถูก แค่ผมไม่เห็นเท่านั้นเอง เพราะผมไม่มีความตั้งใจที่จะหลบหนีทางการไทยอยู่แล้ว ซึ่งผมอยู่ในฐานะข้าราชการการเมืองจึงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องหลบเลี่ยง อีกทั้งก็ไม่ได้มีการประสานมาด้วย ผมจึงไม่คิดว่าจะประสานกับทางเจ้าหน้าที่ไทยด้วย ด้วยเหตุผลว่า เรามาในพื้นที่แผ่นดินไทย ที่ประชาชนเขามาร้องเรียนซึ่งเขามีเอกสารสิทธิ์ น.ส. 3 ก อ้าง ประกอบกับอยู่บนหลักแดนเขตที่ 46 ที่อยู่ในเขตประเทศไทยเท่านั้นเอง
**หลังจากที่คุณถูกจับกุมมีคนตั้งข้อสงสัย การเดินทางไปครั้งนี้มีการวางแผนมาก่อนหรือหลอกให้ไปติดกับอะไรบางอย่าง
ตอนแรกจนกระทั่งถึงขณะนี้ ผมคิดว่าไม่มีใครหลอกใครไป และเชื่อว่าไม่มีใครหลอกผมได้ ทุกคนไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่อาสาจะไปดูปัญหาของประชาชน ที่เขาร้องเรียนว่าเขามีโฉนดที่ดินจึงได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ซึ่งชาวบ้านได้ร้องเรียนมาทางสันติอโศก เพราะว่าคนที่ชวนผมลงไปพื้นที่คือคุณแซมดิน เลิศบุศย์ ผมรู้จักกับเขาเพราะว่าคุณแซมดิน และสันติอโศก อยู่ในพื้นที่ในเขตบึงกุ่มที่ผมเป็น ส.ส. อยู่ และผมเคยไปกราบท่านสมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพ ไปกราบท่านด้วยในฐานะที่ผมต้องรับใช้ท่าน ในฐานะที่ผมเป็นคณะกรรมมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี
ก็ได้เคยไปพูดคุยกับท่านเรื่องทั่วไป เช่นเรื่องเขาพระวิหารมีปัญหานะ เรื่องพรมแดนไทยมีปัญหานะ โดยก่อนไปกัมพูชาผมได้ไปเจอท่านต้นเดือนธันวาคมปีก่อน และกว่าจะนัดกับคุณแซมดิน ลงตัวก็ปาไปวันที่ 19 ธ.ค. ส่วนคุณวีระ สมความคิด ผมยอมรับตรงๆ ว่าไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิต จะว่าตลกก็ตลกนะ ผมไม่เคยทราบเลยว่าหน้าตาคุณวีระเป็นยังไง แค่เคยได้ยินชื่อมาก่อนว่าเคยติดตามดูคดีของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่องคดีที่ดินรัชดา ซึ่งตอนนั้นผมอยู่กระทรวงการต่างประเทศ จึงต้องได้ไปชี้แจงเรื่องนี้เยอะพอสมควร
ส่วนคนที่ชวนคุณวีระ ไปคือคุณแซมดิน กว่าจะทราบผมก็ถึงที่แล้ว ถ้าถามว่าใครโดนใครหลอกหรือเปล่าผมคิดว่า ใครมาหลอกผมไม่ได้ เนื่องจากผมตั้งใจที่จะมาดูปัญหา เพราะได้คุยกับท่านโพธิรักษ์ ท่านก็บอกว่าปัญหาเรื่องพรมแดนคุยกับคนอื่นไม่ได้ต้องมาดูด้วยตาตัวเอง และผมเองก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนมาใหม่ๆ ก็ต้องกระตือรือร้น ซึ่งผู้ใหญ่ในพื้นที่ให้คำแนะนำขนาดนี้ ถ้าเราไม่ทำก็ยังไงอยู่
ซึ่งผมได้คุยกับนายกรัฐมนตรีเรื่องนี้ด้วย ผมจึงไปเรียนท่านตรงๆ เลยว่า มันมีปัญหาเกี่ยวกับชาวบ้านเขามาร้องเรียนพื้นที่บริเวณหลักเขตแดนที่ 46 ซึ่งได้อ้างว่ามีหนังสือ น.ส.3 แต่พวกเขาเข้าไปทำมาหากินไม่ได้ ท่านนายกรัฐมนตรีบอกว่าก็ดี ต่อมาพอมาเจอท่านนายกฯ ในงานเลี้ยงของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้บอกท่านอีกครั้ง อีกวันสองวัน ผมจะไปดูพื้นที่ที่จังหวัดปราจีนบุรี เพราะว่าคุณแซมดิน ได้มาชวนผมไว้แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วที่แรกที่เราควรจะไปคือพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร แต่คุณแซมดินบอกกับผมว่า บริเวณเขาพระวิหารก็น่าลงไปตรวจดู แต่มันมีจุดที่น่าลงไปตรวจดูมากกว่า คือ จุดบริเวณที่ชาวบ้านเขามาร้องเรียนเรื่องเอกสารสิทธ์ซึ่งชัดเจนกว่าประกอบกับไม่ไกลมากนัก อีกทั้งทุกคนก็มีความประสงค์ว่าจะไปตรวจดูแล้วรีบกลับ
ผมจึงได้คุยกับคุณแซมดินว่าจะไปวันเดียวแล้วกลับ จึงได้นัดกันตั้งแต่ 6โมงเช้า กะว่าไปถึงสัก 8-9 โมงเช้า พอดูเสร็จทานข้าวเที่ยงแล้วก็กลับ แต่อาจจะมีบ้างบางประเด็นที่สื่อสารกันผิด ที่คุณแซมดินบอกผมว่าไปจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งคุณแซมดินเข้าใจมาเสมอว่าพรมแดนอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งสมัยก่อนสระแก้วเป็นอำเภอในจังหวัดปราจีนบุรี แต่ถึงอย่างไรผมก็เพิ่งมาทราบตอนเช้าว่าจะไปบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และผมก็ได้เคยบอกท่านนายกฯ ว่าพื้นที่จะลงไปเป็นจังหวัดสระแก้ว ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งผมยังยืนยันว่าผมไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
**ทางคุณวีระได้เคยเตือนหรือไม่ว่า เคยถูกจับกุมตัวบริเวณพื้นที่พิพาทมาก่อน ได้มีการพูดคุยกันก่อนหรือไม่
ตอนแรกผมไม่เคยทราบว่าคุณวีระเคยถูกจับกุมตัวจากทหารกัมพูชามาก่อน หลังจากนั้นผมจึงเพิ่งมาทราบประมาณเดือนสิงหาคม ซึ่งตอนนั้นผมเพิ่งจะชนะการเลือกตั้ง ส.ส. ช่วงนั้นผมมัวแต่ดีใจ และก็ไม่ได้ไปสนใจประเด็นที่คุณวีระถูกจับกุมตัวด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี ตอนที่ลงไปพร้อมคุณวีระ จึงได้พูดคุยกัน เขาบอกว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่กัมพูชาได้มายึดไป แต่ว่ามันเป็นพื้นที่ของประเทศไทย หากเข้าไปบริเวณดังกล่าวอาจจะถูกจับกุมตัวได้ ตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะถูกทหารกัมพูชาจับด้วยซ้ำ ผมคิดว่าตรงจุดนั้นจะมีทหารไทยประจำการอยู่ ผมถึงพูดกับคุณวีระว่า ถ้าจะถูกจับก็นึกว่าจะถูกจับด้วยตำรวจชายแดนไทย ผมจึงได้โทรไปหาเลขาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี เพราะผมไม่อยากจะกวนท่านในเรื่องเล็กน้อย แต่ผมได้บอกว่าอย่าบอกใครนะเพราะว่าไม่มีใครรู้ เหตุผลที่บอกอย่างนั้นเพราะเป็นเรื่องระหว่างผมกับนายกรัฐมนตรี และเป็นสิ่งที่ผมอาสาไปอยู่ด้วยแล้ว
**มีหลายฝ่ายมองว่าคุณต้องการไปเคลียร์กับกลุ่มสันติอโศกเรื่องการชุมนุมของพันธมิตรฯ ?
คงไม่ใช่แบบนั้น พูดตรงๆ เลยถ้าผมจะบล็อกคงทำไปตั้งแต่ก่อนวันที่ 11 ธันวาคมมากว่า จุดประสงค์หลักที่ผมไปสันติอโศกคือจะไปกราบท่านโพธิรักษ์ ในฐานะส.ส.ในพื้นที่คนใหม่ และในฐานะคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา อย่างน้อยก็ได้พุดคุยกับท่านเรื่องนี้ อาทิ มีการขยายระยะการพิจารณาออกไปอีก 90 วัน กรอบที่มีการคิดกันในเรื่องตีความว่าเข้ามาตรา 190 หรือไม่ ท่านก็มีความยินดีและให้ความสนใจ รวมถึงข้อแนะนำว่ารัฐบาลต้องมีความจริงใจแก้ไขปัญหานะ ต้องให้ประชาชนรับรู้รับทราบมากว่านี้ และ ส.ส.ต้องลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ซึ่งถ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็สามารถมาพูดคุยกันได้
ท่านยังให้คำแนะนำอีกว่า ข่าวนี้ทางกัมพูชาเขาเล่นกันเยอะ ทางไทยเราไม่ค่อยให้ความสนใจมันเป็นปัญหาใหญ่ ประเด็นสำคัญคือผมต้องลงไปพื้นที่ อย่าเชื่อสิ่งที่ใครๆ พูดกัน นั่นคือสิ่งที่ได้พูดคุยกับท่านและท่านได้แนะมา
แต่ตอนแรกที่ว่าจะลงไปพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารก็คิดปัญหาเรื่องการลงพื้นที่ เนื่องจากมีการกั้นไว้ ทำให้ไม่สามารถเข้าไปได้ ต่อมาทางคุณแซมดินก็ได้มาประสานผม ผมจึงจัดแจงเตรียมจองเครื่องบินเพื่อที่จะบินไปดูและกลับมาโดยเร็ว ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ 29 ธ.ค. ใกล้ปีใหม่จึงอยากกลับบ้าน รุ่งขึ้นผมก็มีโปรแกรมต้องไปรับเสด็จฯ อีกทั้งผมยังจองตั๋วจะไปเที่ยวจังหวัดเชียงรายกับครอบครัว ซึ่งใจจริงผมก็อยากไปตรวจพื้นที่ แต่ไม่ได้อยากไปอยู่ยาวถึง 25 วัน (หัวเราะ)
ส่วนใครจะพูดอย่างไรผมไม่รู้เรื่องที่ว่าใครหลอกผมให้ไปติดคุกหรือเปล่า แต่ผมกล้าพูดเลยว่าผมอยู่ในเรือนจำ 16 วัน ผมได้มามีโอกาสคุยกับคุณแซมดิน และคุณวีระ ผมเชื่อมั่นว่าในสิ่งที่เขาทั้ง 2 คนจะทำไม่ได้มีแผนที่จะหลอกผมแน่นอน ส่วนคุณวีระเอง ถ้าถามผมว่าเขาหลอกผมหรือไม่ ผมอาจบอกได้ว่าเต็มใจให้หลอก เพราะผมอยากไปดูพื้นที่ว่าเป็นอย่างไร นั่นแสดงว่าเขาก็ต้องเก่งมากที่หลอกให้ทหารจับกุมตัวไปด้วย ขณะที่เดินตรวจคุณวีระบอกผมว่าเคยถูกจับมาแล้ว ผมยังบอกแกกลับไปเล่นๆ เลยว่า ผมคนใหม่ แล้วเขาก็บอกกับผมว่า ถ้าถูกจับไปทหารไทยก็เข้ามาเคลียร์ได้ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าพื้นที่ตรงนั้นยังไม่มีข้อยุติ ถ้าไม่มีข้อยุติก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวผมได้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมไปซื้อน้ำอัดลมยื่นแบงค์ 50 บาทไปให้พ่อค้า เขาก็ทอนเงินไทยมาให้ผม แล้วจะให้ผมคิดว่าเป็นอะไรไปได้ล่ะ
**ได้ยินว่ามีข่าวรั่วด้วยใช่ไหม จึงทำให้ทหารเขมรจับคุณและคณะคนไทยไป
ถ้ารั่วก็ไม่ได้มาจากผมแน่ และไม่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับทางการไทย แต่ผมพอที่จะคาดการณ์ได้ว่าครั้งแรกที่คุณวีระเข้าไปก็คงจะถูกควบคุมตัวและถูกส่งกลับมาด้วยการประสานของเจ้าหน้าที่สองฝ่าย ครั้งที่สองก็อาจเป็นลักษณะคล้ายๆ กัน แต่ครั้งที่สามผมเชื่อว่าเขาคงรายงานเข้าไปข้างในระดับสูง เพราะว่าทหารเขาบอกผมว่าเรื่องนี้ไปกระทรวงต่างประเทศ ผมก็ยังตกใจเลยว่าถ้าไปกระทรวงต่างประเทศมันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้เอะใจ เพราะว่าคุณวีระก็พูดชัดเจนว่าเดี๋ยวเขาก็มาเคลียร์ออกไปได้ ทุกครั้งเขาก็มาเคลียร์ออกไปได้ ดังนั้น, ลึกๆ แล้วมีทางการเจ้าหน้าที่ระดับสูงรู้ไหม ผมว่าเขารู้ แต่รู้แล้วเขาจะทำอะไรนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เขาอาจจะเห็นว่าคุณวีระทำผิดสองสามครั้ง แต่ผมก็ยังคิดว่าผมเป็น ส.ส. เขาน่าจะให้เกียรติผมบ้าง อาจจะตั้งฑัณฑ์บนไว้อย่ามาอีกนะนี่พื้นที่เขา ซึ่งผมก็ไม่ยอม ผมก็บอกว่าพื้นที่ยังมีข้อพิพาทอยู่
แม้กระทั่งตอนที่ทหารไทยเข้ามา, เขาบอกว่าเดี๋ยวจะพาออกไป ผมก็โอเค, แต่ก่อนออกผมขอดูหลักเขตแดน 46 ได้ไหมผมจะได้ไม่ต้องมาอีก คือในใจผมไม่ได้คิดอะไร ผมเพียงแต่อยากมาเห็นที่ดินและเห็นหลักเขตแดน 46 ที่เขียนว่าประเทศไทยฝั่งหนึ่ง กัมพูชาฝั่งหนึ่ง แล้วเราก็ยืนอยู่ฝั่งไทย แล้วผมก็จะกลับไปบอกว่าผมเจอที่ดินแปลงนี้แล้ว ให้เขารู้สึกสบายใจว่ามี ส.ส. มาดู แต่ผมไม่ได้บอกว่าผมอยากมาดูกระบวนการตั้งแต่เข้าไป ขึ้นรถ ถูกคุมขัง ถูกขึ้นศาล ผมไม่ได้อยากดูกระบวนการนั้น, กระบวนการนั้นมันคือกระบวนการที่ไม่น่าเกิดขึ้น และสุดท้ายที่ผมไม่อยากจะให้เกิดขึ้นเลยก็คือความสัมพันธ์ที่เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประเทศขึ้น
และผมก็เชื่อว่าวันนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่เข้าใจผิด แต่มันเป็นการเปิดประเด็นขึ้นมาที่จะให้อย่างน้อยรัฐบาลทั้งสองรัฐบาลควรจะหันหน้าเข้ามาคุยแล้วก็แก้ปัญหานี้ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้ ฝ่ายไทยเองซึ่งมีหลายกลุ่ม ก็เหมือนกับที่ผมเข้าไปคุยกับทางสันติอโศก ก็พยายามที่จะเอาข้อมูลที่ผมทราบ ของรัฐบาลว่าเรามีอะไรอยู่บนโต๊ะ ผ่านทางกรรมาธิการที่ผมเป็นคณะกรรมาธิการร่วมวิสามัญ แล้วก็เอาไปคุยกับคนไทยด้วยกันเองก่อน ซึ่งพ่อท่าน (สมณะโพธิรักษ์) ก็ให้เกียรติรับฟัง กลุ่มอื่นก็น่าจะมาคุยกัน
นักวิชาการกลุ่มต่างๆ พวกนี้ รัฐบาล หน่วยงานความมั่นคง ทุกหน่วยงานเราต้องมานั่งตกผลึกและคุยกันบนโต๊ะ คุณมีเอกสารอะไรคุณเอามา ผมมีเอกสารอะไรผมเอามา แล้วค่อยไปเจรจากับกัมพูชา
วันนี้เราเจรจายังไงรู้ไหมครับ เราเจรจาเหมือนว่าเราเล่นไพ่รัมมี่ อีกฝั่งหนึ่งมันเห็นหมดว่าผมถือรอตัวสเปโตอยู่ หรือรอตัวโง่อยู่ ก็เราคุยกันหมดน่ะ วันนี้เราคุยกันบนโต๊ะ คุณมีอะไรมาคุยกัน ผมมีอะไรผมก็จะคุย รัฐบาลอยากทำอะไรก็ทำกัน มาร่วมกัน คุยกันบนโต๊ะ แต่วันนี้เราไม่ได้คุยกันอย่างนั้น ผมไม่ได้บอกว่าใครทำได้ทำไม่ได้ หรือใครผิดใครถูก แต่ผมแค่บอกว่า หลังจากผมกลับมาผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะมานั่งคุยกัน เอาข้อมูลมา MOU43 มันดีไม่ดีตรงไหน แต่ตอนนี้มันมีอยู่ล่ะ เส้น 46 หรือหลักเขตแดน คุณคิดว่ามันอยู่ตรงไหน วันนี้มันมีอยู่ตรงนี้ ปักอยู่ 2 หมุด ที่ท่านนายกฯ ใช้คำว่า “เส้นปฏิบัติการ” เอามั้ย จะขยับไปมั้ย หลังจากที่เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เมื่อ 10 ปีที่แล้วมันอาจจะถูกขยับมา วันนั้นไม่เห็นมีใครพูดอะไร วันนี้มันมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา เรื่องพรมแดน เรื่องประชาชนคนไทย เราก็ต้องมาใช้ตรงนี้อย่างน้อยเป็นจุดเริ่มต้น แล้วก็ไปเจรจา
วันนี้เรากำลังจะก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ประชาคมก็หมายความว่าต้องอยู่ร่วมกันโดยประโยชน์ร่วมกัน ถ้าพรมแดนยังมีปัญหาอยู่ เราจะอยู่ร่วมกัน วันนี้ยุโรป อียู ที่เขามีวีซ่าเดียว พรมแดนเขาก็มีปัญหาเหมือนในอดีต และทุกประเทศก็มีปัญหามา แต่วันนี้เราต้องก้าวข้ามตรงนั้นไปแล้ว ทำยังไงให้อยู่ร่วมกันให้ได้ โดยไม่ทะเลาะในลักษณะที่แบบว่าโจมตีกันเอง อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดง่ายๆ ทำไมผมเชื่อว่าเรื่องนี้มันนำไปสู่การแก้ไขปัญหา คือพูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่ 7 คนไปทำมาหรือไปประสบมา มันก็เหมือนเปิดปมขึ้นมาแล้ว ทีนี้รัฐบาลก็ต้องจริงใจที่จะแก้ คนที่มีข้อมูลก็ต้องจริงใจที่จะแก้, แก้เพื่ออนาคต ไม่ใช่แก้เพื่อทะเลาะกัน ผมไม่คิดว่าใครผิดใครถูกเลยตอนนี้ รับฟังทุกคน และเอาข้อมูลมานั่งคุยกัน
**ปัญหาที่หลายคนยังสับสนอยู่ คือ ตอนที่กลับมาคุณให้สัมภาษณ์ว่า ตรงที่ถูกจับเป็นเขตข้อพิพาทอยู่ ท่านนายกฯ ก็บอกว่าเป็นเส้นปฏิบัติการ แต่ตอนนั้นที่ข่าวออกมา นายกษิต-กระทรวงต่างประเทศบอกว่าเป็นของเขมร ความจริงคุณน่าจะรู้ดีกว่านายกษิตหรือเปล่า?
ผมรู้ในแง่ว่าผมอยู่ตรงไหน แต่ผมไม่มีแผนที่หรือมีโอกาสได้เห็นแผนที่ ณ เวลานั้นเลย ดังนั้น, สิ่งที่ท่านนายกฯ ทำหลังจากวันที่ผมถูกจับไปแล้ว คือเริ่มต้นทำตั้งแต่วันที่ 30 เย็น (ธ.ค.53) จนถึงวันที่ 1 (ม.ค. 54) คือสั่งให้ไปวัดพิกัดแล้วก็ออกมาเป็นแผนที่ที่ท่านนายกฯ ใช้ในวันนี้ ว่าพิกัดนั้นคืออะไร พิกัดก็คือเราผ่านเข้าไปจากเขตเส้นปฏิบัติการ ถ้าวัดจากแนวเส้น 55 เมตร อันนั้นน่ะ และวันนี้ผมเชื่อในข้อมูลตรงนั้น แต่ไม่ได้บอกว่ามันเป็นข้อสิ้นสุดว่านั่นคือเขตแดน แต่เป็นเขตที่ ณ วันนี้มันมีหมุดอยู่ ทีนี้ต่อไปก็ต้องมาเจรจา มาทำแผนที่ มาถ่ายรูปทางอากาศ และดูซิว่าหมุดมันถูกหรือเปล่า
ทีนี้มันก็ต้องเข้าไปสู่กระบวนการเจรจาตามกรอบเจรจา กัมพูชาตอนที่เอาผมไปขึ้นศาลวันสุดท้าย ก็เอาแผนที่มาเหมือนกัน และเส้นที่บอกห่าง 55 เมตร ของกัมพูชาบอกว่าผมเข้าไป 190 เมตร ของเราใช้แผนที่ 1:50000 ซึ่งเราเชื่อว่าอันนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200000 ดังนั้น, ต่างคนก็ต่าง “เก” ซึ่งกันและกันอยู่ คือ อ้างเกิน เผื่อต่อ เราก็อ้างตรงนี้ เขาก็อ้างตรงนี้ แต่เส้นปฏิบัติการมันคือเส้นจริงที่มันมีหมุด แต่ไม่ได้บอกว่ามันถูกต้อง แต่มันต้องมีอะไรที่ ณ วันนี้ใช้ได้สำหรับการปฏิบัติ
ทีนี้, ผมก็อ้างได้ว่าผมปักหมุด 47 ตรงนี้ๆๆ อันนี้ผมไปปักที่พนมเปญเลย ครึ่งหนึ่งจากนี่ไปถึงพนมเปญเป็นพื้นที่ของผม (ยิ้ม) แต่วันนี้มันมีช่วงนี้ 46, 47 ที่ยังไม่มีข้อยุติ และยังจะต้องเจรจากันอยู่
**ตอนที่อยู่ในคุกนายกษิตได้เอาแผนที่นี้ไปให้ดูไหม
วันแรกที่เขาพาเข้าไปในเปรย์ซอร์แล้ว ท่านรัฐมนตรีกษิตมาเยี่ยมวันที่ 30 (ธ.ค.53) ก็เอาแผนที่มาให้ดู ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจ แต่ผมก็ต้องให้เกียรติทางข้อมูล เพราะตอนนั้นเราไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่รู้อย่างเดียวคือ ท่านพูดว่าท่านนายกฯ ได้สั่งการให้ลงไปดำเนินการวัดจริง อีกครั้งหนึ่ง ให้ไปตรวจสอบโฉนดที่ผมอ้างอยู่เสมอว่ามันมีของนายเบ พูลสุข มีของนายกฯ ธิติพัทธ์ (นายธิติพัทธ์ เสมาทอง นายก อบต.บ้านใหม่หนองไทร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว) ไปเช็กดูว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ ท่านนายกฯ ก็ได้สั่ง แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้บอกผมว่าหลักเขตแดนอยู่ตรงไหน ผมออกมานอกคุกแล้วผมถึงเห็น อ๋อ! ปัดโธ่เอ้ย, มันเลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวเอง มันอยู่ตรงนั้นเอง แต่ที่พี่วีระชี้บอกผมว่า 46 อยู่ตรงโน้น!
ใกล้ๆ บ่อน้ำ เพราะว่าข้อมูลของแกความจริงก็คือว่า แกเคยถูกจับบริเวณลวดหนาม แกถูกพาไปตรงนั้น แกก็ไปเห็นตรงนั้นว่ามันมีบ่อน้ำซึ่งตรงกับที่นายกฯ ธิติพัทธ์บอกว่าตรงนั้นแหละคือที่ของเขา และหลัก 46 อยู่ใกล้ๆ ตรงนั้น
แต่ความจริงผมไม่รู้ว่าพี่วีระรู้หรือยัง อาจจะยังไม่รู้ก็ได้ ว่าตรงนั้นมันมีหลัก 47 แต่ 46 มันอยู่ในป่ายูคาลิปตัส เช้าวันที่ 3 หรือที่ 4 มันดันมีหนังสือพิมพ์หนึ่งหลุดเข้ามาถึงมือเราได้ ผมเห็นคนกัมพูชาที่อยู่ในคุกนั่งอ่านอยู่ มันมีภาพหลักเขตแดนที่ 46 ซึ่งอยู่ในป่ายูคาลิปตัส ซึ่งเราก็เดินผ่านมาแต่เราไม่เห็นเพราะหลักมันอยู่ในป่า แต่เราเดินเลาะๆๆ ไปตรงท้องนา แต่ซ้ายมือของเราเป็นป่า ดังนั้น, ถ้าเราศึกษาดี หรือถ้าเรามีข้อมูลก่อนหน้านั้นเราก็อาจเลี้ยวซ้ายไปแล้วก็เห็นหลักเขตแล้วก็รู้เลยว่าที่ดินของนายเบอยู่ตรงนั้น แต่เรา หรือผมไม่มีข้อมูลตรงนั้น แล้วผมก็เชื่อมั่นในพี่วีระว่าอย่างน้อยแกก็รู้จักพื้นที่ แกก็พาไปตรงโน้น เราก็จะเดินไปตรงนั้น เป้าหมายของเราคือเดินไปตรงนี้แล้วก็เลี้ยวซ้าย ซึ่งตรงนั้นสมัยก่อนประชาชนคนไทย... คือพูดง่ายๆ ก่อนปี 2518 ประชาชนคนไทยเคยอยู่ แต่สุดท้ายก็ต้องย้ายเข้ามา เพราะมีสงคราม หนีระเบิด ก็ว่ากันไป
หลังจากนั้นก็อาจจะมีการใช้คำว่า “ไม่ได้เข้าไปดูอย่างใกล้ชิด” เขาอยู่แล้วเขาไม่กลับ ก็เหมือนกับว่าวันนี้เรามีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง เราลืมไปเลยว่าเรามีอยู่ คนก็เข้าไปอยู่ ไปอยู่เสร็จบอกว่าจะไปอ้างสิทธิ์ มันบอกว่ามันตีรั้วแล้ว, ตีรั้วแล้วเสร็จก็ต้องเข้ากระบวนการทางกฎหมาย เจรจา, เจรจาไม่ได้ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการผลักดันให้ออกไป แต่ทีนี้คุณจะอ้างยังไง หรือใช้ทหารผลัก ก็เหมือนเราเรียกตำรวจมาจับเขา, เขาก็อาจไม่ยอม เขาบอกเขาอยู่มานานแล้ว... วันนี้เราต้องทำความเข้าใจว่ามันมีความละเอียดอ่อนในเรื่องที่ว่าจะเอาเขาออกไปยังไง
ทีนี้, มันก็ต้องเข้าสู่กระบวนการทำเส้นเขตแดนตามกรอบการเจรจาไม่ว่าจะฉบับไหนก็แล้วแต่ วันนี้มันมีกรอบของ MOU43 ก็ต้องใช้ตรงนั้นไป
**คุณเห็นด้วยกับ MOU43 ?
ผมเห็นด้วยกับอะไรที่มีกฎกติกา
**แสดงว่าเห็นด้วยกับMOU43 ?
ถูกต้อง! เพราะผมคิดว่าถ้าคุณไม่เจรจาด้วยกรอบอะไรสักอย่างหนึ่ง มันอาจจะชนกันด้วยทหารก็ได้ ผลักดันกันด้วยความรุนแรงก็ได้ เขาอาจจะไม่ยอม เราอาจจะไม่ยอม และสุดท้ายมันcrash กัน มาชนกัน เผชิญหน้ากันด้วยทหาร ซึ่งอันนั้นคือสิ่งที่ผมไม่อยากเห็น เพราะมันอาจบานปลายไปถึงพื้นที่ตรงอื่นที่ผมบอกแล้วว่า มันอาจมีพื้นที่ตรงอื่นก็ได้ที่ทางกัมพูชาบอกว่าคนไทยล้ำ แต่เขายังไม่ได้มาพูด
**แล้วที่นายกษิตบอกว่าทางคณะของคุณล้ำเขตแดนจริง มันจะไม่กลายเป็นหลักฐานยืนยันชั้นเยี่ยมหรือว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่ของเขมรจริงๆ
คือมันมี 2 ประเด็น, ประเด็นแรกถามว่าล้ำจริงหรือเปล่า วันแรกที่ผมไปเดิน ผมก็ไม่รู้ว่าผมล้ำหรือไม่ล้ำ ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าผมล้ำหรือไม่ล้ำ แต่หลังจากที่ผมไปเห็นข้อมูลที่ท่านนายกฯ ส่งคนไปวัดแล้ว มันก็ดูเหมือนกับว่าเราล้ำไป 55 เมตร ตามข้อมูลที่ผมเชื่อมากที่สุดคืออันที่นายกฯ ไปทำล่าสุดที่โชว์ไปในแผนที่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี้ และใช้เส้นที่ผมบอกคือ “เส้นปฏิบัติการ” เพราะเส้นปฏิบัติการมันไม่ได้บอกว่า นี่คือเส้นที่ถูกต้อง มันต้องไปคุยกันต่อว่าหมุดมันถูกหรือเปล่า หรือถูกย้ายมาหรือเปล่า
แต่ทีนี้วันนี้, มันมีสองประเด็น คือ หนึ่ง-มันมีของจริงอยู่ แต่ใช้ 2 แผนที่ ถ้าแผนที่ 1:50000 คือเส้นนี้ (หยิบแผนที่ออกมาและชี้ให้ดู) ถ้าแผนที่ 1:200000 มันคือตรงนี้ (ชี้ให้ดู) คือ ณ วันที่ท่านกษิตมาหาผม ท่านบอกว่าล้ำ แต่ท่านบอกว่าล้ำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะท่านเองก็ใช้จากแผนที่เก่า โดยที่ยังไม่ได้ไปวัดพิกัดจากดาวเทียม แต่หลังจากนั้นท่านนายกฯ ก็ส่งคนไปทำทั้งกรมแผนที่ ทั้งทหาร ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ แต่ดูว่าหมุดตรงนี้ ที่มีศาลพระภูมิสีฟ้า ที่เป็นจุดที่ผมคิดว่าผมถูกจับจริงๆ จังๆ และกล้องวิดีโอถ่ายครั้งสุดท้ายมันอยู่ที่ตรงไหน และก็จุดตรงนี้ (ชี้ให้ดู) ที่เหมือนกับว่าเป็นจุดที่เขาบอกว่าหน้าวัดโชคชัยหรือวัดอะไรสักอย่าง คือจุดตรงนี้...
**แสดงว่าถูกจับตรงนี้ยังอยู่ในแนวเส้นอยู่
ไม่, อยู่ตรงนี้มันอาจจะเกินมา จริงๆ แล้วถ้าตรงเสาธงเป๊ะ จะเกินมาประมาณ 10 เมตร
**ก็แสดงว่ามาเอาความผิดกันตรงจุดนี้ มันถึงจะได้ความผิด ?
เพราะอันนี้ชัวร์กว่าตรงนี้ แต่จุดสิ้นสุดวิดีโอมันอยู่ตรงนี้ (ชี้ให้ดู) ซึ่งเขาวัดตามพิกัด ที่เขาใช้คำว่าศาลพระภูมิ มันเกินประมาณสัก 5 เมตร 10 เมตร แต่กัมพูชามันก็คงจะแบบว่า เฮ้ย! เอาให้แน่ใจพามันไปตรงนั้นเลย (หัวเราะ)
**จริงๆ แล้วเขาไม่น่าจะจับ เพราะตามหลัก MOU43 แนวปฏิบัติต่างๆ เขาไม่น่าจะจับ ?
ก็อย่างที่บอก ว่าแนวปฏิบัติใน MOU43 มันยังไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นแค่ MOU ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าMemorandum of Understanding เป็นความเข้าใจเท่านั้นเอง ความเข้าใจก็คือว่า ถ้าใครหลุดเข้าไป ก็อย่าไปดำเนินคดีถึงขึ้นศาล ขอให้ส่งกลับ
**ถ้าอย่างนั้นการตัดสินความผิดคนไทยครั้งนี้ เป็นการตัดสินความผิดบนพื้นฐานที่ดู “ลักลั่น” ประดักประเดิด เพราะยังไม่มีความชัดเจนอะไรเลยทั้งสิ้น เมื่อยังไม่มีความชัดเจนอย่างนี้จะตัดสินว่าเขาผิดได้อย่างไร
เขาก็อ้างว่าของเขาชัด
**แล้วเราก็ยอม ?
เราไม่ยอม! เราไม่ยอม รัฐบาลทำตอนนี้ก็คือประท้วงเขาไป ประท้วงคำพิพากษาไป คัดค้านคำพิพากษาของผม ผมอยู่ที่นั่นผมจะไปทำได้ยังไง ตอนนี้ผมมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ แต่ผมกำลังเช็กกฎหมายอยู่ เพราะว่าตอนที่ผมถูกพิพากษา ผมก็ไม่ได้ฟังออกหมด ล่ามก็แปลบอกว่า ผมถูกพิพากษาว่ามีความผิด จำคุก 9 เดือน ถูกปรับ 1 ล้านเรียล และรอลงอาญา และรู้สึกจะมีมากกว่านั้นว่า สามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน แต่ต้องไม่เดินทางออกนอกประเทศ แต่ทีนี้ผมไม่ได้อะไรเลย ผมออกมาแล้ว ผมก็ยังไม่แน่ใจ กำลังเช็กอยู่ว่าอุทธรณ์ได้หรือเปล่า ผมก็อยากจะอุทธรณ์ เพราะว่าถ้าไม่อุทธรณ์ มันอาจจะมีปัญหาเรื่องสถานะความเป็น ส.ส. ของผม
**ฟังจากที่คุณเล่ามาเหมือนกับว่าทางเขมรเขาพยายามจะจับเราให้ได้ เหมือนกับเป็นเกมของเขาหรือเปล่า
มันก็พูดยากว่ามันเป็นเกมของเขาหรือเปล่า ผมไม่รู้ว่าเกมของเขาคืออะไร ผมก็จะไปหาที่ของผม คือผมจะหาที่ดินของนายเบ ซึ่งแทนที่ผมจะเลี้ยวซ้ายมา ผมก็เจอนายเบ แล้วผมก็ดูเสร็จ แล้วผมก็กลับบ้านไป จริงๆ ถ้าเกิดเขาจะจับผมตรงนี้เขาก็จับได้ แต่ผมพอดีเลี้ยวขวา ตรงไปโน่นแล้วก็เลี้ยวซ้าย หรือตรงนี้ เขาก็มาเจอผมตรงนี้ ถ้าเกิดผมเดินตรงนี้, เดินตรงนี้ผมก็อาจจะกลับเร็วมากเลย มันก็คงวนอยู่ตรงนี้ สมัยตอนของคุณวีระ ไม่รู้อีท่าไหน คือเขาโดนจับตั้งแต่ตรงนี้แล้ว วันนั้นมันอาจเป็นวันใกล้ปีใหม่ ทุกคนกำลังมีความสุขอยู่ (หัวเราะ) ตชด. ตรงนี้ก็ไม่ค่อยมี, ตรงนี้ก็ไม่ค่อยมี แล้วมันก็เช้าด้วย ถ้าถามว่าเป็นเกมไหม ผมไม่มีทางที่จะรู้เลย ว่าเกมของใคร
**หลายคนมองว่าสิ่งที่เขมรทำกับเราเหมือนกับว่าเขาเจตนาทำให้เราเสียดินแดน หรือเสียอะไรสักอย่างที่เป็นแนวเขตของเขา แต่เรายึดตามหลักที่อยู่ใน MOU43 มาโดยตลอด มันก็เลยกลายเป็นว่ากัมพูชาเล่นไม่ซื่อกับเรา
อันนั้นก็เป็นเทคนิคหรือวิธีการของเขา เราก็สู้ด้วยความจริง คือเสาอันนี้ เราก็ไปสู้กันด้วยว่ายังไม่ได้มีข้อตกลงที่ชัดเจน ยังไม่มีการเจรจาที่ได้ข้อยุติ ยังเป็นพื้นที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่ที่เรียกว่าNo Man's Land ไม่มีใครอยู่เลย
**แต่ทหารเขามาอยู่ ?
ก็นี่ไงครับ, มันเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยต้องรีบเจรจา โดยที่ไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าหรือการใช้กำลัง
**คิดว่าการเจรจาจะได้ผลหรือ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะได้ผลอะไรเลย
ก็ต้องถามว่าเราจะเริ่มเจรจาเมื่อไหร่ และข้อมูลเราตรงกันหรือยัง คือถ้าข้อมูลเราตรงกัน เรามีอะไรครบถ้วน เราก็ต้องเจรจา และไปทำความตกลงกับเขา แน่นอน, การตกลง ก่อนจะเจรจาเสร็จก็ต้องผ่านสภา ตอนนี้เรายังค้างอยู่
**กลับมาที่ประเด็นคาใจ, คือสงสัยจริงๆ ว่าการที่กระทรวงต่างประเทศ และรัฐบาลของไทย ยอมรับว่าคุณและคณะคนไทยล้ำมาจริง จนนำมาซึ่งความผิดจริง และศาลเขมรตัดสินว่าผิดจริง แล้วอย่างนี้มันจะไม่ส่งผลให้ไทยเสียดินแดนให้เขมรหรือ
โอเค, อันดับแรก, กระทรวงต่างประเทศให้ข้อมูลอย่างนั้น แล้วมีการวัดจริงเป็นอย่างนั้น ผมก็ต้องเคารพในสิ่งที่เป็นข้อมูล เอาง่ายๆ ก็คือ ข้อมูลที่นายกฯ พูดว่าผมล้ำ แต่จุดนั้น, หลังจากที่ผมถูกพิพากษาไปแล้ว มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเจรจาเขตแดนเลย เพราะว่าอันนั้นมันเป็นระหว่างศาลกัมพูชากับทางรัฐบาลกัมพูชากับผม 'นายพนิช' กรณีหนึ่ง, กับนายวีระซึ่งกำลังรอคำพิพากษาอยู่ อีกกรณีหนึ่ง, กับนายแซมดิน (เลิศบุศย์) อีกกรณีหนึ่ง มันเป็นข้อพิพากษาระหว่างนายพนิชกับนายแซมดิน แล้วผมก็ยังยืนยันว่าผมไม่เคยรับข้อกล่าวหาเลย ตอนแรกที่ผมเข้าไปผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ผมบอกได้เลยว่า มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยยอมรับ ว่าผมถูกกล่าวหาว่าเข้าเมืองโดยเจตนา หรือลักลอบ ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะผมยังคิดว่าผมอยู่ในผืนแผ่นดินไทยอยู่
**สิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ หลังจากที่คุณถูกปล่อยตัวกลับมา ทำไมนายกฯ ต้องมาชี้แจงเรื่อง 'เส้นปฏิบัติการ' ซึ่งมันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับคุณด้วยซ้ำ และไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อประเทศไทย
มันคือความจริง เส้นนี้มันมีจริง เอาอย่างนี้, ถ้าท่านนายกฯ ไม่พูด...
**ไม่พูดซะดีกว่า ?
เปล่าๆ! คืออย่างนี้, ถ้าท่านไม่พูดประชาชนก็ยังไม่เข้าใจ ว่าผมอยู่ฝั่งไหนของเส้นปฏิบัติการ แต่เส้นปฏิบัติการไม่ได้บอกว่าเป็นพรมแดนนะครับ วันนี้เราไปตีกันเองว่าเส้นนี้เป็นพรมแดน มีเส้นปฏิบัติการเพราะว่ามันต้องมีกติกา เหมือนเราลงไปในสนามฟุตบอล มันต้องมีกติกาว่าออฟไซด์ เส้นตรงไหนคือจุดออฟไซด์ แต่วันนี้, กติกาของตรงนี้ มันคือเสาอันนี้ มันเป็นตัวกำหนดกติกา แต่ยังไม่มีข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่าตรงนี้คือพรมแดน อันนี้ล่ะ ที่ผมคิดว่าต้องทำความเข้าใจให้ได้ เพราะว่าถ้าวันนี้, เสานี้ มันปักอยู่ตรงนี้ มันก็จะเป็นตรงนี้ ผมก็ไม่ล้ำแล้ว ถ้าเกิดเสามันปักอยู่ตรงนี้ ผมก็ล้ำเยอะ เพราะถ้าเกิดใช้แผนที่ 1:200000 ผมก็ล้ำ 190 เมตร เพราะฉะนั้น นี่คือเส้นปฏิบัติที่มันทำอยู่ในวันนี้ แต่ความจริงคืออะไร ทหารมันอยู่ตรงนี้หมดเลย! ทหารมันมาจับคุณวีระตรงนี้ได้ยังไง ทีนี้ก็ต้องถามมันว่า มันเข้ามาได้ยังไง วันนี้ก็ต้องไปถามทางคนที่เกี่ยวข้อง มาถามผม, ผมก็ตอบไม่ได้ ผมไม่รู้ ผมอยู่ตรงนี้ อยู่บริเวณนี้!
2 ข้อกล่าวหาผม, ผมปฏิเสธ แต่เขาเอาหลักฐานมายัน บอกผมเข้า เขาเอาหลักฐานมายันว่าผมไปบริเวณค่ายทหาร ผมยังถามค่ายทหารอยู่ตรงไหน! ชี้มาสิ! มันก็ตอบไม่ได้ มันอ้างว่า “เป็นข้อมูลทางราชการ” และที่ผมไปถูกควบคุมตรงนี้ (ชี้ให้ดูจุด) อยู่ตรงนี้ แถวๆ บริเวณนี้ที่มีบ่อน้ำที่ผมนั่งรออยู่ มันมีบ่อน้ำอยู่ 2บ่อ ตรงนี้บ่อหนึ่ง, ตรงนี้บ่อหนึ่ง เราจะถูกจับอยู่ตรงนี้ ที่ผมโดนยุงกัดเป็นมาลาเรีย เขาบอกอยู่แถวนี้ ที่เขาชี้บอกมีเขตแดนอยู่อีกอันหนึ่ง ซึ่งคุณวีระคิดว่าเป็น 46 แล้วแกก็เคยถูกจับตรงนี้มาแล้ว ที่เป็นบ่อน้ำ ที่เขาบอกว่าเป็นของนายก อบต. ธิติพัทธ์ อยู่ตรงนี้
ทีนี้คำถามก็คือ ตรงนั้นอยู่ในพื้นที่ไทยหรือกัมพูชา เท่าที่ผมเข้าใจคือ หลักเขตมันตัดผ่าบ่อน้ำพอดีเลย ซึ่งมันไม่มีใครหรอกครับที่จะอยากเข้าไปให้ถูกจับ ผมก็ไม่บ้าพอที่จะเดินเข้าไปให้ใครจับ แล้วก็ลากผมไปเข้าคุกหัวโตอยู่อย่างนี้ หัวล้านเลย ไม่ใช่หัวโต แต่สุดท้าย, มันก็เกิดขึ้นแล้ว ปัญหามันก็ต้องแก้ไข และสำคัญที่สุดก็คือ ประชาชนจะต้องเข้าใจ
**ท่านนายกฯ บอกว่าตรงนี้เป็นเส้นปฏิบัติการ ซึ่งยังไม่ใช่เส้นพรมแดน ยังไม่ชัวร์ แต่คุณเดินล้ำเข้าไปนิดหนึ่ง แล้วถูกจับ แล้วทำไมเขาไม่มีการทำอะไรที่จะไม่ต้องเอาตัวคุณและคณะคนไทยไปขึ้นศาล
ถูก! อันนี้คุณต้องไปถามกัมพูชา ผมไม่อยากขึ้นศาล ผมนั่งรออยู่ตรงนี้ ตรงที่ค่าย หรือที่เรียกว่าบ่อน้ำ ตชด. เข้ามาเจรจา พอเสร็จแล้ว เจรจาแล้ว ผมก็นึกว่าผมจะได้กลับบ้าน ก็ไม่ได้กลับ เขาก็เอาพวกผมใส่รถตู้ไปทั้งหมด เอาเข้าไปอีก 2 ชั่วโมงไปถึงเมืองพระตะบอง ผ่านถนนลูกรังผมก็นั่งเด้งๆๆๆ อยู่ หลังจากนั้นไปเปลี่ยนรถ วิ่งเข้าไปอีก 5-6 ชั่วโมง เอาผมไปทำอะไรที่นั่น!
**แล้วทำไม ตชด. เขาไม่ช่วยคุณออกมาให้ได้ในตอนนั้น พวกเขาปล่อยให้ทหารเขมรพาคนไทยไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นเลยหรือ ?
ต้องไปถาม ตชด. ครับ! คือผมเป็น ส.ส. …
**ตชด.ก็รู้ว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่พิพาท และทหารเขมรก็ไม่มีสิทธิ์มาทำอย่างนี้กับคนไทย
ต้องไปถาม ตชด. ครับ, จริงๆ ผมไม่รู้จักเขามาก่อนเลย พี่วีระฟ้องเขา มาเล่าให้ผมฟังทีหลังว่าเคยฟ้องตชด. และฟ้องทหารที่มาจับเขาด้วย แต่นั่นก็เป็นเรื่องของพี่วีระ อย่างผมจะไปทำอะไรเขาได้ เขามีปืน!