เปิดเนื้อหาฎีการ้องทุกข์ “เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ” ระบุรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนไทย ปล่อยให้ทหารเขมรยึดครองพื้นที่ตามแนวชายแดน กระทำข้อตกลง MOU43 ล้ำแนวเขตแดนที่ปักป้นตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ร่วมกับฝรั่งเศส ยกอ่าวไทยให้ต่างชาติสำรวจพลังงาน ชี้กรณี 7 คนไทยถูกจับกุมกลับใส่ร้ายว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชา สุดทนถูกกัมพูชาข่มเหง ขอพึ่งพระบารมีพระราชทานคำแนะนำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง
วันนี้ (18 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เคลื่อนขบวนออกจากทำเนียบรัฐบาลไปยังสำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง เพื่อยื่นฎีกาขอพระราชทานร้องทุกข์ เพื่อขอพระราชทานคำแนะนำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง จากกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีรายชื่อประชาชนประมาณ 82,000 รายชื่อแนบท้าย ซึ่งในภายหลังได้มีการเผยแพร่ฎีกาฉบับดังกล่าวไปยังเว็บไซต์ของเครือข่ายฯ
สาระสำคัญของฎีการ้องทุกข์ฉบับดังกล่าว มีอยู่ 3 ข้อหลัก ได้แก่ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ละเว้นไม่ทำหน้าที่พระบรมราชปณิธาน ปล่อยปละละเลย ยินยอมให้ทหารกัมพูชายึดครองดินแดนไทย และราษฎรชาวไทย ล่าสุดกรณีลักพาตัวสมาชิกรัฐสภาและคณะรวม 7 คน รวมทั้งใส่ร้ายด้วยความเท็จ บนจุดยืนที่เห็นว่าคนไทยทั้ง 7 คนบุกรุกดินแดนกัมพูชา ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชอาณาจักรและปวงชนชาวไทย
ส่วนรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้กระทำข้อตกลง MOU 2543 เป็นการเลิกล้มการปักปันเขตแดนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกระทำกับฝรั่งเศส ทำให้สูญเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร พื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 1.8 ล้านไร่ และพื้นที่อ่าวไทย 1 ใน 3 แทนที่จะยุติกลับยืนยันปฏิบัติและพยายามทำสิ่งที่ผิดให้ถูกกฎหมาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียดินแดนมหาศาล
รัฐบาลยังละเว้นไม่ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศ ยินยอมให้ถอยและถอนกำลังทหารของไทยตาม MOU 2543 และปล่อยให้กัมพูชาส่งทหารและประชาชนยึดครองดินแดนไทย โดยล้ำแนวเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ได้ปักปันเรียบร้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และให้กัมพูชานำพื้นที่ในอ่าวไทยไปให้บริษัทต่างชาติสัมปทานขุดเจาะสำรวจพลังงาน มีการสร้างความสับสนโดยการเรียกพื้นที่ที่ไม่ชัดเจน ก่อนจะเรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน หรือพื้นที่พิพาท ซึ่งถือว่าเป็นกลอุบายหลอกลวงในการเตรียมการยกดินแดนให้กับกัมพูชา
นอกจากนั้นยังได้นำเงินงบประมาณว่าจ้างนักวิชาการและสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง รณรงค์ให้เห็นดีเห็นงามว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้นเป็นของกัมพูชา ล้วนเป็นกระบวนการยกดินแดนให้กับกัมพูชาในดินแดนดังกล่าวนี้กัมพูชาได้ส่งทหาร ประชาชนชาวกัมพูชา ปล่อยให้มีการรุกราน ยึดครองโดยพฤตินัย กระทั่งเพิกเฉยให้กัมพูชาให้สัมปทานแก่บริษัทต่างชาติเข้ามาบริหารจัดการทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลายพื้นที่
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่รัฐบาลรับตำแหน่ง ทหารกัมพูชารุกรานข่มเหงราษฎรไทย แต่รัฐบาลไม่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองราษฎร จะแถลงจุดยืนว่าเป็นความผิดของราษฎรไทยที่บุกรุกพื้นที่ทับซ้อน หรือดินแดนของกัมพูชา ไม่เคยแสดงท่าทีในการรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ ปล่อยให้รัฐบาลกัมพูชาเหยียดหยามย่ำยีประหนึ่งว่าเป็นประเทศราช เช่น หัวหน้ารัฐบาลกัมพูชาเหยียดหยามกองทัพไทยและทหารไทยว่าสู้เขมรไม่ได้ เป็นการกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ การที่รัฐบาลแสดงท่าทีการจับกุม 7 คนไทย ว่าไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ของไทย หรือการอยู่ภายใต้การข่มขู่และเงื้อมมือของรัฐบาลกัมพูชา
ในเนื้อหาฎีกาข้อต่อมา ระบุถึงนายอภิสิทธิ์ว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเดียว จะแบ่งแยกมิได้ รวมทั้งประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติว่า ผู้ใดก็ตามที่ทำให้เสียดินแดนแก่ชาติอื่น มีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร การปล่อยให้กัมพูชาอ้างสิทธิดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 รวมทั้งปล่อยให้กัมพูชาเข้ามายึดครองดินแดน แสดงท่าทีว่าดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวเป็นดินแดนของกัมพูชา มีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร และยังไม่กระทำหน้าที่อันเป็นการพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดน ตลอดจนมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองประชาชนชาวไทยให้มีความปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน ประหนึ่งว่าเป็นรัฐบาลหุ่นของกัมพูชา
ข้อที่สาม ผู้ได้รับผลกระทบทั้งผู้มีสิทธิในที่ดิน ผู้ถูกจับเป็นผู้ต้องหาตลอดจน ผู้ที่ได้รับผลเสียหายจากการกระทำอันไม่ชอบธรรม และประชาชนผู้จงรักภักดีต่างอัดอั้นตันใจในความผิดพลาดและอยุติธรรมที่เกิดจากรัฐบาลชุดดังกล่าว ทำให้ประชาชนตื่นตัวขึ้นปกปักรักษาอธิปไตย บูรณภาพเหนือดินแดนและสิทธิเสรีภาพของปวงชน แต่รัฐบาลกลับใช้กลไกอำนาจรัฐ ทั้งสื่อรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ประชาชนชาวไทยเข้าใจว่าดินแดนไทยเป็นดินแดนของกัมพูชา ซึ่งเครือข่ายฯ ได้พยายามหยุดยั้งการกระทำของรัฐบาล แต่ไม่มีองค์กรใดดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงจำเป็นต้องขอพึ่งพระบารมีกราบบังคมทูลถวายฎีกา เพื่อทรงพระกรุณาพระราชทานคำแนะนำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง เพื่อดำเนินการต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
สำหรับเนื้อหาฎีกาฉบับเต็มของเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ มีดังต่อไปนี้
“ขอพระราชทานกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า ดังรายนามข้างท้ายนี้ ในนามผู้แทนเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชนที่รวมตัวกันจำนวน 72 องค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่สำคัญ 2 ประการคือ การปกป้องรักษาอธิปไตยและดินแดนของราชอาณาจักรไทย และการคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย ซึ่งถูกกองกำลังทหารกัมพูชาเข้ายึดครอง รุกราน ย่ำยี เป็นพื้นที่จำนวนมาก ตลอดแนวชายแดน 7 จังหวัดของภาคอีสานและภาคตะวันออก ซึ่งครอบคลุมไปถึงพื้นที่อ่าวไทยถึง 1 ใน 3 และได้เข้ายึดครองที่ทำกินของราษฎรไทยทั้งที่มีเอกสารสิทธิ์และได้เสียภาษีบำรุงท้องที่แก่ทางราชการมาเป็นเวลาช้านาน ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังทูลถวายฎีกาเพื่อพึ่งพระบารมีแห่งพระมหากษัตริย์ พระผู้ทรงเป็นประมุขตามโบราณราชประเพณี ตามนิติราชประเพณี ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามแนวทางที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติรับรองไว้ เพื่อบรรเทาทุกข์ของปวงพสกนิกรซึ่งกำลังทุกข์ร้อนอยู่ทุกหย่อมหญ้า และไม่สามารถพึ่งพาองค์กรหรือบุคคลใดในการบรรเทาทุกข์ได้อีกต่อไปแล้ว
ก่อนที่จะกราบบังคมทูลถวายฎีกานี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อสื่อมวลชนในทำนองท้วงติงว่า เป็นการไม่เหมาะสมที่จะทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ เพราะการพ้นจากตำแหน่งของรัฐบาลต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้พิเคราะห์ในเบื้องต้นแล้วเห็นว่า เมื่อราษฎรไทยหมดที่พึ่งอื่นใด ย่อมมีสิทธิและความชอบธรรมที่จะพึ่งพระบารมีแห่งพระมหากษัตริย์ของตนตามโบราณราชประเพณี และตามนิติราชประเพณีได้ นักการเมืองคนไหนก็ตามไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวล่วงพระราชอำนาจมาวินิจฉัยแทนว่าเหมาะสมหรือไม่ ทั้งเห็นด้วยว่าปวงชนชาวไทยต้องพึ่งพระบารมีพระมหากษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยจึงจะเหมาะสม
ดังนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอกราบทูลถวายฎีกาต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ดังต่อไปนี้
ข้อ 1. รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ และตระบัดสัตย์ที่ได้ถวายสัตย์ไว้ต่อหน้าพระพักตร์ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท สมรู้ร่วมคิดและรู้เห็นยินยอมให้กองกำลังทหารของกัมพูชารุกรานยึดครองดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นพื้นที่จำนวนมาก รวมทั้งไม่ทำหน้าที่ปกป้องดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย ปล่อยให้กองกำลังต่างชาติรุกราน ย่ำยี ลักพาตัว และประพฤติตนเป็นรัฐบาลหุ่นของกัมพูชา ทำตัวเป็นปากเป็นเสียง ตำหนิติเตียน ข่มขู่ข่มเหงราษฎรไทย ที่ต้องการพิทักษ์รักษาอธิปไตยของประเทศ ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ ทั้งยังปล่อยให้ผู้นำรัฐบาลกัมพูชาเหยียดหยาม ย่ำยีเกียรติศักดิ์ของกองทัพไทยและทหารไทย ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพ อันเป็นการขัดต่อพระบรมราชปณิธานขององค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และทรยศต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย กล่าวคือ
1.1 นับแต่องค์พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแล้ว ทรงประกาศพระบรมราชปณิธาน 3 ประการคือ
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะปกป้องขอบขัณฑสีมา จะบำรุงประชาและมนตรี”
สมเด็จพระบุรพกษัตริย์ทั้งหลายเรื่อยมาจนถึงรัชกาลปัจจุบันได้ทรงสืบทอด สืบสาน และปฏิบัติตามพระบรมราชปณิธานดังกล่าว ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ประกาศตนว่า เป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะต้องทำหน้าที่ 3 ประการนี้อย่างซื่อตรง ด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และกล้าหาญ แต่ปรากฏว่ารัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ทรยศต่อพระบรมราชปณิธานนี้ ละเว้นไม่ทำหน้าที่ โดยเฉพาะการปล่อยปละละเลย รู้เห็น ยินยอมให้กองทหารกัมพูชารุกรานยึดครองดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย ย่ำยีราษฎรชาวไทยอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมาถึงกรณีล่าสุดคือการลักพาตัวสมาชิกรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะรวม 7 คน มิหนำซ้ำยังใส่ร้ายด้วยความเท็จ บนจุดยืนที่ทำตัวเป็นรัฐบาลหุ่นของกัมพูชาว่าคนไทยทั้ง 7 คนบุกรุกดินแดนกัมพูชา ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชอาณาจักรและปวงชนชาวไทยทั้งมวล
1.2 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงครองสิริราชสมบัติ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยได้ทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยคณะกรรมาธิการร่วมไทย-ฝรั่งเศส โดยพื้นที่ใดมีเส้นแบ่งตามธรรมชาติ คือ สันปันน้ำ หรือร่องน้ำ ก็ถือเส้นแบ่งนั้นตามหลักสากล พื้นที่ใดไม่มิเส้นแบ่งตามธรรมชาติ เช่น เป็นที่ราบ ก็ใช้วิธีปักปันปักหลักเขตแดนโดยคณะกรรมาธิการร่วม ซึ่งคณะกรรมาธิการร่วมไทย-ฝรั่งเศส ได้ทำการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา เสร็จสิ้นและถือปฏิบัติมาอย่างราบรื่นเรียบร้อยเป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว แต่รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำและมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ได้กระทำข้อตกลงเถื่อนหรือที่เรียกว่า MOU 2543 เลิกล้มการปักปันเขตแดนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวทรงกระทำกับฝรั่งเศสเสียทั้งสิ้น และให้ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชาใหม่ โดยถือแนวเขตตามแผนที่ของกัมพูชา ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียวเป็นหลัก ซึ่งต้องถือว่าเป็นการกบฎในราชอาณาจักร เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาประการหนึ่ง เพราะทำให้ราชอาณาจักรไทยสูญเสียดินแดน 3 ส่วนสำคัญ คือรอบปราสาทพระวิหารส่วนหนึ่ง พื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีถึงจังหวัดตราด เป็นพื้นที่ประมาณ 1,800,000 ไร่ส่วนหนึ่ง และพื้นที่อ่าวไทย 1 ใน 3 อีกส่วนหนึ่ง อีกประการหนึ่งและรัฐบาลปัจจุบันนี้แทนที่จะยุติการปฏิบัติใดๆ ตามข้อตกลงเถื่อนอันขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นกบฏดังกล่าว กลับยืนยันปฏิบัติและพยายามทำสิ่งที่ผิดกฎหมายให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าได้ทำให้ราชอาณาจักรไทยเสียดินแดนจำนวนมหาศาล
1.3 นับแต่รัฐบาลนี้ได้เข้ารับตำแหน่ง ได้ละเว้นไม่ทำหน้าที่ในการรักษาอธิปไตยของประเทศ ปล่อยปละละเลยในลักษณะรู้เห็น ยินยอม คบคิดกับรัฐบาลกัมพูชา ใน 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก ให้ถอยหรือถอนกำลังทหารของกองทัพไทยที่รักษาแนวชายแดนออกมาตั้งด่านอยู่นอกแนวเขตตาม MOU 2543 ลักษณะที่สอง ปล่อยให้กัมพูชาส่งกำลังทหารและประชาชนกัมพูชาเข้ามายึดครองดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย ล้ำแนวเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่ได้ปักปันเรียบร้อยตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และปล่อยปละ รู้เห็นยินยอมให้กัมพูชานำพื้นที่ในอ่าวไทยไปให้บริษัทต่างชาติสัมปทานขุดเจาะสำรวจพลังงานเป็นเนื้อที่ประมาณ 27,000 ตารางกิโลเมตร
1.4 รัฐบาลนี้ได้สร้างความสับสนให้แก่ประชาชนชาวไทยโดยการเรียกพื้นที่ดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยส่วนที่ลึกเข้ามาจากเขตแดนที่ปักปันไว้ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพื้นที่อัตราส่วน 1:200,000 ของฝรั่งเศสว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่ชัดเจน และต่อมาก็เรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน หรือพื้นที่พิพาท ซึ่งทำให้ประชาชนชาวไทยสับสน มึนงง มึนชา ว่าดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยกลายเป็นดินแดนที่พิพาทและทับซ้อนกับกัมพูชา ซึ่งเป็นกลอุบายหลอกลวงประชาชนไทยในการเตรียมการยกดินแดนให้กับกัมพูชานั่นเอง
นอกจากนั้นยังได้นำเงินงบประมาณของแผ่นดินไปว่าจ้างนักวิชาการและสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งให้ออกรณรงค์ในพื้นที่จังหวัดภาคอีสานและภาคตะวันออกเพื่อให้เห็นดีเห็นงามว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้นเป็นของกัมพูชา โดยบุคคลสำคัญในรัฐบาลและข้าราชการในบังคับบัญชาต่างพากันพูดจาไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนเป็นกระบวนการที่จะยกดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยให้กับกัมพูชา ยิ่งกว่านั้นในดินแดนดังกล่าวนี้กัมพูชาได้ส่งทหาร ประชาชนชาวกัมพูชา เข้ามายึดครองอย่างต่อเนื่องก็ปล่อยปละละเลยเพิกเฉย ปล่อยให้มีการรุกราน ยึดครองโดยพฤตินัย แม้กระทั่งเพิกเฉยให้กัมพูชาให้สัมปทานแก่บริษัทต่างชาติเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ดินแดนของราชอาณาจักรไทย โดยทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลายพื้นที่
1.5 ตลอดระยะเวลา 2 ปีเศษที่รัฐบาลนี้รับตำแหน่งหน้าที่ กองทหารกัมพูชาได้รุกรานข่มเหงราษฎรไทยไม่ขาดระยะ แต่รัฐบาลนี้ไม่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองราษฎร ทุกครั้งจะแถลงจุดยืนว่าเป็นความผิดของราษฎรไทยที่บุกรุกพื้นที่ทับซ้อน หรือไม่ก็บุกรุกดินแดนของกัมพูชา ไม่เคยแสดงท่าทีในการรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ ปล่อยให้รัฐบาลกัมพูชาเหยียดหยามย่ำยีประหนึ่งว่าเป็นประเทศราช เช่น
(1) หัวหน้ารัฐบาลกัมพูชาเหยียดหยามกองทัพไทยและทหารไทยว่าสู้เขมรไม่ได้ ทหารเขมร 1 คนสามารถเอาชนะทหารไทย 6 คนได้ รัฐบาลนี้ก็ก้มหัวยอมสยบให้ ทั้งที่เป็นการกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์
(2) ทางการกัมพูชาจับกุมคนไทยและยัดเยียดข้อหา รัฐบาลนี้ ก็แสดงท่าทีว่าไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ของไทย
(3) ผู้นำรัฐบาลกัมพูชาประจานผู้นำรัฐบาลไทยว่าเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เป็นเด็กทารกอมมือ กระทั่งแฉความลับว่าล็อบบี้ให้แทรกแซงศาล หรือขอให้ปล่อย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยอมสยบ ไม่กล้าชี้แจงความจริง ดีแต่พูดว่าไม่กระทบความสัมพันธ์
(4) ล่าสุดกองทหารกัมพูชาบุกรุกเข้ามาลักพาตัวสมาชิกรัฐสภาไทยและพวกรวม 7 คนในดินแดนไทย รัฐบาลไทยก็แสดงความหวาดกลัวและยอมจำนน กระทั่งยอมรับให้ศาลกัมพูชาเป็นผู้ตัดสินคดีว่าดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นดินแดนของกัมพูชาหรือไม่
(5) อยู่ภายใต้การข่มขู่และเงื้อมมือของรัฐบาลกัมพูชา เช่น กัมพูชาปล่อยตัวชั่วคราวคนไทย 2 คน แต่ฝ่ายไทยต้องปล่อยชาวกัมพูชาที่หลบหนีเข้าเมืองถึง 200 คน แล้วหลอกลวงคนไทยว่าเป็นเรื่องบังเอิญ
1.6 กรณีล่าสุด สมาชิกรัฐสภาไทยและพวกรวม 7 คนที่เดินทางไปตรวจชายแดนโดยการรู้เห็นของนายกรัฐมนตรี ได้ถูกกองทหารกัมพูชาเข้ามาลักพาตัวในพื้นที่ห่างจากถนนศรีเพ็ญ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ลึกเข้ามาในประเทศไทยห่างจากหลักเขตที่ 46 กว่ากิโลเมตรเศษ แต่รัฐบาลนี้กลับไม่กล้าแถลงความจริง และขอให้กัมพูชาแถลงก่อน เมื่อกัมพูชาแถลงว่าคนไทยรุกล้ำดินแดน รัฐบาลนี้ก็แถลงตามว่ารุกล้ำดินแดน ครั้นถูกภาคประชาชนนำพยานหลักฐานจำนวนมากพิสูจน์ทางสาธารณะว่ากรณีเป็นการลักพาตัวในดินแดนไทย ก็พลิกท่าทีใหม่เป็นว่าคนไทยทั้ง 7 คนพลัดหลงเลยหลักเขตที่ 46 เข้าไปในดินแดนกัมพูชากว่ากิโลเมตร ซึ่งเป็นการใส่ร้ายให้เสียหายแก่การต่อสู้คดี
1.7 รัฐบาลนี้แสดงท่าทีชักชวนประชาชนไทยให้ยอมรับอำนาจศาลกัมพูชาที่จะชี้ขาดว่าพื้นที่ที่มีการลักพาตัวเป็นพื้นที่ไทยหรือกัมพูชา ซึ่งเป็นการยกอธิปไตยของประเทศให้กับรัฐบาลต่างชาติ ซึ่งจะมีผลผูกพันต่อราชอาณาจักรไทยไปตลอดกาล
1.8 รัฐบาลนี้นอกจากไม่ปกป้องคนไทยที่ถูกลักพาตัวแล้ว ยังกีดกันการช่วยเหลือในการต่อสู้คดี โดยพยายามเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชา เพื่อจะพึ่งบารมีพระมหากษัตริย์กัมพูชาในการอภัยโทษ ประพฤติตนเสมือนหนึ่งเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย อย่างน่าละอายที่สุด ไม่คำนึงถึงน้ำจิตน้ำใจคนไทยทั้งประเทศ ครั้นคนไทยจะถวายฎีกาพึ่งพระบารมีพระมหากษัตริย์ก็ขัดขวาง ก้าวล่วงพระราชอาชญาวินิจฉัยเสียเองว่าไม่เหมาะสม แต่ที่คิดจะพึ่งพาพระมหากษัตริย์กัมพูชากลับพูดอย่างหน้าตาเฉย
ข้อ 2. รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์พระมหากษัตริย์ มีพฤติกรรมเป็นกบฎในราชอาณาจักร และทำให้ประชาชนชาวไทยยอมจำนน หวาดกลัว กัมพูชา กระทั่งเกิดวลีที่คนเลี้ยงเด็กขู่เด็กว่า ถ้าร้องฮุนเซนจะมาจับ เด็กก็จะหยุดร้อง ซึ่งเป็นความอัปยศแห่งชาติ กล่าวคือ
2.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเดียว จะแบ่งแยกมิได้ นั่นคือจะแบ่งแยกราชอาณาจักรไทยไม่ว่าในส่วนดินแดนหรือประชากรไม่ได้เป็นอันขาด โดยในส่วนดินแดนนั้นก็คือ ดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยตามที่ได้ปักปันเขตแดนร่วมกับฝรั่งเศส ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีแผนที่อัตราส่วน 1:50,000 ที่กรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ร่วมกันจัดทำกับสหรัฐอเมริกาและถือปฏิบัติตลอดมาเป็นหลัก รัฐบาลก็ดี นักการเมืองก็ดี หรือบุคคลใดก็ดี ไม่มีสิทธิยกดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยให้กับชาติใดหรือผู้ใด ดังนั้นการตกลงปักปันเขตแดนใหม่และการดำเนินการทั้งปวงเพื่อเปลี่ยนแปลงแนวเขตแห่งราชอาณาจักรที่ได้ปักปันแล้วเสร็จและปฏิบัติมาร้อยกว่าปีแล้วเพื่อยกดินแดนนั้นให้กับกัมพูชา ทั้งบนบกและในอ่าวไทย จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 1 และไม่มีผลตามกฎหมาย ไม่ผูกมัดราชอาณาจักรไทยและประชาชนชาวไทย ทั้งต้องหยุดกระทำการทันที แต่รัฐบาลนี้ยังคงไม่หยุด ยังคงเดินหน้ายกแผ่นดินแบ่งแยกราชอาณาจักรให้กัมพูชาต่อไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา
2.2 ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติว่า ผู้ใดก็ตามที่ทำให้เสียดินแดนแก่ชาติอื่น มีความผิดฐานกบฎในราชอาณาจักร การปล่อยให้กัมพูชาอ้างสิทธิ์ดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ก็ดี การปล่อยให้กัมพูชาเข้ามายึดครองดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย โดยรู้เห็นเป็นใจสมยอมก็ดี การแสดงท่าทีว่าดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวเป็นดินแดนของกัมพูชาก็ดี การยอมรับให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยทั้งในทางบริหารหรือในทางศาลเหนือดินแดนก็ดีคือการกระทำให้เสียดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานกบฎในราชอาณาจักร ซึ่งมีโทษประหารชีวิต แต่รัฐบาลนี้ได้ลุแก่อำนาจ ทั้งกระทำเองและสนับสนุนให้ข้าราชการร่วมมือในการทำการทุกอย่างเพื่อให้ดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวตกเป็นของกัมพูชา
2.3 รัฐบาลนี้มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดน ตลอดจนมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองประชาชนชาวไทยให้มีความปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน แต่รัฐบาลนี้ไม่กระทำหน้าที่ ไม่รักษาอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนแห่งราชอาณาจักร ปล่อยปละละเลยและรู้เห็นเป็นใจ รวมทั้งคบคิดให้กัมพูชาเข้ามายึดครองดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย และสร้างพยานหลักฐานเกื้อกูลให้กับกัมพูชาเพื่อให้ได้ไปซึ่งดินแดนแห่งราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่องและย่ำยีประชาชนชาวไทยด้วยกันเอง ประหนึ่งว่าเป็นรัฐบาลหุ่นของกัมพูชาไปแล้ว
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ การกระทำของรัฐบาลนี้จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นการตระบัดสัตย์ที่ได้ถวายไว้ต่อหน้าพระพักตร์และทรยศต่อประชาชาติไทยทั้งมวล
ข้อ 3. บรรดาข้าพระพุทธเจ้าชาวประชาชาติไทยโดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง อาทิผู้มีสิทธิในที่ดิน ผู้ถูกจับเป็นผู้ต้องหาตลอดจน ผู้ที่ได้รับผลเสียหายจากการกระทำอันไม่ชอบธรรม ตั้งแต่หนักมากไปจนถึงเล็กน้อย อันประมาณมิได้ อีกทั้งชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า แม้นจะไม่ได้ผลกระทบโดยตรง แต่เขาทั้งหลายล้วน “เทิดทูนบูชา สุดเกล้า สุดเศียร สุดรัก คือ ในหลวง” “สุดหวง คือ แผ่นดิน” นั้น ต่างอัดอั้นตันใจในความผิดพลาดและอยุติธรรม ซึ่งเกิดจากการประพฤติ ปฏิบัติของคณะรัฐบาลชุดนี้ จนสุดทนสุดที่แล้ว
การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลได้สร้างความทุกข์ร้อน ความร้อนอกร้อนใจแก่อาณาประชาราษฎรทั่วแผ่นดิน ทำให้ประชาชนตื่นตัวขึ้นปกปักรักษาอธิปไตย บูรณภาพเหนือดินแดนและสิทธิเสรีภาพของปวงชน แต่แทนที่รัฐบาลนี้จะสำนึกผิด กลับใช้กลไกอำนาจรัฐทั้งมวล ไม่ว่าสื่อของรัฐ กำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐ เครือข่ายต่างๆ ของรัฐ รวมทั้งองค์กรต่างๆ ของรัฐ และการใช้งบประมาณของรัฐ เพื่อทำให้ประชาชนชาวไทยเข้าใจว่าดินแดนไทยเป็นดินแดนของกัมพูชา กระทั่งข้าราชการบางคนพูดว่าประเทศไทยทั้งประเทศก็เคยเป็นของเขมรมาก่อนอย่างไม่ละอายใจแม้แต่น้อย รวมทั้งการใช้งบประมาณไปจ้างวานสื่อและนักวิชาการเพื่อรณรงค์ให้คนไทยเห็นดีเห็นงามกับการยกดินแดนให้กับกัมพูชา
ข้าพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะองค์กรในเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ได้พยายามหยุดยั้งการกระทำที่ผิดของรัฐบาลมาโดยลำดับ ไม่ว่าการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และแม้แต่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา แต่ไม่มีองค์กรใดดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย แม้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็ยกคำร้อง โดยระบุว่ายังไม่มีกฎหมายบัญญัติ ทั้งๆ ที่กฎหมายได้บัญญัติชัดเจนว่าห้ามมิให้ศาลยกคดีโดยอ้างว่าไม่มีกฎหมาย และในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ กฎหมายก็บัญญัติว่าให้ปฏิบัติอย่างไรไว้ชัดเจนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่มีที่พึ่งอื่นใดที่จะทำให้รัฐบาลนี้ทำหน้าที่ในการรักษาอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดน ตลอดจนปกป้องคุ้มครองประชาชนให้มีความปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน
อนึ่ง ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ผ่านมาและในโอกาสขึ้นปีใหม่ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงแนะนำให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ต้องทำหน้าที่และต้องทำหน้าที่ด้วยความไม่ประมาท มิฉะนั้นจะเกิดความเสียหาย ซึ่งบัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎรจากการไม่ทำหน้าที่ของ
รัฐบาลนี้ยังคงดำเนินต่อไป กระบวนการในการยกดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยให้กัมพูชาก็ดี ในการปล่อยให้ทหารกัมพูชารุกราน ยึดครอง ทำร้าย ลักพาตัวก็ดี ยังคงดำเนินต่อไป พฤติกรรมอันเป็นกบฎในราชอาณาจักรยังคงดำเนินต่อไป รัฐบาลนี้จึงไม่มีความชอบธรรมอันใดที่จะเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และที่จะทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้อีกต่อไปแล้ว
ด้วยเหตุดังกราบบังคมทูลมา ข้าพระพุทธเจ้าจึงจำเป็นต้องขอพึ่งพระบารมีกราบบังคมทูลถวายฎีกาเพื่อทรงพระกรุณาพระราชทานคำแนะนำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง เพื่อดำเนินการต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”