xs
xsm
sm
md
lg

“เสือใต้” เปิดศึกย้ำแค้น “สิงห์เหนือ” ลอยแพ 5 เหยื่อคนไทยติดคุกเขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ความต้องการคนละอย่างส่งผลให้ความเห็นไม่ตรงกัน เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 93-98 ที่ว่าด้วยที่มาและจำนวน ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคร่วมรัฐบาล ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ หลังจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการประจำรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมากเห็นด้วยกับระบบเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว 375 คน และ ส.ส.สัดส่วน 125 คน

โดยผลคะแนนในวันนั้นเฉือนกันเพียง 18 ต่อ 17 เสียง หลังจากที่ลงมติกันในตอนแรกแล้วปรากฎว่าเสมอกันที่ 17 ต่อ 17ทำให้ “เทอดพงษ์ ไชยนันทน์” ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธาน กมธ.ที่งดออกเสียง ต้องโดดลงมา “แก้เกม”ออกเสียงชี้ขาด ลากสูตร 375+125 ของพรรคประชาธิปัตย์ผ่านชั้น กมธ.ไปในที่สุด

ส่วนฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลที่สนับสนุนสูตร 400+100 ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในยกแรก แบบที่ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์”รองนายกฯ จากค่ายชาติไทยพัฒนา ที่ “เติ้ง สุพรรณ” ส่งไปคุมเกมใน กมธ.ต้องนั่งกัดฟันดังกรอดทีเดียว

เพราะเป็นผู้ดึงดันให้มีการโหวตชี้ขาดให้ได้ เนื่องจากมั่นใจในเสียงของ กมธ.พรรคร่วมรัฐบาลบวกกับเสียงของ กมธ.สาย ส.ว.ที่ได้ “ประสิทธิ์ โพธสุธน” ส.ว.สุพรรณบุรี เดินเกมล๊อบบี้ให้ แต่แล้วเสียงจาก ส.ว.กลับหลุดไปหนุนทางพรรคประชาธิปัตย์ 1 เสียง



------------

“เสือใต้” เปิดศึกย้ำแค้น “สิงห์เหนือ”



เมื่อพ่ายการโหวตในชั้น กมธ.แบบคาดไม่ถึง ทำเอา “ชาละวันพิจิตร” เก็บอาการไม่อยู่ ลุกออกจากที่ประชุมทันที ก่อนเปิดอกกับกระจอกข่าวอย่างเสียไม่ได้ว่า ยอมรับมติที่ประชุม แต่ยังยืนยันว่าสนับสนุนสูตร 400+100 และบอกให้จับตาดูการโหวตในการนำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาในวาระที่ 2 และ 3 ต่อไป ซึ่ง “เสธ.หนั่น” ทิ้งท้ายอย่างมั่นอกมั่นใจว่า สูตร 400+100 จะนอนมา แบบไม่ต้องมีพระนำ

อีกด้าน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ก็แสดงความชัดเจนเช่นกันในการสนับสนุนสูตร 375+125 ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเชื่อว่าก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาจะสามารถพูดคุยทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาลได้ และได้มีการนัดหมายถกเรื่องนี้กันในวันที่ 25 ม.ค.นี้

ความขัดแย้งครั้งนี้มองผิวเผินอาจเป็นแค่เรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบในสนามเลือกตั้ง แต่เมื่อมองอย่างลงลึกแล้วปรากฎชื่อ “สุเทพ” และ “เสธ.หนั่น” เป็นผู้ออกหน้าของทั้งสองฝ่ายคู่ขัดแย้ง จะพบว่าเป็น “เกมงัดข้อ” กันระหว่าง2 ผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองที่มี “แค้นฝังหุ่น” กันมาในอดีต ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันในพรรคประชาธิปัตย์

โดยเหตุการณ์ “ขบเกลียว” ของ “เสือใต้-สุเทพ”กับ “สิงห์เหนือ-สนั่น”เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ “ชวน หลีกภัย” ก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้เกิดการช่วงชิงอำนาจในพรรคเกิดขึ้น โดย “เสธ.หนั่น” ที่วันนั้นติดโทษแบนทางการเมืองจากข้อหาแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ยืนเป็น “แบ็คอัพ” หนุนกลุ่ม “ทศวรรษใหม่” ที่ชู “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ขณะที่ “สุเทพ” ถือหางกลุ่ม “ผลัดใบ” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สุดท้าย “บัญญัติ” ได้เป็นหัวหน้าพรรค แถม“เสธ.หนั่น” ยังส่งคนใกล้ชิด “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” รับสัมปทานในตำแหน่ง “แม่บ้านพรรค” ปิดทางโตของ “สุเทพ” เสียอีก

จนเมื่อ “บัญญัติ” นำทัพพ่ายพรรคไทยรักไทยราบคาบ ในการเลือกตั้งปี 48 “สุเทพ” ถึงมีโอกาสดัน “อภิสิทธิ์” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทน โดย “สุเทพ” ไม่พลาดที่จะเข้ามายึดเก้าอี้เลขาฯพรรค ก่อนขยายฐานกุมอำนาจในพรรคและในรัฐบาลมาจนถึงวันนี้

แบบที่ “เสธ.หนั่น” ต้องมองค้อน

การโต้ตอบกันในเกมแก้รัฐธรรมนูญหนนี้ จึงถือเป็นการ “ประลองกำลัง” กันอีกครั้งระหว่าง “เสือเทพ” ที่วันนี้แผ่อิทธิพลบารมีใหญ่โตคับประเทศ กับ “พญาชาละวัน” ที่กินตำแหน่งรองนายกฯเหมือนกัน แต่สภาพโรยราเต็มที

แม้ฝ่าย “เสธ.หนั่น” ที่เคยได้รับฉายา “มือประสานสิบทิศ” จะแสดงความมั่นใจที่จะได้รับการสนับสนุนทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน และทางฝั่ง ส.ว. แต่ท้ายที่สุดคงไม่อาจต้าน “กำลังภายใน” ของผู้จัดการรัฐบาลคนปัจจุบันได้ เอาแค่เสียงสนับสนุนในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยเอง ที่ตอนนี้หนุนสูตร 400+100 เช่นกัน

แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆคนที่เสียงดังที่สุดในพรรคย่อมหนีไม่พ้น “เนวิน ชิดชอบ”

ที่หากเลือกหนุนระหว่าง 2 ฝ่าย ก็ย่อมเทใจให้ “สุเทพ” มากกว่าแน่นอน โดยคำนึงถึงสัมพันธ์ส่วนตัวในฐานะ “หุ้นส่วน” ผู้ร่วมสร้างรัฐบาลนี้มาด้วยกัน มากกว่ากติกาในการเลือกตั้งที่เป็นเพียงการคาดการณ์ถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ

เพราะอย่าลืมว่าพรรคภูมิใจไทยที่มี ส.ส.อยู่ที่หลัก 30 เสียงในปัจจุบัน แต่ก็เป็น ส.ส.ที่แยกขั้วออกมาหลังการยุบพรรคพลังประชาชน จึงต้องถือว่าพรรคภูมิใจไทยยังไม่เคยลงสนามใหญ่อย่างเป็นทางการ และไม่ได้มีพื้นที่ยึดครองที่ชัดเจน ทำให้ไม่ว่าลงเลือกตั้งในสูตรไหนก็คงไม่ต่างกันมากนัก แถมยังมีความมั่นใจใน “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ที่แผ่ปกคลุมไปในกระทรวงกรมกองต่างๆ โดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทย

ดังนั้นไม่ว่าเลือกตั้งสูตรไหน “แก๊งเนวิน” ก็รับได้หมด

ความหวังของ “เสธ.หนั่น” จึงถือว่าเลือนลางเต็มที การจะไปจับมือกับพรรคเพื่อไทยเพื่อดันสูตร 400+100 แม้จะทำได้ในทางทฤษฎี แต่ทางมารยาททางการเมืองก็ถือว่าเสี่ยงเกินไปในการตัดสัมพันธ์จากพรรคประชาธิปัตย์ที่มีแนวโน้มได้กับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมากกว่า

ท้ายที่สุดก็เป็นฝ่าย “สุเทพ” ที่จะผลักดันให้การเลือกตั้งครั้งหน้าใช้สูตร 375+125 แถมยังเป็นการย้ำแค้น“เสธ.หนั่น” ที่เคยช่วงชิงวัดบารมีกันมาตลอดอีกครั้งหนึ่งด้วย ศึกนี้ชาละวันกระอักเลือดอีกทีแน่

-----------------------------



“สุวัจน์+3พี” ดึง “ป๋าเหนาะ”ร่วมก๊วน

เริ่มเปิดตัวกันอย่างเป็นทางการกับการจับมือกันเป็นพันธมิตรทางการเมืองร่วมกันของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” จาก รวมชาติพัฒนา กับซีกพรรคเพื่อแผ่นดิน ของ 3 พี “ไพโรจน์ สุวรรณฉวี-พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ที่ได้นัดกินข้าวกลางวันร่วมกันที่โรงแรมสยามซิตี้ เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยหัวข้อการสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นการประเมินสถานการณ์การเมืองทั่วไป โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

กินข้าวกันเสร็จ ต่างก็แยกย้ายกันกลับ แต่อีก 1-2 วันต่อมา มีข่าวเล็ดลอดออกมาจากแถวๆถนนสุโขทัย ที่ตั้งพรรคเพื่อแผ่นดินว่า ตอนนี้แกนนำพรรคกำลังรอคำตอบกลุ่มการเมืองอีก 3-4 กลุ่มในการมาอยู่เพื่อแผ่นดิน

หนึ่งในนั้นคือกลุ่ม “เทียนทอง” ของ “เสนาะ เทียนทอง” ที่มีอยู่ด้วยกัน 4 เสียง คือ เสนาะกับลูกชาย “สรวงศ์ เทียนทอง” และหลานอีกสองคนคือ “ฐานิสร์-ตรีนุช” ส่วน “สมชัย เจริญชัยฤทธิ์” ส.ส.นครสวรรค์ ไปอยู่กับภูมิใจไทยมาสองปีแล้ว

ก่อนหน้านี้ “ป๋าเหนาะ” คิดจะวางมือทางการเมือง โดยจะนำลูกหลานไปฝากไว้กับพรรคการเมืองบางพรรค หลังโดนฟ้องเรื่องที่ดินอัลไพน์ แต่เมื่อศาลไม่รับฟ้อง เพราะคดีขาดอายุความทำให้ “เสนาะ” คิดจะต่ออายุไปอีกหนึ่งสมัย ซึ่งก็มีหลายพรรครุมทาบทาม ทั้งเพื่อไทย–ชาติไทยพัฒนาของลูกพี่เก่า “บรรหาร ศิลปอาชา” รวมถึงภูมิใจไทย

ส่วนฝ่าย 3 พี ก็ส่ง “ประชา พรหมนอก” ลูกน้องเก่า ที่เคยผลักดันให้ได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจคนสุดท้าย-ผบ.ตร.คนแรก เข้าไปส่งขนมจีบที่บ้านเมืองทองธานีหลายครั้งแล้ว และมีวี่แวว “ป๋าเหนาะ” ก็สนใจอยากมานั่งประชุมพรรคแถวๆถนนสุโขทัยบ้างแล้ว

------------------------------------------

ลอยแพ 5 เหยื่อคนไทยติดคุกเขมร



การได้รับการประกันตัวของ 2 ใน 7 คนไทยที่ถูกทางการกัมพูชาของ “ฯพณฯฮุนเซน” ยัดข้อหารุกล้ำดินแดนนั้น ไม่ได้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับสถานการณ์ของฝ่ายไทยในการช่วยเหลือคนไทยอีก 5 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในคุก

เพราะเป็นเรื่องน่าตลกที่ศาลกัมพูชาอนุญาตให้มีการประกันตัว “พนิช วิกิตเศรษฐ์” และ “นฤมล จิตรวะรัตนา” แต่วันถัดมากลับไม่อนุญาตให้ประกันตัว 3 คนไทย ทั้ง “ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์”-“ตายแน่ มุ่งมาจน”-“กิชพลธรณ์ ชุสนะเสวี” โดยมิได้ให้เหตุผลแต่ประการใด ทั้งที่ถูกตั้งข้อหาในระดับเดียวกับ 2 คนที่ได้รับการประกันตัว

ยังไม่ต้องพูดถึง “วีระ สมความคิด” กับ “ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์” ที่ถูกยัดข้อหาเพิ่มเติมฐานจารกรรมข้อมูลความลับทางทหาร ที่มีโทษจำคุกมากกว่า 10 ปี

ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในความจริงใจของมาตรการช่วยเหลือ 7 คนไทยของรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ว่ามีมากน้อยเพียงใด เพราะตั้งแต่แรกที่มีข่าวการจับกุมทั้ง 7 คนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น มีกระแสข่าวมาโดยตลอดว่าผู้นำระดับสูงในรัฐบาลได้พยายามประสานงานไปยังรัฐบาลพนมเปญเพื่อให้ปล่อยตัว “พนิช” ที่มีฐานะเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างเรื่องเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ในประเทศไทยเพื่อช่วย “พนิช” ให้รอดออกมาคนเดียวเสียก่อน

จนแล้วจนรอด “ฮุน เซน” ไม่เล่นด้วย ยืนกรานที่จะนำตัวทั้ง 7 เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา สถานการณ์จึงตกอยู่ในมือของผู้นำสูงสุดของกัมพูชามาตั้งแต่นั้น เพราะฝ่ายไทยก็เดินตามเกมของกัมพูชา ยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา เป็นการตอกย้ำว่า 7คนไทยรุกเข้าไปในกัมพูชาไปโดยปริยาย

โดยรัฐบาลไทยไม่ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือ หรือกดดันใดๆไปยังรัฐบาลกัมพูชา เรื่องจึงยืดเยื้อยาวนานมากว่า 2สัปดาห์

การที่ศาลให้การประกันตัว 2 คนไทยนั้นก็มาจากความพยายามในการประสานงานครั้งแล้วครั้งเล่าของคนในรัฐบาล เพื่อหวังให้ปล่อยตัว “พนิช” ออกมาให้ได้เสียก่อน แต่การที่ “พนิช” จะเดินออกมาจากเรือนจำเปรยซอร์เพียงคนเดียวก็ดูจะน่าเกลียดเกินไป จึงต้องพ่วง “นฤมล” ออกมาด้วยเป็นการแก้เกี้ยว

และเมื่อคนของตนรอดพ้นจากการถูกคุมขังออกมาได้แล้ว สร้างความพึงพอใจให้กับรัฐบาลในระดับที่น่ากลัวว่า จะลดระดับความช่วยเหลือ 5 คนไทยที่เหลืออยู่ลงไปอีก จากที่ไม่ได้มีมาตรการอย่างจริงจังมาตั้งแต่แรก

เฉพาะอย่างยิ่งรายของ “วีระ” และ “ราตรี” ที่โดนข้อหาหนักกว่าเพื่อน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็มาจากการที่บุคคลระดับสูงในรัฐบาลของ 2 ชาติ “เตี๊ยมกัน” เพื่อหวังสั่งสอน “วีระ” ที่พยายามสร้างบทบาทต่อปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญมักเข้าไปยุ่มย่ามใน “พื้นที่หวงห้าม” ตลอดเวลา

สอดรับกับความหวังดีประสงค์ร้ายของรัฐบาลที่แนะนำให้ 7 คนไทยสารภาพว่ารุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชาจริง เพื่อให้ศาลตัดสินคดีให้ถึงที่สุด และจะได้ขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาโดยเร็วที่สุด

ซึ่งมีเพียง “พนิช” และ “กิชพลธรณ์” ผู้ติดตามเท่านั้นที่ยอมเล่นตามเกมนี้ สารภาพแต่โดยดีว่ารุกล้ำเขตแดนกัมพูชา

ส่วนที่เหลือมองว่าหากเล่นตามเกมที่รัฐบาลไทยแนะนำ ก็ไม่ได้มีหลักประกันใดว่าจะได้รับการอภัยโทษ แถมยังอาจโดนตัดสินโทษแบบเต็มพิกัดอยู่โยงเฝ้าคุกกัมพูชาเป็น 10 ปี

จะเห็นได้ว่ารัฐบาลนี้พยายาม “เล่นเกม” กับคนไทยด้วยกันเองมากกว่าที่จะมีมาตรการกดดันกัมพูชา เพื่อช่วยเหลือ 7 คนไทยออกมาอย่างมีรูปธรรม โดยหวังให้มีเพียงบางคนได้กลับบ้าน ส่วนที่เหลือแล้วแต่บุญแต่กรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น