ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ปมปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาในเวลานี้คงต้องบอกว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” เพราะถึงแม้คนไทยส่วนหนึ่งที่ถูกจับจะได้รับอิสรภาพจากการพิพากษาของศาลกัมพูชาแล้วก็ตาม แต่ยังมีบางรายที่ถูกกักตัวอยู่ในกัมพูชา และบางรายถูกขังเดี่ยวอยู่ในคุก เพื่อรอให้ศาลกัมพูชา (อาจ) พิจารณาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ปัญหาคนไทยถูกจับยังไม่คลี่คลาย ก็เกิดปัญหาซ้อนปัญหาขึ้นมาอีก เมื่อทหารกัมพูชาสร้างป้ายหินขนาดใหญ่ที่วัดแก้วสิขาคีรีสวาระ บริเวณเชิงปราสาทพระวิหาร ฝั่ง ต.ภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยสลักข้อความฉาบด้วยสีทองเป็นภาษาขแมร์ ประณามคนไทยและทหารไทยว่า ไทยรุกล้ำแผ่นดินกัมพูชา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพื้นที่ดังกล่าวเป็นผืนแผ่นดินไทย ไม่ใช่ดินแดนของกัมพูชาอย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่านายฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชาไม่ได้โง่ หรือสาบานให้นายฮุนเซนตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไปก็ได้ ถ้านายฮุนเซนไม่รู้อยู่แก่ใจว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นผืนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย ดังนั้น, การที่รัฐบาลและกองทัพกัมพูชาทำอย่างนี้ จึงมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า “กัมพูชา” กำลังตีกิน และต้องการเหยียบหน้าคนไทยและทหารไทย รัฐบาลและกองทัพกัมพูชา จงใจกระทำหยามหน้าประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด!
แต่อานิสงส์ของป้ายดังกล่าวก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย เพราะกรณีที่เกิดขึ้นคือ “ใบเสร็จ” ที่ตอกหน้า “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และพรรคประชาธิปัตย์ว่า MOU43 ที่พวกเขาพร่ำพรรณนาถึงคุณอันวิเศษมิได้ช่วยในการแก้ปัญหาได้เลยแม้แต่น้อย
โคตรเจ็บปวด
ณ ที่ซึ่งไทยรุกราน
จุดเริ่มต้นและที่มาที่ไปของการที่กัมพูชาสลักข้อความเป็นอักษรขแมร์บนป้ายหินประณามคนไทยและทหารไทยว่ารุกล้ำดินแดนว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไทยรุกราน เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2553 แล้วถอนกำลังออกไปเมื่อเวลา 10.30 น. เช้าวันที่ 1 ธ.ค. 2554” นั้น สื่อของกัมพูชาระบุว่า ป้ายนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 54 ทำจากหินขนาด 0.90 ม. X 1.80 ม. จารึกอักษรภาษาขแมร์ตัวใหญ่สีทอง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตรงกับโคปุระที่ 5 ของปราสาทพระวิหาร
ทั้งนี้ ที่มาของป้ายนี้สื่อฉบับเดียวกันเปิดเผยว่า สืบเนื่องจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระเป็นสถานที่ที่ไทยรุกราน จึงได้จารึกไว้ ให้รู้ว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ หรือวัดปราสาทพระวิหาร ตั้งอยู่บนแผ่นดินของกัมพูชา แต่ได้ถูกไทยรุกรานมากว่า 2 ปีแล้ว และที่วัดนี้มีแผ่นหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่นายพลผู้บัญชาการทหารไทยคนหนึ่งชื่อกนก (พล.ท.กนก เนตระคะเวสะนะ อดีต ผบ.กองกำลังสุรนารี) ได้นำทหารไทยประมาณ 450 - 700 นายเข้ามารุกรานและวางกำลังยึดในที่อารามกัมพูชา เมื่อเวลา 12.35 น. ของบ่ายวันที่ 15 ก.ค. 51ที่ผ่านมาขณะที่พระสงฆ์หลายรูปจำวัดอยู่ที่นี่มาตลอด(อ่านรายละเอียดของเหตุการณ์ในบทสัมภาษณ์ พล.ท.กนกเพิ่มเติม)
โดยสื่อฉบับเดียวกัน ระบุต่อว่า จุดนี้เป็นแผ่นดินของกัมพูชาที่เมื่อวันที่ 15ก.ค. 2551 ได้ถูกผู้นำไทยที่หลงลืมประวัติศาสตร์ สั่งการให้ผู้นำทหารราบของตนชื่อ "กนก" รวบรวมกำลังทหารพรานของตนเข้ามารุกรานในพื้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ขณะนั้นทหารเขมรที่กล้าหาญชาญชัยได้ทำการเผชิญหน้า โดยไม่อนุญาตให้ทหารไทยวางกำลังอยู่ได้นานเลย คือต้องออกจากพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชาทันที แต่ขณะนั้นตามการสังเกต ถึงแม้ทหารไทยได้ถอนกำลังออกจากแผ่นดินกัมพํชาเกือบ 100 % ก็จริงอยู่แต่พวกหัวรุนแรงของไทย ก็ยังหน้าด้าน โดยรักษากำลังทหารของตนให้วางกำลังบนแผ่นหินใหญ่ ที่อยู่กลางบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ จำนวน 10 คน ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 51 จนถึงวันที่ 1 ธ.ค. 53 ทหารไทยทั้งหมดจึงได้ฝืนใจออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระของกัมพูชา
“แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้วก็ตาม อะไรที่เป็นร่องรอยในการเผชิญหน้ากันระหว่างกัมพชากับไทย บนแผ่นหินในบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่นายทหารชื่อกนก ผู้นำทหารไทยได้เข้ามารุกราน ผู้นำรัฐบาลได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่จังหวัดพระวิหาร จารึกสัญลักษณ์ แสดงให้นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวชมปราสาทพระวิหารของกัมพูชาบนยอดเขาพนมดงรัก ได้เห็นได้ทราบความจริง เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบถึงประวัติศาสตร์ของชาติตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม สื่อฉบับเดียวกันระบุต่อว่า แผ่นป้ายนี้เป็น “ท่านซอ ทาวี” รอง ผวจ.พระวิหาร ประจำพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เป็นผู้นำในการก่อสร้างสัญลักษณ์นี้ เมื่อบ่ายวันที่ 8 ม.ค. 54 ที่ผ่านมา และกล่าวว่า สัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นบนแผ่นหินใหญ่กลางบริเวณวัดแก้วฯ ที่แกะสลักตัวอักษรใจความว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไทยรุกราน” นั้นมีการอนุญาตอย่างสูงสุดจากประมุขผู้นำแห่งรัฐบาลกัมพูชา และมีการเห็นชอบจาก ผบ.สมรภูมิด้าน ภท.4 และ ผบ.สมรภูมิทิศที่ 1 ปราสาทพระวิหาร แม้สัญลักษณ์นี้สร้างเสร็จแล้วก็ยังคงเหลือแต่ทำรั้วกั้นล้อมรอบเท่านั้น
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ รายงานท่าทีของ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งระบุว่าได้แจ้งฝ่ายกัมพูชาให้รื้อถอนป้ายที่กล่าวหาไทยรุกล้ำเขตแดนนั้น นายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ตอบโต้ประเด็นนี้ว่า ต่างชาติไม่สามารถเข้ามาสั่งการใดๆ ในดินแดนกัมพูชา ซึ่งขัดต่อเจตจำนงของรัฐบาลกัมพูชาได้
ตัวอยู่ไทย ใจอยู่เขมร
ทีนี้, หันมาดูทางฝ่ายรัฐบาลและผู้นำกองทัพไทยบ้างว่า นอกจากเก่งแต่ด่าและปรามคนไทยด้วยกัน อ้อ! รวมถึงผู้มีอิทธิพลในรัฐบาลบางคนเกิดความกระสันอยากไปกราบเท้าฮุนเซนเหมือนเป็นพ่อกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้ว รัฐบาลและผู้นำกองทัพได้ทำหน้าที่อะไรบ้างที่ดูเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศชาติและประชาชน เริ่มจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่มีความเห็นต่อปัญหากัมพูชาขึ้นป้ายประณามไทยรุกล้ำดินแดนว่า ได้มอบหมายให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไปดำเนินการแล้ว...
มีแค่นั้น, ความเห็นและสาระสำคัญที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยมีต่อการกระทำหยามหน้าประเทศไทยของเขมร มีแค่นั้นจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่ “ตัวอยู่ไทย ใจอยู่เขมร” เพราะในใจของเขาคงเฝ้านึกถึงแต่วันที่จะได้ไปกราบขอบคุณนายฮุนเซนเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเอาป้ายหินไปปักบนที่ดินเขาแพง และเขียนข้อความว่า “ที่นี่คือที่ที่ประชาชนครอบครองมานานแล้ว” ไม่รู้ว่านายสุเทพจะว่าอย่างไร เช่นเดียวกับ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส.ของไทย ที่ยังมีแก่ใจไปทอดผ้าป่าร่วมกับ ผบ.สส.ของเขมร ที่ประเทศกัมพูชา โดยให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า "เรื่องนี้น่าจะจบแล้ว"
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการแจ้งให้เขมรถอนป้ายประณามไทยว่า กำลังดำเนินการอยู่ เรื่องนี้อาจไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน “ขอให้ใจเย็นๆ ทุกอย่างแก้ไขได้ พล.อ.ประยุทธ์ดูแลอยู่...” นั่นคือความเห็นของรัฐมนตรีกลาโหมของไทย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ทหารทั้งสองฝ่ายต่างมีความกดดันด้วยกันทั้งคู่ แต่จะไม่พูดว่าต้องทำอะไร อย่างไรกับใคร ขณะที่กองทัพบกเรียนให้ รมว.กลาโหมทราบแล้ว ทั้งสองฝ่ายต้องเจรจากัน การเจรจาไม่ใช่การขอร้อง เพียงแต่ขอให้เห็นแก่สัมพันธไมตรีที่มีต่อกัน ซึ่งแนวโน้มไปในทางที่ดี
“ขอให้ใจเย็นๆ และก็รอ...” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ยังบอกอีกว่า อย่าไปหาว่าใครปักก่อนปักหลัง เอาเป็นว่าทำอย่างไรไม่ให้มีการปักก็แล้วกัน กองทัพบกพยายามอย่างเต็มที่ เพราะเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาหลายสิบปี ส่วนความคืบหน้าการเจรจาดำเนินการให้กัมพูชาถอนป้าย เขารับเรื่องไปแล้ว บอกว่ากำลังพูดคุยกันอยู่...
โดย พลเอกประยุทธ์ บอกว่า “อาจจะมีข่าวดี”
ข่าวดี “Here is Cambodia”
อย่างไรก็ตาม ต่อมาไม่นานก็มี “ข่าวดี” อย่างที่พลเอกประยุทธ์ว่าจริงๆ เมื่อทางเขมรได้ทำการรื้อป้ายหินแกะสลักข้อความภาษาเขมรโจมตีประเทศไทยออกไป หลังจากพวกเขารู้ว่าสร้างความไม่พอใจให้แก่ฝ่ายไทย และนำป้ายข้อความอันใหม่มาติดตั้งแทน โดยข้อความเป็นภาษากัมพูชา มีภาษาอังกฤษกำกับว่า “Here is Cambodia” หรือ “ที่นี่ประเทศกัมพูชา”
นี่คือ “ข่าวดี” ที่เขมรเล่น “ตลกร้าย” ท้าทายทหารไทย
ทั้งนี้, เจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชาที่ไม่เปิดเผยนาม และประจำการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ยืนยันว่า ได้มีการรื้อป้ายหินอันเดิมออกไปแล้วตามคำสั่งของนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพไทยระบุว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับข้อความของกัมพูชา และขู่ว่าจะตอบโต้ในแบบเดียวกันในฝั่งไทย ถ้ากัมพูชายังไม่รื้อแผ่นหินออกไป
อย่างไรก็ตาม ต่อมา, มีรายงานว่า พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กองกำลังสุรนารี ได้นำกำลังทหารจำนวนหนึ่งเดินทางขึ้นไปวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ โดยเดินผ่านเส้นทางบันไดขึ้นปราสาทพระวิหาร เพื่อไปเจรจากับ พล.ท.ซรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการทหารของกัมพูชาที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนเขาพระวิหาร กรณีที่ฝ่ายกัมพูชาสร้างป้ายประณามทหารไทยว่า “ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไทยรุกราน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2553 แล้วถอนกำลังออกไปเมื่อเวลา 10.30 น.เช้าวันที่ 1 ธ.ค. 2554 ” ที่บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และต่อมาได้เปลี่ยนป้ายโดยระบุชัดเจนยิ่งขึ้นว่า “ที่นี่กัมพูชา” (Here is Combodia) ขณะเดียวกันทางกองกำลังฝ่ายไทยก็ได้ทำการติดตั้งป้ายระบุเช่นกันว่า “ที่นี่ประเทศไทย” อยู่ติดกัน ทำให้สถานการณ์บนชายแดนพระวิหารตึงเครียดขึ้นมาอย่างหนัก โดยทหารทั้งสองฝ่ายได้รับคำสั่งให้เตรียมความพร้อม 100 % รอฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้, มีรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 26ม.ค. ที่ผ่านมา ก่อนที่แม่ทัพภาคที่ 2 จะเดินทางไปถึงวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ สถานการณ์ตึงเครียดอย่างมาก ทหารที่อยู่แนวรบทุกนายได้รับคำสั่งให้เตรียมความพร้อม 100 % และให้ขึ้นลำกล้องอาวุธประจำกาย กระทั่งคณะของแม่ทัพเดินทางไปถึงวัดแก้วฯ และมีการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ก็ได้ข้อสรุปว่าให้ทั้งสองฝ่ายทุบทำลายป้ายของตัวเองลงในเวลา 12.15 น. ทำให้สถานการณ์ลดความตึงเครียดลง และคณะของแม่ทัพภาคที่ 2 จึงได้เดินทางกลับ...
ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นก็อดทำให้ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่ “น.ส.วาสนา นาน่วม” ผู้สื่อข่าวได้เขียนรายงานลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับวันที่ 13 ธันวาคม 53 ไม่ได้ เพราะในครั้งนั้น น.ส.วาสนาระบุชัดเจนว่า กำลังทหารไทยได้ถอนออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระหมดแล้ว แต่บรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย ตั้งแต่ตัวนายอภิสิทธิ์ เวชาชาชีวะ ตลอดรวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ แถมยังตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า เป็นเพียงแต่ปรับลดกำลังเพื่อลดการเผชิญหน้าลง
...กรณีป้ายหินดังกล่าวได้อธิบายคำตอบกันเอาไว้หมดแล้วว่า ใครพูดความจริงเพราะถ้าหากทหารไทยไม่ได้ถอนกำลังออกจากวัดแก้วฯ พวกเขาย่อมจะต้องเห็นป้ายหินอ่อนที่สลักข้อความอันอัปยศนั้นในทันที
ทวงถามถึงสง่างามและมีศักดิ์ศรี
อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับท่าทีของรัฐบาลและผู้นำกองทัพ ต่อกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา นายฮุนเซน, รวมถึงประเด็นป้ายหินประณามไทยที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลและผู้นำกองทัพไทยแก้ปัญหาอย่างอืดอาด เชื่องช้า ไม่กล้า และไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็เต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจกัมพูชาเป็นที่สุด เหมือนกลัวว่า พ่อกัมพูชาจะโกรธ และที่สำคัญรัฐบาลและกองทัพไทยดูจะตกเป็น “ลูกไล่” อยู่ตลอดเวลา และมักจะเป็นอย่างนี้อยู่เสมอๆ ขณะที่กัมพูชาโดยเฉพาะนายฮุนเซนไม่เคยที่จะให้เกียรติประเทศไทย ตรงกันข้ามมีแต่ใส่ร้ายป้ายสี หยามหมิ่น ดูถูก นึกอยากจะจับคนไทยก็จับ! และ ฯลฯ เอามาสาธยายตรงนี้คงไม่หมด
ทำไม!?
และทำไม รัฐบาลและผู้นำกองทัพจึงมักสร้างภาพให้ตัวเองเป็นสุภาพบุรุษ (ที่ดูหงอๆ และจ๋องๆ ในสายตาของคนไทยและนานาชาติ) แต่กลับปล่อยให้ประเทศชาติและประชาชนไทยถูกกัมพูชาหยามหน้า ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ และทำไม รัฐบาลและผู้นำกองทัพจึงไม่มีมาตรการอะไรที่ดู “สง่างาม” ในการปกป้องประเทศชาติและประชาชนให้มี “ศักดิ์ศรี” ทำให้นานาอารยะประเทศเห็น “บารมี” ของประเทศไทยว่าจะไม่ให้ “ไอ้กุ๊ย” หน้าไหนมาหยามหมิ่นประเทศไทยได้ง่ายๆ
ไม่ได้ยุยงส่งเสริมให้ก่อสงคราม, แต่ถ้ารัฐบาลและผู้นำกองทัพบอกว่าต้องการรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ ก็อยากจะบอกว่ามันมีวิธีที่มี “ศักดิ์ศรี” กว่านี้ที่จะรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ และไม่ให้เกิดสงคราม, มีวิธีที่ดูดีและมีศักดิ์ศรีกว่าที่เห็นและเป็นอยู่นี้แน่ๆ ถ้ารัฐบาลและผู้นำกองทัพไม่ติด “กับดัก” อะไรบางอย่างอยู่ตรงด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกกับใครไม่ได้ จนต้อง “ยอม” เขาทุกอย่างจนประชาชนคนไทยรู้สึกเหมือนโดน “ข่มขืน” ทางความรู้สึกอยู่ในทุกวันนี้!
ใบเสร็จมัด MOU43 ซังกะบ๊วย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสารพัดห่วยแตกที่เกิดขึ้น อานิสงส์และข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของเรื่องดังกล่าวที่สำคัญที่สุดก็คือ นี่คือ “ใบเสร็จ” ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า MOU43 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยนับถือราวกับพระเจ้ามิได้ช่วยแก้ปัญหาได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะสุดท้ายความสำเร็จที่ทำให้ทหารกัมพูชายอมทุบป้ายดังกล่าวก็มิใช่เกิดจาก MOU43 หากแต่เป็นการที่พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้นำกำลังทหารจำนวนหนึ่งเดินทางขึ้นไปวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เพื่อเจรจากับ พล.ท.ซรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการทหารของกัมพูชาที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนเขาพระวิหาร
และไม่ได้นำไปสู่ภาวะสงครามหรืออันตรายอย่างที่นายอภิสิทธิ์หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงแต่ประการใด
นอกจากนี้ กรณีป้ายดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่า กัมพูชาคือผู้ที่ละเมิดข้อ 5 ใน MOU43 อย่างชัดเจนด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม และการเจรจาตาม MOU43 ของรัฐบาลไทยก็มิได้ทำให้ทหารกัมพูชารื้อป้ายออกไป ตราบจนทหารต้องนำกำลังพร้อมอาวุธครบมือเข้าไป การรื้อถอนจึงบังเกิดขึ้น
หรือพูดง่ายๆ ก็คือทั้งไทยและกัมพูชาก็ละเมิด MOU43 พร้อมๆ กัน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า MOU43มิได้มีคุณค่าหรือเป็นคัมภีร์อันวิเศษในการแก้ปัญหาเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น การที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ยังคงยึดมั่นถือมั่นต่อ MOU43 คำกล่าวที่ว่า “ดื้อตาใส ทำไทยเสียดินแดน” คือสิ่งที่ไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก.